คนในสกุลอวี๋ล้วนแต่ตำข้าวอยู่ในห้องโถงครั้นได้ยินเสียงเคาะประตูจวนอวี๋เฉียวซานคิดจะฉวยโอกาสพักจึงหยัดกายลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเรือนให้ผู้อื่นอย่างรวดเร็ว
ผู้เคาะประตูคือบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ข้างกายมีบุรุษวัยกลางคนแต่งกายเช่นข้ารับใช้ยืนกางร่มให้เขาเมื่อเห็นอวี๋เฉียวซานเปิดประตูเรือน พวกเขาพลันเอ่ยถามทั้งรอยยิ้มว่า“ใช่จวนของท่านหมออวี๋หรือไม่?”
อวี๋เฉียวซานดูออกในทันทีว่าอาภรณ์ของบุรุษวัยกลางคนหรูหรารูปร่างจ้ำม่ำ นอกจากนั้นด้านหลังบุรุษผู้นี้ยังมีรถม้าหลังคาทรงโค้งทำจากไม้สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ทั้งสี่ด้านแขวนไว้ด้วยผ้าไหมลายเมฆาสีน้ำเงินอ่อนม้าลากรถคือม้าสีเพลิงขนเงาเป็ประกาย แค่ดูก็รู้ว่าเป็คนจากสกุลมั่งคั่ง
อวี๋เฉียวซานรีบยกยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเอ่ย“ท่านหมออวี๋ที่ท่านกล่าวถึงก็คือบิดาของข้าเอง ไม่ทราบว่าผู้สูงศักดิ์มาหาบิดาของข้าด้วยเื่อันใดหรือขอรับ?”
“ไม่ขอปิดบัง ข้าพาบิดามาหาท่านหมออวี๋ถึงจวนเพื่อตรวจโรคขอรับ”บุรุษวัยกลางคนเอ่ยอย่างมีมารยาทยิ่งนัก
ครั้นอวี๋เฉียวซานได้ฟังก็รีบเปิดประตูเรือนอย่างเร่งด่วน“เชิญเข้ามาเร็วเข้าเถิดขอรับ”
เด็กรับใช้จูงม้าเข้ามาในลานเรือนจากนั้นประคองนายท่านที่นอนอยู่ในรถม้าลงมา บุรุษวัยกลางคนถือร่มคนทั้งสามตามอวี๋เฉียวซานเดินเข้าไปในห้องโถง
อวี๋หรูไห่เห็นความเคลื่อนไหวภายในลานเรือนแล้วยามนี้หยัดกายลุกขึ้น แขกผู้เป็บุรุษวัยกลางคนกวาดมองโดยรอบก่อนสายตาจะหยุดลงที่อวี๋หรูไห่แล้วเอ่ยพลางแย้มยิ้ม“คาดว่าท่านผู้นี้คงจะเป็ท่านหมออวี๋ ผู้น้อยแซ่เหอได้ยินว่าท่านสามารถรักษาโรคแผลพุพองบนหลังของนายท่านรองสกุลมู่ได้บิดาของข้าป่วยเป็โรคแผลพุพอง หวังว่าท่านหมออวี๋จะให้ความช่วยเหลือขอรับ”
เหอตงเซิงเพิ่งจะได้ยินข่าวว่าแผลพุพองของมู่เหิงผู้เป็นายท่านรองสกุลมู่ถูกรักษาจนหายดีเมื่อไม่กี่วันก่อนบิดาในจวนของเขาป่วยเป็แผลพุพองบนศีรษะตระเวนหาหมอทั่วทุกสารทิศล้วนแต่ไร้หนทางรักษาครั้นยามนี้ได้ยินว่าโรคแผลพุพองบนหลังของนายท่านรองสกุลมู่หายดีจึงสั่งให้เด็กรับใช้ไปสืบข่าวหลังจากนั้นได้ยินเด็กรับใช้บอกว่าถูกรักษาโดยท่านหมอในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเขาพลันเตรียมรถม้าและมุ่งหน้าด้วยความรีบร้อนทันใด
“รีบนั่งลงเถิด” อวี๋หรูไห่มองไปทางนายท่านสกุลเหอ เอ่ยพลางแย้มยิ้ม“ข้าจะจับชีพจรให้ท่านเสียก่อน”
อวี๋หรูไห่นำหมอนรองจับชีพจรออกมาวางไว้บนโต๊ะนายท่านเหอยื่นมือออกไปอย่างสั่นเทา อวี๋หรูไห่วางมือทาบลงจับชีพจรของเขาหลังจากจับชีพจรอยู่พักหนึ่งถึงชักมือกลับพร้อมกับขมวดคิ้ว
วันนั้นตอนเขาจับชีพจรให้มู่เหิง พบว่าชีพจรเต็ม [1] ทว่าชีพจรของนายท่านเหอกลับเต้นน้อยครั้งและไร้เรี่ยวแรงแตกต่างจากชีพจรของนายท่านมู่โดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นสีหน้าของอวี๋หรูไห่ เหอตงเซิงเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก“เป็อย่างไรบ้างขอรับ? นับั้แ่บิดาของข้าล้มป่วยก็เ็ปทรมานอย่างยิ่งท่านหมออวี๋ หากท่านสามารถรักษาโรคแผลพุพองบนศีรษะบิดาของข้าให้หายดีเช่นนั้นก็เท่ากับว่าท่านคือผู้มีพระคุณของสกุลเหอขอรับ!”
เดิมทีอวี๋หรูไห่กำลังนึกถึงเทียบยาของอวี๋เจียวเขารู้เทียบยาทั้งหมดแล้ว ประจวบเหมาะกับยามนี้จะได้แสดงฝีมือ ทว่ายามนี้ชีพจรต่างออกไปทำให้เขารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินเหอตงเซิงเอ่ยเช่นนี้อวี๋หรูไห่พลันรู้สึกได้รับความไว้วางใจ ตกปากรับคำว่า “ข้าจะตรวจดูจุดที่มีอาการของนายท่านเสียก่อน”
นายท่านเหอเป็ผู้สูงอายุวัยหกสิบปีแล้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยมืดคล้ำไร้ราศี บนศีรษะมีผ้าผืนหนึ่งพันรอบครั้นได้ฟังคำกล่าวของอวี๋หรูไห่จึงยกมือสั่นเทาขึ้นลูบบนศีรษะ
เหอตงเซิงรีบเอ่ย “ท่านพ่อ ข้าจัดการเอง”
เขาเปิดผ้าโพกบนศีรษะของนายท่านเหออย่างเบามือและระแวดระวังพบเพียงผมขาวบนศีรษะของนายท่านเหอร่วงจนเหลือเส้นผมบางตาทั้งท้ายทอยเต็มไปด้วยาแระบมไม่ต่างจากรังผึ้งทำให้ผู้อื่นถึงกับสะดุ้งด้วยความใ
อวี๋หรูไห่นึกไม่ถึงแม้แต่นิดว่านายท่านเหอผู้นี้จะเป็แผลพุพองบนศีรษะแตกต่างจากนายท่านรองสกุลมู่โดยสิ้นเชิง เขาตั้งใจตรวจสอบโดยรอบอย่างละเอียดหยัดกายนั่งลงด้วยค่อนข้างสงสัยไม่รู้ว่าควรจะใช้เทียบยาของอวี๋เจียวมารักษาโรคแผลพุพองบนศีรษะนี้หรือไม่
ครั้นเห็นอวี๋หรูไห่ไม่เอ่ยสิ่งใด เหอตงเซิงรีบเอ่ยว่า“ได้ยินมาว่าท่านหมอใช้สมุนไพรประดุจเทพเซียน นายท่านรองสกุลมู่กินยาแค่ไม่กี่ชุดใช้เวลาเพียงห้าถึงหกวันก็ดีขึ้นแล้วหวังว่าท่านหมออวี๋จะจัดยาสมุนไพรโดยไม่ตระหนี่เทียบยา เพื่อคลายความทุกข์ทรมานของบิดาข้าด้วยเถิด”
……
เชิงอรรถ
[1] ชีพจรเต็ม หมายถึงการเต้นของชีพจรลอย (ััเบาๆจะพบชีพจรคล้ายท่อนซุงลอยน้ำ เวลาที่กดจมเล็กน้อย จะลอยขึ้นทันทีที่ปล่อยมือ)และชนมือแรง แสดงว่าผู้ป่วยมีอาการไข้และตัวร้อน
