ซู่หนี่ว์แล้วอย่างไรเล่า ยามนี้มารดาใหญ่เห็นนาง ไม่ใช่ยังต้องคารวะหรือไร?
กำเนิดไม่สำคัญ เื่ที่ผ่านมาไม่สำคัญ ผลลัพธ์สำคัญที่สุด นางเป็บุตรีในอนุภรรยาของเสนาบดีคนหนึ่ง เดินมาจนถึงวันนี้ได้ ์นั้นยืนอยู่ข้างนาง
“ข้าต้องขอตัวก่อน” กู้จวิ้นเฉินแยกตัวออกไปแล้ว จวิ้นอีลงมาจากเวที กลับมาข้างหลังกู้จวิ้นเฉิน ระหว่างที่จวิ้นอีกำลังประมือแข่งขันกับผู้เข้าแข่งขันจากแคว้นหลัวเหมิน จ้าวหนิงฮ่องเต้ได้เลือกผู้เข้าแข่งขันคนที่สองเรียบร้อยแล้ว เป็รองแม่ทัพที่ติดตามเขาในครั้งนั้น ยามนี้เป็ผู้บังคับบัญชากองทหารรักษาพระองค์ รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ไม่ว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้จะไปที่ใด เขาต้องติดตามไปเสมอ เขาเป็เหมือนดั่งเงาของจ้าวหนิงฮ่องเต้
กู้จวิ้นเฉินมาถึงบนเวที “เสด็จอา”
“จวิ้นอีเป็เช่นไรบ้าง?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถาม
“หม่อมฉันไม่เป็ไรพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าาโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีตอบ
“ในเมื่อไม่เป็ไรก็ดีแล้ว รอบที่หนึ่งเ้าเอาชนะได้อย่างงดาม คิดดูให้ดีว่าอยากได้รางวัลอะไร เจิ้นย่อมให้เ้าแน่นอน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัส
“กระหม่อมเพียงแต่ทำตามพระบัญชา มิกล้าขอรางวัลจากฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” ภารกิจของเขาก็คือเื่ที่ฉีอ๋องสั่งกำชับลงมา
กู้จวิ้นเฉินเอ่ยขึ้น “เสด็จอาทรงติดไว้ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่ว่าวันใดจวิ้นอีอาจ้าใช้มันพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเ้ากล้าพูดเช่นนี้ เช่นนั้นให้เจิ้นติดค้างเ้าก่อน นี่เป็ครั้งแรกที่เจิ้นติดค้าง...” พูดถึงตรงนี้ จ้าวหนิงฮ่องเต้กลับหยุดชะงักไปดื้อๆ เขาไม่ได้เพิ่งจะติดค้างผู้อื่นเป็ครั้งแรก เมื่อหกปีที่แล้ว เขาได้ติดค้างคนผู้หนึ่งไว้ นั่นก็คือถังฮองเฮา
“ท่านอ๋อง” พ่อบ้านกู่เข้ามา “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อ้อ? “เสด็จอา หลานขอออกไปก่อนสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“อะไรกัน การแข่งขันอีกสี่รอบที่เหลือจะไม่ดูแล้วหรือไร?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถาม
กู้จวิ้นเฉินหัวเราะออกมาอย่างน้อยครั้งนักจะมีได้ “ผลลัพธ์จะเป็อย่างไรนั้นไม่สำคัญ ขอเพียงเสด็จอามีความเชื่อมั่น พวกเขาเอาเมืองไปกี่เมือง หม่อมฉันจะเอาคืนมาเป็สองเท่าพ่ะย่ะค่ะ”
“มีคำพูดของเ้าประโยคนี้ เจิ้นจะนั่งรอรับเมืองแล้ว”
หลังจากที่กู้จวิ้นเฉินออกไป เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น “มือของเ้าที่ได้รับาเ็เป็เช่นไรบ้าง?” เขาถามจวิ้นอี
“ข้าน้อยไม่...” จวิ้นอีก้มหน้าลง ไม่กล้าสบสายตากู้จวิ้นเฉิน สายตานั้นคมปลาบ “เ้ากลับไปจวนอ๋องก่อน ให้เมิ่งเต๋อหลางดูเสียหน่อย พ่อบ้านกู่อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
“ข้าน้อยรอให้ทุกอย่างสิ้นสุดค่อยกลับไปก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีพูด เขาจะวางใจให้ท่านอ๋องอยู่ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไร “เสี่ยวโหวเหฺยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินหันกายไปเห็นหลี่ลั่วกำลังเดินข้ามมา
“เมื่อสักครู่ข้าเห็นคนตัวใหญ่ทำร้ายมือของจวิ้นอี” หลี่ลั่วกล่าว “พละกำลังของอีกฝ่ายมหาศาลถึงเพียงนั้น หมัดนั้นซัดลงบนมือของจวิ้นอี ต่อให้กระดูกไม่แตกละเอียด แต่คงต้องาเ็เป็แน่แล้ว”
“เสี่ยวโหวเหฺย ข้าน้อยไม่เป็ไรขอรับ” จวิ้นอีร้อนใจ เสี่ยวโหวเหฺยพูดเช่นนี้ ท่านอ๋องต้องไม่ให้เขาอยู่ที่นี่ต่อแน่
“หากเ้าขาดแขนไปข้างหนึ่ง ก็จะไม่สามารถคุ้มกันท่านพี่ฉีอ๋องได้อย่างดีแล้ว สามวันหลังจากนี้พวกท่านยังต้องเดินทางไปซีเป่ยอีก หากอาการาเ็ที่มือของท่านไม่ได้รับการรักษา เกรงว่าสามวันให้หลังคงจะหายไม่ทัน” หลี่ลั่วกล่าว
“ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวรึ?” กู้จวิ้นเฉินรู้ว่าจวิ้นอีได้รับาเ็แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนี้
“ยื่นมือออกมาให้ข้าดูหน่อยเถิด” หลี่ลั่วยื่นมือไปให้จวิ้นอี
จวิ้นอีมองกู้จวิ้นเฉิน กู้จวิ้นเฉินเห็นพวกเขาคนหนึ่งสูง คนหนึ่งเตี้ย จากนั้นจึงพยักหน้า จวิ้นอีสูงเกินไปจริงๆ ส่วนหลี่ลั่วนั้นก็เตี้ยเกินไปจริงๆ ดังนั้นจวิ้นอีจึงได้แต่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺยขอรับ”
หลี่ลั่วม้วนชายแขนเสื้อของจวิ้นอีขึ้น เมื่อเห็นด้านในบวมแดงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาวางนิ้วลงบนรอยบวมแดงพลางลูบคลำดูอยู่ครู่หนึ่ง จวิ้นอีสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อสักครู่ไม่รู้สึก ไฉนยามนี้จึงเ็ปอย่างร้ายกาจยิ่งนัก
“ห้ามขยับมือข้างนี้เป็เวลาหนึ่งเดือน” หลี่ลั่วกล่าว “ไม่ใช่การาเ็ที่กระดูกอย่างธรรมดาๆ เพียงเท่านั้น หากท่านไม่ดูแลแขนข้างนี้ให้ดี กระดูกจะแตกละเอียด”
“ต้องดูแลอย่างไร?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“กินยา แช่ยา ทายาภายนอก ทั้งสามอย่างรวมกัน การกินยาช่วยเื่การเสริมกระดูก...มีผลดีกับกระดูก เป็การเสริมให้กระดูกแข็งแรง ทุกวันต้องแช่แขนในน้ำยาเป็เวลาครึ่งชั่วยาม แล้วยังต้องทายาภายนอกอีก” หลี่ลั่วกล่าว “ข้าไม่พูดง่ายเหมือนท่านหมอเทวดาเมิ่งหรอกนะ หากเป็ท่านหมอเทวดาเมิ่งแล้วละก็ คาดว่าจวิ้นอีคงต้องขอให้ท่านหมอเทวดาเมิ่งโกหกเพื่อที่จะได้ไปซีเป่ยกับท่าน”
“ไปจัดยา” ในใจของกู้จวิ้นเฉินราวกับมีไฟสุมอยู่ สำหรับเขาแล้วจวิ้นอีไม่เพียงเป็นายและบ่าว แต่เปรียบเสมือนแขนซ้ายแขนขวา “ไปจัดยาที่สำนักหมอหลวง”
“อื้ม”
“...” จวิ้นอีผู้ไม่มีสิทธิ์พูดอันใด จึงได้แต่ตามไปอย่างเงียบๆ
ณ สำนักหมอหลวง
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงค่อยๆ เข้ามาต้อนรับทีละคนๆ เกรงว่าจะล่วงเกินท่านอ๋องผู้นี้ “กระดาษ พู่กัน” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงรีบไปหยิบกระดาษและพู่กัน กู้จวิ้นเฉินรับมา จากนั้นส่งให้หลี่ลั่ว หลี่ลั่วหาตั่งตัวหนึ่งมาวางกระดาษลงบนนั้นแล้วเริ่มเขียนใบสั่งยา เขาเขียนใบสั่งยารวมทั้งหมดสามใบ คือ ยากิน ยาอาบ และยาทาภายนอก จากนั้นส่งให้กู้จวิ้นเฉิน “จัดยา”
กู้จวิ้นเฉินนำใบส่งยาให้หมอหลวง “จัดยา”
เมื่อหมอหลวงรับใบสั่งยามาย่อมต้องอ่านดู ไม่เช่นนั้นจะจัดยาอย่างไรเล่า? เพียงแต่เมื่อเห็นใบสั่งยาทั้งสามแล้วถึงกับตกตะลึง “ใบสั่งยาสองใบในนี้ดูเหมือนเป็การจัดยาแบบใหม่ เป็...” หมอหลวงเห็นกู้จวิ้นเฉินมีสีหน้าดำทะมึนลง จึงรีบหุบปากฉับ แต่ยังคงกล่าวต่อไปว่า “ใบสั่งยาใบนี้คือยาทาภายนอก พวกเราที่นี่ได้ทำเป็ยาขี้ผึ้งสำหรับทาแล้ว ไม่ทราบว่าฝ่าา?”
กู้จวิ้นเฉินมองไปที่หลี่ลั่ว
“อืม มีที่ทำสำเร็จออกมาเป็ขี้ผึ้งดีที่สุด ทาให้จวิ้นอีก่อนเถิด” หลี่ลั่วกล่าว
“จัดการตามที่เสี่ยวโหวเหฺยสั่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ต่อมากู้จวิ้นเฉินกล่าวกับจวิ้นอีว่า “เ้านำยากลับจวนแล้วไปแช่ยาก่อน”
“...พ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่มีทางเดินต่อไปแล้วใช่หรือไม่
เมื่อยามที่กู้จวิ้นเฉินและหลี่ลั่วกลับไปถึงสนามแข่งขันนั้น การแข่งขันที่เหลืออีกสี่รอบได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเห็นบรรยากาศอึมครึมก็รู้ได้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาต่อแคว้นจีนนั้น ย่อมไม่เป็เื่ดีแน่แล้ว
“ฝ่าา การแข่งขันทั้งห้ารอบ พวกเราชนะไปสี่รอบ ว่ากันตามข้อตกลงของเรา แคว้นของท่านต้องยกเมืองให้เราจำนวนสามเมืองใช่หรือไม่?” ทูตของแคว้นหลัวเหมินกล่าว
“ท่านช่างใจร้อนเสียจริง” กู้จวิ้นเฉินเดินเข้าไปหาเขา “ท่านยังไม่ได้ตอบรับสิ่งเดิมพันของแคว้นจีนเราเลย”
ทูตของแคว้นหลัวเหมินไม่เข้าใจว่ากู้จวิ้นเฉินจะมาไม้ไหนกันแน่ เ้าหนุ่มคนนี้ทำให้เขารู้สึกสับสนยิ่งนัก “เช่นนั้นเชิญท่าน”
“พ่อบ้านกู่” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านกู่เข้ามาพร้อมกับนำกระดาษแผ่นหนึ่งกางออกมา นี่คือเหตุผลที่เขาออกจากที่นี่ไปเมื่อสักครู่ บนกระดาษแผ่นนี้คือแผนที่ แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าเป็แผนที่อะไร
“ท่านทูตท่านนี้ดูแล้วเข้าใจหรือไม่ว่าเป็แผนที่อันใด?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“แน่นอน นี่คือแผนที่ของแคว้นหลัวเหมินของพวกเรา คิดไม่ถึงว่าแคว้นจีนของพวกท่านจะมีแผนที่แคว้นหลัวเหมินของพวกเรา ดูจากรอยหมึกบนแผนที่แล้วน่าจะเพิ่งวาดเสร็จได้ไม่นาน” ทูตของแคว้นหลัวเหมินกล่าว “ผู้ที่วาดภาพนี้ร้ายกาจยิ่งนัก”
“จวิ้นเฉิน เ้าเอาแผนที่ของแคว้นหลัวเหมินมาเพื่ออันใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่กระจ่างแจ้งเช่นกัน ไม่เพียงแต่จ้าวหนิงฮ่องเต้เท่านั้น คนทั้งหมดต่างมองดูกู้จวิ้นเฉิน อยากจะรู้ว่ากู้จวิ้นเฉินจะใช้วิธีการใดพลิกสถานการณ์นี้ นำเอาเมืองทั้งสามเมืองที่พวกเขาพ่ายแพ้ไปกลับคืนมา
กู้จวิ้นเฉินยกยิ้มมุมปาก นำแผนที่กางออกบนโต๊ะ “ข้าพูดไว้แล้ว ข้าไม่ต้องเสียกำลังทหารแม้แต่คนเดียว แคว้นหลัวเหมินของพวกท่านชนะเอาเมืองของเราไปกี่เมือง ข้าต้องคว้าเอาคืนกลับมาเท่านั้น”
ทูตของแคว้นหลัวเหมินพลันรับรู้ได้ถึงลางไม่ดี เขาจ้องมองกู้จวิ้นเฉิน คิ้วขมวดมุ่นแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลของเขา ั้แ่ที่เขามีอำนาจแข็งแกร่งดังพระอาทิตย์ในยามเที่ยงวัน นี่เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกตึงเครียดเช่นนี้โดยมิได้ปิดบังอำพรางใดๆ
กู้จวิ้นเฉินกางมือของตนออก “เ้าว่า หากฝ่ามือของข้าวางลงไป เมืองของแคว้นหลัวเหมินกี่เมืองที่จะตกอยู่ใต้ฝ่ามือของข้า?”
ทูตของแคว้นหลัวเหมินตกตะลึงเสียจนเดินหน้าเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง เขายื้อยุดมือของกู้จวิ้นเฉินเอาไว้ แรงกดที่มือของเขานั้นแทบจะบิดให้ข้อมือกู้จวิ้นเฉินหักได้
“บังอาจ” ร่างของจ้าวหนิงฮ่องเต้พุ่งทะยานออกไปยืนอยู่เบื้องหน้าทูตของแคว้นหลัวเหมิน จับข้อมือของเขาเอาไว้ “นี่เ้าคิดจะทำอันใด?”
ทูตของแคว้นหลัวเหมินมองกู้จวิ้นเฉิน แล้วมองจ้าวหนิงฮ่องเต้ มองไปยังทูตแคว้นอื่นที่ล้อมอยู่ มองเหล่าขุนนางใหญ่ของแคว้นจีน เขาคลายมือออก “ล้วนพูดกันว่าไท่จื่อเยี่ยนของแคว้นจีนนั้นกลอุบายเป็เลิศ วันนี้ฉีอ๋องแห่งแคว้นจีนก็เยี่ยมยอดไม่มีใครเทียบได้ในยุคนี้เช่นกัน ข้าน้อยนับถือ เมืองทั้งสามที่แคว้นหลัวเหมินชนะได้มานั้นเราไม่้าแล้ว ฝ่าาเห็นว่าเป็เช่นไร?”
“ฮ่าๆๆ...” จ้าวหนิงฮ่องเต้หัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงนั้นหยิ่งผยองยิ่งนัก “คำพูดนี้ของท่านทูตไม่ถูกต้อง ที่เ้าชนะไปนั้นไม่้าแล้วย่อมได้ แต่ที่แคว้นเราชนะแล้วได้มาเล่า?” ฝ่ามือของกู้จวิ้นเฉินทาบลงไป ไม่ใช่เพียงแค่สามเมืองเท่านั้น
“ฝ่าา้าทำเช่นใด?” ทูตของแคว้นหลัวเหมินถาม
จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ได้บีบบังคับผู้อื่นมากนัก “ข้า้าเมืองของแคว้นหลัวเหมินสองเมือง ไม่เกินไปใช่หรือไม่?”
ทูตของแคว้นหลัวเหมินหน้าเขียว เมื่อสักครู่เขากดดันอีกฝ่ายเพื่อ้ายึดเมือง ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ยามนี้ตนเองแพ้แล้ว...เขาแพ้ “ได้”
ต่อหน้าคนทั้งหมด เขาใช้ตราประทับของฮ่องเต้แคว้นหลัวเหมินประทับลงนามบนสนธิสัญญานี้ เมื่อมอบเมืองให้แล้วเขาก็จากไปทันที
งานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ในครั้งนี้ จบลงด้วยแคว้นหลัวเหมินที่ก่อความวุ่นวาย และขณะเดียวกันก็ได้ทิ้งความประทับใจให้กับผู้คนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็ความลำพองใจของแคว้นหลัวเหมินที่ยอมเก็บหางจิ้งจอกจากไป หรือว่าจะเป็รูปโฉมอันงดงามของนักปราชญ์หญิงแคว้นอวิ๋นหลัว ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือท่าทางอันสง่างามของฉีอ๋อง
ในขณะเดียวกัน จ้าวหนิงฮ่องเต้ก็ทรงมีพระราชโองการเป็พระดำรัสว่า เมืองสองเมืองที่ยึดมาได้จากแคว้นหลัวเหมินยกให้เป็อาณาบริเวณส่วนตัวของกู้จวิ้นเฉิน เพื่อต่อไปจะได้เป็ดินแดนหนึ่งในพื้นที่ที่เขาจะไปสร้างอาณาบริเวณของตนเอง
เมื่อพระราชโองการดังกล่าวประกาศออกมา ขุนนางทั้งราชสำนักต่างตกตะลึงกันอยู่พักหนึ่ง หรือว่าฝ่าา้าแบ่งดินแดนที่อยู่ติดกับแคว้นหลัวเหมินให้เป็ดินแดนของฉีอ๋อง? ฝ่าา้าให้ฉีอ๋องกลับไปสร้างอาณาบริเวณของตน? ฝ่าาไม่ได้มีความคิดจะให้ฉีอ๋อง่ชิงบัลลังก์ัหรือไร? ผู้คนต่างพากันคาดเดากันไปต่างๆ นานา ทว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ งานเลี้ยงเลิกราแล้ว
“ข้าส่งเ้า” กู้จวิ้นเฉินมาถึงข้างกายหลี่ลั่ว รถม้าของขุนนางทั้งหลายล้วนรออยู่นอกประตูวัง รถม้าที่วิ่งในบริเวณวังหลวงได้ ช่างถือดียิ่งนัก
“อืม” พรุ่งนี้เขาต้องไปวัดก่วงเปยแล้ว สามวันหลังจากนี้กู้จวิ้นเฉินต้องไปซีเป่ย จะได้พบกันอีกครั้งเมื่อเขากลับมา ยังไม่รู้ว่าต้องแยกจากกันนานแค่ไหน หลี่ลั่วรู้สึกไม่เคยชิน
คนทั้งสองขึ้นรถม้า ปิดประตู กั้นสายตาจากภายนอก บนรถม้ามีเพียงความเงียบสงบ หลี่ลั่วเหนื่อยเสียจนนอนลงไป “ข้า...ข้ามีเื่หนึ่งอยากรบกวนท่าน”
“หืม?” กู้จวิ้นเฉินหลุบตาลงต่ำด้วยสายตาเป็คำถาม
หลี่ลั่วหยิบสร้อยประคำพระยูไลออกมาจากอก “ท่านช่วยข้าสืบเกี่ยวกับความเป็มาของสร้อยประคำสายนี้ได้หรือไม่? สร้อยประคำเส้นนี้ไฉนจึงตกมาอยู่ในมือของนักปราชญ์หญิงแคว้นเสียงอวิ๋นได้”
“ได้” ไม่ได้ถามว่าด้วยเหตุใด กู้จวิ้นเฉินรับปากทันที
“เื่นี้เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของข้า” หลี่ลั่วกล่าวอีก