“จริงสิ” หนิงหยวนพูดขึ้นมาอีก “ใต้เท้าสกุลซูบอกว่า หากท่านกลับมาแล้วให้ท่านไปหาเขาที่ห้องตำราขอรับ”
หลินโม่เรียกหานาง?
ฝีเท้าของซูิเยว่ที่เพิ่งจะก้าวเข้าไปในห้องก็หยุดชะงัก แต่ที่หลินโม่เรียกหานางนั้นก็เป็เื่ปกติ “ได้ เช่นนั้นข้าจะไปหาเขา”
“เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านด้วยขอรับ” หนิงหยวนมองนางอย่างเป็ห่วง
“ไม่ต้องหรอก” ซูิเยว่สาวเท้าเดินออกไปด้านนอก “ที่นี่อยู่ภายในจวน ไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นหรอก”
ซูิเยว่ไปห้องตำราของหลินโม่คนเดียว นี่ก็ดึกมากแล้ว แต่ภายในห้องตำราของหลินโม่ยังมีแสงสว่าง คิดไปแล้วก็คงกำลังรอนางอยู่
ซูิเยว่เดินไปด้านหน้ายกมือขึ้นเคาะประตู “ท่านพ่อ ลูกขอเข้าพบเ้าค่ะ”
เพียงครู่เดียวภายในห้องก็มีเสียงทุ้มต่ำดังออกมา “เข้ามา”
ซูิเยว่ผลักประตูเข้าไปก่อนจะหันมาปิดประตู ภายในห้องหลินโม่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ แต่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไท่ซือมองมาที่หน้าประตู
ภายในห้องจุดเทียนแค่เล่มเดียว แสงสว่างภายในห้องจึงมืดเล็กน้อย นางมองสีหน้าของหลินโม่ไม่ค่อยชัด แต่ซูิเยว่พอจะเดาออก
นางเดินไปยืนตรงหน้าหลินโม่แล้วก้มหน้าทำความเคารพเขา “ลูกทำความเคารพท่านพ่อเ้าค่ะ ได้ยินว่าท่านพ่อเรียกลูกมาหาเพราะมีธุระ”
หลินโม่จ้องซูิเยว่อยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองมองตากัน แววตาของคนแรกแฝงไปด้วยการพิจารณา ซูิเยว่เองก็ไม่ได้หลบตา แต่มองกลับไปอย่างเป็ธรรมชาติ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลินโม่ก็เบือนสายตาออกก่อน เขายกน้ำชาที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดื่มก่อนจะพูด “นั่ง”
ซูิเยว่มองตำแหน่งด้านข้างของหลินโม่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าหลินโม่เรียกนางมานั้นอยากจะให้ทำอะไรกันแน่ นางเดินไปนั่ง
หลินโม่พูดต่อ “ที่เรียกเ้ามาก็ไม่ได้มีเื่อะไร แค่อยากจะพูดเื่เมื่อคืน พวกคนชุดดำนั้นมีที่มาอย่างไร เ้าพอจะรู้หรือไม่?”
ซูิเยว่จับปลายจมูกตัวเองแล้วหันหน้าไปมองหลินโม่แววตาใสซื่อ นางส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้เ้าค่ะ ท่านพ่อ”
หลินโม่จ้องตานางเหมือนกำลังพิจารณาว่าคำพูดของนางนั้นเป็ความจริงหรือเท็จ “เช่นนั้นเ้าได้ไปมีเื่อะไรกับใครหรือไม่?”
ซูิเยว่ยังคงส่ายหน้า “ท่านพ่อเองก็รู้ ปกติแล้วลูกไม่ค่อยจะออกจากเรือนเท่าไหร่ คงไม่อาจไปมีเื่อะไรกับใครได้หรอกเ้าค่ะ”
ดวงตาของหลินโม่ยังคงจ้องซูิเยว่อยู่อย่างนั้น ภายใต้ดวงตาสีเข้มมองเห็นความคิดภายในไม่ชัด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เลื่อนสายตาออก
“เอาเถิด เช่นนั้นหากเ้าคิดอะไรออกก็มาบอกข้า ่นี้ก็ออกจวนให้น้อยๆ หน่อย ข้าได้เพิ่มองครักษ์ในเรือนของเ้าแล้ว ตัวตนของคนชุดดำพวกนั้นยังตรวจสอบไม่ได้ เ้าก็ระวังหน่อย”
ซูิเยว่ตอบรับอย่างดี “เ้าค่ะ ท่านพ่อ ลูกจะจำเอาไว้เ้าค่ะ”
“แล้วก็” หลินโม่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอีก “เมื่อตอนกลางคืนเ้าไปหาองค์ชายสามมาหรือ?”
“เ้าค่ะ” ซูิเยว่ตอบตามความจริง “ลูกน้องขององค์ชายได้ผ่านมาทำงานแถวนี้ตอนดึกพอดีก็เลยเข้ามาช่วยลูกไว้ ลูกจึงอยากจะไปขอบคุณองค์ชายสามเ้าค่ะ”
หลินโม่มองนางด้วยความสงสัยแล้วถามเสียงเข้ม “เช่นนั้นเหตุใดถึงได้ไปนานขนาดนั้น?”
ซูิเยว่ลอบพึมพำว่า เ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย “ตอนที่ข้าไปถึง องค์ชายสามกำลังพบแขกอยู่พอดี ข้าจึงรออยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้กลับมาดึกหน่อยเ้าค่ะ”
หลินโม่ได้ยินเช่นนั้น คิ้วของเขาก็พลันขมวดเข้าหากัน “พบแขก? เ้ารู้หรือไม่ว่าแขกนั้นคือใคร?”
ซูิเยว่มองหลินโม่อย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย จิ้งจอกเฒ่ากำลังสงสัยนางอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากรู้ว่าจี๋โม่หานไปพบใครขึ้นมาล่ะ
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบ “ลูกเองก็ไม่รู้เ้าค่ะ แต่ได้ยินคนพวกนั้นเรียกแขกขององค์ชายสามว่าหมออะไรสักอย่าง คงจะเป็หมอน่ะเ้าค่ะ”
คิ้วของหลินโม่คลายออกแล้ววางการระมัดระวังลง จี๋โม่หานมักจะเชิญหมอจากยุทธภพมารักษาตาของเขาเสมอ จึงไม่มีค่าพอให้ไปอยากรู้
ซูิเยว่แสร้งถามด้วยท่าทางไม่เข้าใจ “มีอะไรหรือเ้าคะ? ท่านพ่อ”
หลินโม่มองไปทางนางนิ่งแล้วพูดเสียงเย็น “ไม่มีอะไร เื่ที่ไม่เกี่ยวกับเ้าก็ไม่ต้องถามมาก เ้าแค่ทำเื่ที่ตัวเองต้องทำก็พอ”
“อ๋อ เ้าค่ะ ท่านพ่อ”
ถึงหลินโม่จะไม่ยอมรับ แต่ซูิเยว่ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลินโม่แปลกๆ
“เอาล่ะ ไม่มีเื่อะไรแล้ว เ้าไปได้แล้ว”
“เ้าค่ะ” ซูิเยว่ยืนขึ้น “เช่นนั้นลูกขอกลับก่อน”
หลินโม่ก็กำชับอีกครั้ง “หากไม่มีเื่อะไรก็อย่าไปใกล้ชิดกับองค์ชายสามให้มากนัก”
“เ้าค่ะ” ซูิเยว่รับคำ “เช่นนั้นลูกขอตัวกลับก่อน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านพ่อรีบพักผ่อนนะเ้าคะ”
ซูิเยว่ตรงออกจากเรือนของหลินโม่ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็สงสัย คืนนี้หลินโม่ทำให้นางรู้สึกแปลกๆ เดิมกำลังพูดเื่ของนางอยู่ แต่กลับสนใจเื่ของจี๋โม่หานขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หลังจากซูิเยว่ออกไปแล้ว หลินโม่ก็นั่งอยู่บนเก้าอี้อยู่นานมาก คิ้วขมวดเข้าหากันอยู่ตลอด สีหน้าแสดงออกมาว่าสงสัยหนักมากและกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
เขากำลังคิดว่าคำพูดที่ซูิเยว่พูดเมื่อครู่มีกี่ส่วนที่เป็ความจริง กี่ส่วนที่เป็เท็จ อีกทั้งเหตุใดจู่ๆ ถึงได้มีทหารพลีชีพที่ฝึกมาอย่างดีจำนวนมากบุกเข้ามาในจวนสกุลซูตอนกลางคืนเพื่อจะฆ่าซูิเยว่กัน
จะเป็ใครกัน?
หลินโม่ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทันใดนั้น เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้แล้วเงยหน้าขึ้นทันที ั้แ่ไหนแต่ไรมีแค่คนคนนั้นเพียงคนเดียวที่อยากจะเอาชีวิตซูิเยว่ เพียงแต่เหตุใดคนคนนั้นถึงได้ลงมือกะทันหัน?
หลินโม่ลุกขึ้นแล้วเดินมาที่ข้างโต๊ะหนังสือ เขาดึงลิ้นชักหนีบกระดาษออกมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง “องครักษ์”
ด้านนอกห้องมีเสียงขานรับก่อนจะมีองครักษ์คนหนึ่งเข้ามา ซึ่งก็คือสืออู่คนที่เขาไว้ใจ “ใต้เท้ามีเื่อะไรจะรับสั่งหรือขอรับ?”
หลินโม่หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ในลิ้นชักอีกด้านหนึ่งออกมา จากนั้นก็ส่งป้ายพร้อมกับจดหมายให้กับสืออู่ด้วยท่าทางจริงจัง “รีบเอาป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้ไปเข้าวังเพื่อส่งจดหมายนี้ให้คนคนนั้น”
“ขอรับ” สืออู่รับป้ายกับจดหมายมา เพียงครู่เดียวก็หายตัวไปจากห้อง
ตอนที่ซูิเยว่กลับมาถึงหอฮวาซีก็ดึกมากแล้ว วุ่นวายมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้นางเองก็เหนื่อยอ่อนไปทั้งกายและใจ นางสั่งการพวกเสี่ยวอวี่ง่ายๆ ก่อนจะเข้าห้องไปพักผ่อน
เช้าวันต่อมา ซูิเยว่นอนจนถึงสามข้อไม้ไผ่ [1] ถึงจะตื่น ตอนที่ออกจากเรือนมาเสี่ยวอวี่ก็ยุ่งกับงานอยู่ นางกำลังช่วยหวังซวินขนแต้ฮั้งฮวยหลายกระถางจากเรือนหลังไปด้านหน้าเรือน
พอเห็นนางก็ยืดตัวตรงแย้มยิ้ม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเ้าคะ เช่นนั้นข้าจะไปต้มน้ำมาให้ท่านอาบ”
“อืม” ซูิเยว่ขยี้ตาแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะหินเล็กภายในเรือน ด้วยกลิ่นหอมของแต้ฮั้งฮวยที่กระจายอยู่ภายในห้อง กลิ่นคาวเืจึงอ่อนลงไปมาก
ไม่นานนักเสี่ยวอวี่ก็ต้มน้ำกลับมา จากนั้นก็ดูแลซูิเยว่อาบน้ำจนเสร็จ จากนั้นก็ไปเตรียมอาหารเช้าให้นาง
ซูิเยว่ทานไปก็ถามไป “ด้านนอกมีข่าวอะไรบ้าง?”
เสี่ยวอวี่ส่ายหน้า “ไม่มีเ้าค่ะ หนิงหยวนออกไปสอบถามั้แ่เช้า ด้านนอกไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยเ้าค่ะ”
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว ไม่ควรเป็แบบนี้สิ เมื่อวานเกิดเื่ใหญ่โตขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงคนชุดดำที่จุดสัญญาณเสียงดัง ทั้งด้านนอกจวนก็มีคนตายมากมาย คิดว่ารอยเืน่าจะยังอยู่ด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีใครสงสัยเลยหรือ? ตำแหน่งจวนสกุลซูก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลนี่นา
เชิงอรรถ
[1] เวลาเท่ากับ 7-9โมง ถึง 9-11โมง แต่ไม่ถึง่เที่ยง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้