วิธีการนี้ใช้ไม่ได้กับคนอื่นๆ แต่มันเป็ท่าไม้ตายที่ใช้กับเจิ้งเทียนหู่ได้ เจิ้งหยวนแต่งผีเหมือนแค่ไหนเธอตระหนักดีอยู่แก่ใจ และเจิ้งเทียนหู่ก็ไม่น่าเอะใจว่าหมอกที่เธอเหยียบใต้ฝ่าเท้าคือน้ำแข็งแห้ง เคลื่อนที่คล้ายลอยละล่องมาเพราะเธอใช้สเกตช์บอร์ดไฟฟ้า พูดได้ทั้งที่เธอปิดปากแค่อาศัยฟังก์ชันบันทึกเสียงของโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ดูจากความหวาดกลัวก็รู้แล้วว่าเขาเชื่อสนิทใจเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเอฟเฟ็กต์มหัศจรรย์ของน้ำหมึกสีแดงที่เลือนหายไปอีกด้วย ซึ่งจุดนี้เจิ้งหยวนยังไม่รับรู้เื่ราว
เจิ้งหยวนจ้องดวงตาของเจิ้งเทียนหู่เขม็ง กระทั่งเขามีทีท่ายอมแพ้ จึงค่อยละสายตาออก
เจิ้งหยวนแค่นเสียงขู่ “นายอย่าให้ฉันได้ยินข่าวซุบซิบเกี่ยวกับพี่สะใภ้ฉันจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้น… พวกเราได้เห็นดีกันแน่”
เจิ้งหยวนเดินจากไปทันทีหลังพูดจบ ระหว่างออกจากบ้านก็เหลือบใบหน้าขึ้นบังเอิญพบคนคุ้นเคยเข้าพอดี
“พี่เสี่ยวสยา?”
ั้แ่เจิ้งสยาแต่งงาน นี่เป็ครั้งแรกที่เจิ้งหยวนพบเธอ
เจิ้งสยาสวมกางเกงขายาวผ้ากากีสีดำ ท่อนบนใส่เสื้อแขนสั้นคอปกพิมพ์ลายเรียบๆ สีฟ้า ไม่มีรอยปะชุนบนตัวสักจุด คนขาพิการแซ่หลิวน่าจะเป็คนซื้อให้เธอ แถมใบหน้าเธอยังเปล่งปลั่งมีเืฝาดกว่ายามแต่งออกมาก ดูท่าคนขาพิการแซ่หลิวจะปฏิบัติกับเธอดีทีเดียว ทั้งตัวเธอถือตะกร้าใบหนึ่ง ภายในตะกร้าบรรจุไข่ไก่บางส่วนไว้ คาดว่าได้ยินเื่ของพี่ชายตัวเองเลยมาเยี่ยม
เธอเปิดประตูเข้ามา คนขาพิการแซ่หลิวก็เดินกะโผลกกะเผลกตามหลังมาด้วย แม้คนแซ่หลิวจะโดนเรียกว่าขาพิการ แต่ความจริงขาเขาไม่ได้มีปัญหาหนักหนาอะไร ไม่ใช้ไม้เท้าก็เดินได้ปกติ แถมเดินว่องไวด้วย คนขาพิการแซ่หลิวยังคงหน้าตาน่าเกลียด ผมบางดูแก่กว่าวัยเหมือนคราวก่อนที่เจิ้งหยวนพบ ทว่าสภาวะจิตใจเขาไม่เลว ยังมีรอยยิ้มแต้มใบหน้าอยู่
เมื่อเจิ้งสยาเห็นเจิ้งหยวน อารมณ์บนหน้าแข็งค้างไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเรียกเสียงจืดเจื่อน “เจิ้งหยวน...”
ก่อนหน้านี้พวกเธอสองคนทะเลาะกันขนาดนั้น ตามหลักแล้วเจิ้งสยาคงเกลียดชังเจิ้งหยวนแน่ ทว่าเด็กสาวอย่างเจิ้งสยาอาจจะประสบความลำบากมามากเกินไป พอมีคนดีกับเธอนิดหน่อยก็ทำให้เธอซาบซึ้งและรู้จักพอในสิ่งที่มีได้ ก่อนคนขาพิการแซ่หลิวจะแต่งงานกับเจิ้งสยา เขารู้สึกคับข้องใจกับเื่ที่เจิ้งสยาก่อขึ้นอยู่บ้าง แต่หลังผ่านการหลับนอนในคืนวันแต่งงานกันจนแน่ใจว่าเจิ้งสยายังเป็สาวใหญ่บริสุทธิ์อยู่ ความขุ่นข้องหมองใจก็เลือนหายไป เขาไม่ใช่คนไร้หัวคิด ตนเองหน้าตาเช่นไรไม่ใช่ไม่รู้ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ไม่แปลกที่เด็กสาวจะหมางเมินเขา แต่ขอเพียงเจิ้งสยาสงบเสงี่ยม ขยันขันแข็ง เขาก็ยินดีจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับเธอ คนขาพิการแซ่หลิวดีกับเจิ้งสยามาก เห็นภรรยาไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ ก็หาผ้าลายดอกมาทำเสื้อผ้าให้ ซ้ำยังยกของอร่อยๆ ให้ทั้งหมดเพราะรู้สึกว่าเธอผอมเกินไป เจิ้งสยาเลยค่อยๆ ตระหนักความดีของคนขาพิการแซ่หลิวทีละนิด เธอพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว จึงคิดว่าอยู่กับคนขาพิการแซ่หลิวก็ไม่เลวร้ายอันใด
เจิ้งหยวนมองคนขาพิการแซ่หลิวและเอ่ยทักทาย “พี่เขยก็มาด้วยเหรอคะ?” สองสามีภรรยาคงได้ยินเื่ของเจิ้งเทียนหู่กันแล้วทั้งคู่
ครั้นได้ยินคำถาม คนขาพิการแซ่หลิวก็ฉีกยิ้มซื่อๆ “ใช่… เธอคือเจิ้งหยวนใช่ไหม?”
เจิ้งหยวนพยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันมาเอ่ยกับเจิ้งสยาต่อ “พี่เสี่ยวสยา พวกพี่คงมาเยี่ยมพี่เทียนหู่กันใช่ไหม? เขาอยู่ในห้อง กำลังตื่นอยู่พอดี พวกพี่เข้าไปเถอะค่ะ”
พูดเสร็จค่อยเอียงตัวหลีกทางให้เจิ้งสยากับคนขาพิการแซ่หลิวเข้าไป
พอเจิ้งสยาเห็นเจิ้งหยวนจะไปแล้วจึงรีบถาม “เธอจะไปแล้วเหรอ? ไม่นั่งเล่นที่บ้านต่อสักหน่อยล่ะ?”
เจิ้งหยวนปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ไม่ดีกว่าค่ะ ที่บ้านยังมีงานอยู่”
เธอออกจากบ้านของป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งแล้ว แต่ยังไม่ทันถึงก้าวที่สองก็ได้ยินเสียงป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งโวยวายดังลั่น แผดเสียงด่าเจิ้งสยาทันที “แกเอาไข่ไก่มาแค่นี้เองเหรอ? ไม่รู้หรือไงว่าพี่ชายแกป่วยน่ะ! ใจแกยังมีพี่ชายอยู่บ้างไหม?”
เจิ้งหยวนหันกลับไปมอง เห็นป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งกำลังแย่งตะกร้าจากเจิ้งสยาไปนับไข่ไก่ เจิ้งสยาโดนดุด่าเสียจนตัวลีบ เธอพยายามอธิบายด้วยเสียงแ่เบา แต่ใบหน้าคนขาพิการแซ่หลิวกลับดูไม่ดีนัก รอยยิ้มไม่เหลืออยู่อีกแล้ว
เห็นดังนั้น เจิ้งหยวนอดหัวเราะเยาะเหยียดหยามไม่ได้ ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเอาเปรียบคนอื่นอย่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว
อีกฟากหนึ่ง เจิ้งเฉวียนกังเห็นว่าในตำรวจสี่นายมีน้องชายเขาอยู่ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าอย่างไรมีคนคุ้นเคยอยู่ย่อมดีกว่าไม่มีคนรู้จักเลยสักคน จากนั้นเขาค่อยยื่นบุหรี่ให้ตำรวจสี่นายคนละมวน ซึ่งเป็บุหรี่จงหัวที่เฝิงเจี้ยนเหวินให้เขามาก่อนหน้านี้
ตำรวจทั้งหลายไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตอะไรในสถานีตำรวจ จึงเป็ครั้งแรกที่ได้สูบบุหรี่ดีขนาดนี้ สหายตำรวจใบหน้าดำกลมแบนคนนั้นเป็คอบุหรี่ สูบเฮือกเดียวก็ััได้ว่าของดี จึงรีบชมไม่หยุด “สหาย บุหรี่ของนายไม่เลวเลย”
เจิ้งเฉวียนกังเอ่ยเสียงสุภาพ “ลูกเขยของฉันส่งมาให้น่ะ วางกล่องทิ้งไว้แบบนั้นตลอดทำใจสูบไม่ลงเลย”
ตำรวจใบหน้าดำแบนยิ้มตอบ “งั้นพวกเราก็ได้อานิสงส์จากลูกเขยคุณแล้ว”
จากนั้นจึงเริ่มเข้าเื่กัน
เจิ้งเฉวียนกังเป็หัวหน้ากอง รู้เื่นี้ดีกว่าเจิ้งหยวนและอธิบายได้ชัดเจนกว่าเจิ้งหยวน ใครเป็คนพบเหตุการณ์ มีใครเข้าบ้านของหวังเฉี่ยวเอ๋อร์บ้าง รวมถึงการจัดฉากในบ้านตอนเช้า เจิ้งเฉวียนกังล้วนเล่าให้ตำรวจฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ต่อมาสหายตำรวจหลายนายเลยขอไปดูสถานที่เกิดเหตุ เจิ้งเฉวียนกังจึงพาพวกเขาไปท้ายหมู่บ้านพร้อมกับหวังหย่งชิ่ง
ระหว่างทาง เจิ้งเฉวียนกังถามอาสามเจิ้งด้วยคำถามเดียวกับเจิ้งหยวนว่าพวกเขารู้เื่นี้ได้อย่างไร เขาจึงตอบพี่ชายคนรองเหมือนที่อธิบายให้เจิ้งหยวนฟังก่อนหน้านี้ ่ท้ายยังแอบตำหนิเจิ้งเฉวียนกัง “พี่รอง ที่บ้านเกิดเื่ใหญ่โตขนาดนี้ทำไมไม่บอกฉัน”
เจิ้งเฉวียนกังเหลือบมองเขาตาเขียว “นี่ใกล้หน้าเก็บเกี่ยว่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ในกองงานเยอะขนาดนั้น ฉันจะมีเวลาที่ไหนไปบอกกับนายโดยตรงล่ะ?”
“นี่มันไม่ใช่เื่เล็กนะ!” อาสามเจิ้งโกรธเหมือนกัน “พี่ไม่รู้อะไร
หัวหน้าฉันได้ยินว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับบ้านเรา เขามาคุยกับฉันเป็พิเศษเลย
เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น พี่ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นฉันอับอายแค่ไหน
ฉันไม่ได้จะว่าพี่นะ แต่ดีร้ายอย่างไรพี่ก็เป็หัวหน้ากอง พี่จะเสียแรงดูแลหู่จื่อของครอบครัวพี่ใหญ่มากกว่านี้สักหน่อยไม่ได้เหรอ? อย่าปล่อยเขาสร้างปัญหาทั้งวี่ทั้งวันไปทั่วเหมือนอันธพาลเลย”
สิ้นเสียงก็เร่งฝีเท้าตามเพื่อนร่วมงานหลายคนข้างหน้าไป ท่าทางเหมือนไม่อยากสนใจเจิ้งเฉวียนกังอีก
เจิ้งเฉวียนกังมองแผ่นหลังน้องชายตนจากข้างหลัง เขาโกรธจนแทบจะกลอกตามองบน ให้เขาจัดการ? เขาจะจัดการอย่างไร? เข้าไปยุ่งทั้งที่พี่ชายคนโต พ่อแท้ๆ
ของหู่จื่อยังไม่สนใจด้วยซ้ำ มันจะดูสอดรู้สอดเห็นน่ะสิ!
“ตรงนั้นครับ กระท่อมที่หวังเฉี่ยวเอ๋อร์เคยอยู่” มือของหวังหย่งชิ่งชี้ไปยังทิศดังกล่าว และเอ่ยกับพวกสหายตำรวจ
ตำรวจทั้งหลายมองไปตามนิ้วมือของเขา กระท่อมของหวังเฉี่ยวเอ๋อร์มองหาง่ายมากเพราะบริเวณนี้มีกระท่อมมุงหญ้าของเธอตั้งอยู่ตรงตีนเขาโดดๆ
เพียงหลังเดียว เื้ัเป็เขาชิงซานเขียวชอุ่ม
แม้เขาชิงซานจะเป็ูเาหินเสียส่วนใหญ่และชั้นดินบางเฉียบ
ก็ยังมีพุ่มไม้เตี้ยพงหญ้าขึ้นอยู่ข้างบนเยอะ เมื่อมองไกลๆ เลยดูชุ่มชื่นเขียวขจี
เดินจากตรงนี้ถึงกระท่อมของหวังเฉี่ยวเอ๋อร์ที่ถนนเส้นเล็กๆ คดเคี้ยวสายหนึ่งทั้งแคบและชัน ทำให้เดินลำบาก ปกติพวกเด็กกับผู้หญิงเลยไม่ใช้เส้นทางนี้ขึ้นเขากัน จะไปถนนบนูเาที่สร้างใหม่ ปูด้วยบันไดหินทางทิศตะวันออกประมาณห้าสิบเมตร ซึ่งเดินง่ายกว่ามากแทน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้