“เ้าวางมือลงก่อน ฟังข้า”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน เอื้อมมือเข้าไป
แต่ิเป่าจูเวลานี้ฟังอะไรไม่เข้าหูทั้งสิ้น ดื้อรั้นราวกับโคแก่ ทั้งรั้งไม่อยู่และกู่ไม่กลับ
“เฮ่อ... เป่าอวี้สลบไปแล้ว ้าการดูแลจากเ้า เื่นี้ยกให้ข้าจัดการ เชื่อข้าเถอะ”
หลี่ไหวฺอวี้ถอนหายใจ จำต้องเอาจุดอ่อนของนางออกมา
ในยุคสมัยนี้ยึดมั่นกตัญญูเป็คุณธรรมปกครองใต้หล้า การทำร้ายผู้าุโไม่ว่าจะาเ็เล็กน้อย าเ็สาหัส หรือถึงแก่ชีวิตล้วนแต่เป็โทษมหันต์
โทษเบาที่สุดก็คือถูกเนรเทศสามพันลี้
แม้ว่าเด็กสาวชนบทไม่รู้กฎหมาย แต่หากฆ่าคนตาย ลุงของนางย่อมไม่ยอมลดราวาศอก เมื่อมีการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล เื่ก็จะไม่มีทางจบลงด้วยดี
พอได้ยินคำว่าเป่าอวี้สองคำนี้ ิเป่าจูก็มีท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง สติสัมปชัญญะก็เริ่มแจ่มชัด นางฆ่าคนไม่ได้จริงๆ
การทำลายชีวิตที่ดีของตนเองเพื่อคนพรรค์นี้ไม่คุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีน้องชายที่ต้องดูแล
แขนค่อยๆ ลดต่ำลง ก่อนโยนเศษกระเบื้องแตกไปด้านข้าง แล้วหมุนตัวเข้าไปในห้อง
เมื่ออันตรายสูญสลายไปแล้ว
หวังซื่อก็เข่าอ่อนทรุดตัวลงไปนั่งกองกับพื้น จนกระทั่งได้สติกลับมา กลับยังกลืนความคับแค้นนี้ไม่ลง
สุดท้ายก็เป็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่กล้าลงมือกับนางจริงจัง
เมื่อคิดตกแล้ว ก็ยิ่งกำเริบได้ใจ
เริ่มจากก่นด่าเข้าไปในห้องสองสามประโยค “ิเป่าจู เ้ามันคนใจดำตัดรอนญาติมิตร ไม่เคารพผู้าุโ วันนี้พวกเราไม่จบเื่นี้แน่”
หลังจากนั้นก็กุมคอของตนเองลุกขึ้น เดินไปนั่งบนบันไดหน้าประตู แล้วะโร้องโหวกเหวกออกไปข้างนอก
“พ่อแม่พี่น้องในหมู่บ้านทุกท่านรีบมาดูกันเร็วๆ ข้าอุตส่าห์ทำงานหนักเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อเลี้ยงดูเด็กมาจนเติบใหญ่ แต่วันนี้พวกเขากลับ้าสังหารข้า”
พลางร้องไห้ตีโพยตีพาย ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งดังขึ้น หลี่ไหวฺอวี้ช้อนตาขึ้นมองไปยังสถานที่ห่างไกล
กำแพงเรือนไม่สูง เขายืนอยู่ในเรือนย่อมสูงกว่าด้านนอกอยู่สองสามขั้นบันได จึงเห็นสถานการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน
มีคนได้ยินเสียงมุ่งหน้ามาทางนี้
คนในหมู่บ้านกินมื้อเย็นกันเสร็จก็มักจะออกมาเดินเล่นข้างนอกรับลม พอได้ยินเสียงครึกครื้นจะไม่มาสอดรู้สอดเห็นสักหน่อยได้อย่างไร
ฝูงชนมารวมตัว หายนะย่อมก่อเกิดในไม่ช้า จะให้นางร้องแรกแหกกระเชอเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่การแก้ปัญหา
“พอเถอะ ท่านอย่ามาร้องห่มร้องไห้ตรงนี้เลย ไม่มีประโยชน์ เื่วันนี้ท่านเป็คนไร้เหตุผล รอคนมากันแล้ว ไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะว่าเป็คนที่สักแต่ถือว่าตนเป็ผู้ใหญ่ ทว่าทำตัวไม่น่าเคารพนับถือบ้างเลยรึ”
“เ้าเป็ใครมาจากไหน ถึงเข้ามายุ่งเื่ครอบครัวของข้า”
หวังซื่อหันไปถลึงตาใส่หลี่ไหวฺอวี้ ยกแขนขึ้นสูงชี้หน้าด่าเขา พลางชักสีหน้าเกรี้ยวกราด
หลังจากด่าจบแล้วก็หันไปมองด้านนอก เห็นคนจำนวนมากใกล้จะมาถึงแล้ว ก็พลิกสีหน้าในฉับพลันราวกับกำลังได้รับความไม่เป็ธรรมและคับแค้นใจอย่างมาก
“ดูสิ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ข้าแต่งงานเข้าสกุลิมาหลายปี ไม่เคยได้อะไรตอบแทน ทะนุถนอมเลี้ยงดูเด็กสองคนนี้อย่างพิถีพิถันใส่ใจ แต่วันนี้พวกเขากลับหยิบเศษกระเบื้องมาแทงคอข้าจนเป็แผลใหญ่ นี่เป็การคิดหมายจะเอาชีวิตข้า!”
หวังซื่อแหงนหน้ายื่นคอออกมาให้เห็น แทบจะแหงนไปให้ถึงท้องฟ้าเสียให้ได้ แล้วเดินไปรอบๆ ทางเข้าเรือน จนแน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองเห็นเืที่กรังอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ก็หมุนตัวกลับไปนั่งบนบันไดอีกครั้ง
“เป่าจูเด็กคนนี้ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านของิเถี่ยจู้ก็เห็นเป็เด็กดีว่านอนสอนง่าย ไฉนพอย้ายออกมากลับกลายเป็เช่นนี้ไปได้เล่า”
ชาวบ้านทุกคนต่างเห็นาแที่คอของหวังซื่อ ไม่ใหญ่มาก แต่ผิวก็แตกและมีเืออกเป็ทางยาว
ไม่เป็อันตรายถึงแก่ชีวิต
ทว่าในสายตาของชาวบ้านที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเื่นี้ นี่คือการแสดงออกที่โหดร้าย ไม่ซื่อสัตย์และอกตัญญู จึงเริ่มตำหนิติเตียนและกล่าวโทษิเป่าจู
“ว่านอนสอนง่ายที่ไหนกัน ทำตัวโอหังั้แ่เมื่อก่อนแล้ว ข้าเคยเห็นนางแย่งของเด็กบ้านอื่นกิน ยังทุบตีทำร้ายคนอีกด้วย”
ว่ากันว่าใจคนเราซับซ้อนยากคาดคะเน ความชั่วร้ายบางอย่างก็ไร้เหตุผล เพื่อที่จะสร้างเื่ให้ใหญ่ขึ้น และดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ก็สามารถกุเื่ขึ้นมาใส่ร้ายผู้อื่นได้ตามอำเภอใจ
สิ่งที่ชาวบ้านคนนี้พูดมาทั้งหมดเดิมทีก็ไม่ใช่การกระทำของิเป่าจู แต่กลับจะยัดเยียดว่าเป็นางให้ได้
“ใช่ ใช่ ใช่ พอเ้าเอ่ยถึง ข้าก็นึกขึ้นได้...”
เป็ไปตามคาด พอมีคนเอ่ยถึงอดีตของิเป่าจู ก็เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ความผิดของนางในอดีต ไม่ว่าความจริงจะเป็อย่างไร พวกเขาต่างก็ยืนกรานว่านางเป็คนทำ
ชั่วขณะนั้นิเป่าจูก็กลายเป็ปิศาจที่ทำแต่เื่เลวร้ายจากถ้อยคำของผู้คน โดยไม่สำเหนียกสักนิดว่านางเป็เพียงเด็กที่ยังเยาว์วัย
บ้านหลังไม่ใหญ่ หวังซื่อแสร้งร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจไป ก็คอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวที่ประตู ได้ยินบทสนทนาของชาวบ้านอย่างแจ่มชัด ในใจก็ยิ่งลำพอง
“ฮึ! นางสารเลว คิดจะสู้กับข้า เ้ายังอ่อนหัดเกินไป”
“เห็นชัดอยู่ว่าท่านเป็ฝ่ายมาข่มเหงรังแกผู้เยาว์ถึงเรือน ตอนนี้กลับทำตัวเป็ผู้ร้ายชิงร้องเรียนก่อน ท่านยังคู่ควรที่จะเป็ผู้าุโอยู่อีกหรือ”
เมื่อเห็นหวังซื่อตีอกชกตัวร้องตีโพยตีพาย ไม่รู้ว่าหลี่ไหวฺอวี้นึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
เสียงโวยวายจากด้านนอกดังขึ้นเรื่อยๆ ิเป่าจูดูแลน้องชายอยู่ในห้อง คิดจะหลบก็หลบไม่พ้น นางลุกขึ้นอย่างเดือดดาล สาวเท้าวิ่งออกไปนอกห้อง
หลี่ไหวฺอวี้เห็นนางออกมา ก็ถามนางด้วยสายตาว่าออกมาทำไม ทว่านางส่ายหน้าแต่ไม่อธิบาย จึงไม่ถามอะไรมากไปกว่านั้น
“จู่ๆ ก็เข้ามาใส่ร้ายป้ายสีข้าถึงที่ว่าขโมยเงินโดยไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่ว นี่คือสิ่งที่ผู้าุโอย่างท่านพึงกระทำหรือ”
นางยืนอยู่ในห้อง มองไปทางหวังซื่อที่บันไดด้วยสายตาเ็า เมื่ออีกฝ่ายคิดจะทำให้กลายเป็เื่ใหญ่ เช่นนั้นวันนี้ตนเองก็จะอยู่ร่วมแจกแจงให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
“ข้าหวังดี กลัวว่าเ้ากับเป่าอวี้จะหิวเลยตั้งใจมาดู ใครจะคิดว่าพวกเ้ามีทั้งปลาและเนื้อกินอย่างสำราญ ไม่นึกถึงลุงของเ้าก็ช่างเถอะ ข้าแค่ถามคำเดียวจะเป็อะไรไป ก็แค่กลัวว่าเ้าจะพลาดพลั้งหลงเดินทางผิด เลือกทำอะไรที่ไม่สุจริต ทั้งหมดนี้ข้าหวังดีกับพวกเ้าทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเคร่งขรึมดังมาจากหลังศีรษะของตนเอง หวังซื่อก็ใจนขวัญหนีดีฝ่อ ยิ่งเห็นิเป่าจูออกมาทั้งยังเล่าความจริง จิตใจก็ว้าวุ่นกระวนกระวาย แต่หลังจากนั้นก็พยายามตั้งสติและเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ของล่ะ?”
หวังดีกับพวกนาง? ิเป่าจูแค่นเสียงเยาะ กวาดตามองกลุ่มชาวบ้านนอกเรือนที่กำลังชี้นิ้วต่อว่านางต่างๆ นานา นี่หรือสิ่งที่นางเรียกว่าความหวังดี
เมื่อถูกถามกะทันหัน หวังซื่อก็อึ้งงัน ตั้งตัวไม่ติดไปชั่วขณะ จึงถามกลับไปด้วยสัญชาตญาณ
“ของอะไร”
“เมื่อตั้งใจมาดูว่าพวกเราสองพี่น้องหิวตายไปหรือยัง แล้วเหตุใดถึงมามือเปล่า ไม่เห็นจะนำของกินติดมือมาเลยเล่า”
น้ำเสียงของิเป่าจูเบาสบาย แบมือออกมาทำท่าจะทวงของ พลางแค่นเสียงเยาะในใจ เ้าเป็คนสร้างเื่ขึ้นมาเอง ดูซิว่าจะแก้อย่างไร
“ขะ...ข้ารีบร้อนออกมา ลืมหยิบมาด้วย”
เห็นได้ชัดว่าขาดความมั่นใจ ร้อนตัวกระวนกระวาย หายใจติดขัด พอเห็นิเป่าจูเผยรอยยิ้มถากถาง ก็รู้สึกเสียหน้า พยายามฝืนที่จะพูด
ิเป่าจูกับหลี่ไหวฺอวี้ต่างรู้ว่าคำกล่าวนี้เป็จริงหรือเท็จ
ทว่าคนในหมู่บ้านไม่รู้ เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าบ่งบอกว่าหวังซื่อในฐานะผู้าุโกำลังถูกผู้เยาว์กดขี่รังแก ก็ได้แต่พยักหน้าเออออลูกเดียว แต่ไม่กล้าตอบอะไร
จากนั้นก็มีเสียงประณามในหมู่ฝูงชนดังขึ้นมาไม่ขาด
“เ้าเป็ผู้เยาว์พูดจากับผู้าุโเช่นนี้ได้อย่างไร ไร้การอบรมสั่งสอน”
“ดูท่าทางก้าวร้าวของนางสิ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านสกุลิไม่รู้ว่ายั่วโมโหหวังซื่อไว้ขนาดไหนบ้าง”
“เมื่อถูกขับไล่ออกมาแล้ว ก็ควรจะพึ่งพาตนเองสิ ไฉนยังมีหน้าแบมือขอสิ่งของจากผู้ใหญ่”
“นั่นสิ นั่นสิ”
คนกลุ่มใหญ่ต่างพูดคล้อยตามกัน ชั่วพริบตานั้นหวังซื่อพลันรู้สึกว่ามีคนหนุนหลัง จึงกลอกตา ก่อนตบต้นขา ร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“ความหวังดีช่างไร้ค่าราวกับตับปอดลาแท้ๆ เด็กที่เลี้ยงดูมาแม้ใช่ลูกแท้ๆ ก็ควรมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ตอนนี้ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับข้า ถูกชาวบ้านเห็นเป็เื่ขบขัน ข้าไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว”
เสียงร้องห่มร้องไห้แผดลั่นจนหลี่ไหวฺอวี้รู้สึกปวดหัว เขามองตลกร้ายตรงหน้าราวกับเป็เื่ชวนขบขัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้