กลางทุ่งหญ้านั้นลมกระโชกโหมแรง
สายลมพัดผ่านใบหน้าก็เจ็บแสบราวกับถูกกรีด
วสันตฤดูเริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่ออากาศอบอุ่นขึ้นมวลดอกไม้ก็พากันผลิบาน
ทว่าบนทุ่งหญ้าสายลมกลับโหมพัดจนเย็นะเืไปถึงกระดูก
ใบหน้าของทุกคนล้วนถูกลมพัดปะทะจนแดงก่ำ รู้สึกว่ากระทั่งผ้าทอสีเหลืองเขียวก็ยังไม่อาจปกปิดสีแดงบนใบหน้าของพวกเขาไว้ได้
ทว่าก็ไม่มีใครคิดจะยั้งฝีเท้า ยังคงมุ่งมั่นเดินไปด้านหน้า
ขบวนเคลื่อนไปอย่างเงียบงัน
เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะได้ปะทะกับทหารแคว้นจิงมา
เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายมีกันไม่มากมัก มีราวๆ ยี่สิบคนเท่านั้น ทว่ายามที่ทหารเ่าั้มาถึง ก็บุกมาตีทันทีจนพวกเขาแทบจะตั้งตัวไม่ทัน
ชาวหมู่บ้านไป๋กู่โดยส่วนใหญ่กล้าหาญกว่าชาวแคว้นเชินเป็ทุนเดิม ทั้งยังเชี่ยวชาญการขี่ม้า
บนูเาก็มีม้าอยู่ วันธรรมดานอกจากทุกคนจะต้องเรียนอักษรแล้วก็ยังต้องเรียนขี่ม้า กระทั่งชายชราขาด้วนอย่างเหล่าหลิวก็ไม่มีข้อยกเว้น
ทารกบนูเาเมื่อเริ่มเดินได้ ก็จะฝึกให้อยู่บนหลังม้าเพื่อความเคยชิน
แต่กระนั้นเมื่อเทียบกับชาวจิงที่มีพร์ในการขี่ม้าและอยู่บนหลังม้ามาอย่างยาวนาน ก็ยังคงแตกต่างกัน...แตกต่างกันมากเลยทีเดียว
คนแคว้นจิงนั้นราวกับว่าร่างของพวกเขาติดอยู่บนตัวม้าก็ไม่ปาน ยามเคลื่อนไหวจึงได้คล่องแคล่วนัก ทั้งยามก้มลงโจมตีหรือหลบหลีกล้วนแต่ร้ายกาจ
ส่วนหมู่บ้านไป๋กู่นั้นมีเด็กหนุ่มเพียงไม่กี่คนที่ทำได้ เช่นอาลู่ที่ยามอยู่บนหลังม้ายังสามารถก้มตัวไปเก็บของบนพื้นได้ ส่วนคนอื่นนั้นนับว่ายากลำบากนัก ส่วนใหญ่ก็เพียงแค่ขี่ม้าเป็ ทว่าจะให้ออกลีลาท่าทางก็ไม่ใคร่จะถนัดกันเท่าใด
อีกทั้งยามสองกองทัพปะทะกัน จะมีเวลาไหนไปเรียนรู้อีกฝ่าย ล้วนแต่ต้องพุ่งเข้าสู้เท่านั้น
การปะทะระลอกแรกอีกฝ่ายยังมีคนน้อยนัก
หมู่บ้านไป๋กู่ยังให้กำลังหลักเป็คนออกตัวก่อน จึงได้โจมตีอีกฝ่ายให้เสียหายและอ่อนแอลงได้ จากนั้นจึงให้ทหารหญิงออกตัว ถือเป็การฝึกฝนพวกนาง
เพียงเท่านี้พวกเขาก็แทบจะเกินขีดจำกัดแล้ว
เหล่าทหารแคว้นจิงที่โดนโจมตีไปนั้น ก็ช่างกล้าหาญหาใครเปรียบ
พวกเขาราวกับกำเนิดมาเป็นักสู้ กระทั่งเห็นว่าคนตรงหน้าที่ตนกำลังสู้ด้วยเป็สตรี ก็ยิ่งหัวเราะดังขึ้นด้วยใบหน้าดูแคลน
เ้าพวกไก่อ่อนแคว้นเชิน ถึงขั้นให้สตรีมาออกรบเชียวหรือ ช่างน่าขันเสียจริง
แม้ทหารแคว้นจิงจะมีเพียงยี่สิบคน แต่เหล่าทหารหญิงก็ตึงเครียดนัก
ใบหน้าซีดขาวพร้อมมือสั่นเทาทั้งสองข้างของพวกนางฟาดฟันลงไปเพื่อปลิดชีพทหารแคว้นจิง
กระทั่งมีแม่นางคนหนึ่งบนหลังม้าที่ถึงขั้นกระอักเื
พวกนางเพิ่งจะฆ่าคน
อู๋เจียงที่เบียดอยู่ท่ามกลางเหล่าแม่นางครั้งนี้ก็แสดงฝีมือได้ดีนัก แม้ว่าเขาจะยังาเ็อยู่ ทั้งแผลยังสาหัสไม่เบา ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็ถึงแม่ทัพมาก่อน ทั้งยังเคยนำทัพออกรบ
เมื่อกองทัพเริ่มระส่ำระสายเขาก็ลงมือออกคำสั่งเอง พาทุกคนเดินหน้าบุกและถอยหนี จนกองทัพนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ท่ามกลางเหล่าแม่นาง แม่นางหลานอวี้โดดเด่นยิ่งนัก นอกจากทักษะการนำกองทัพ เื่อื่นนางล้วนไม่ด้อยไปกว่าอู๋เจียง
ทั้งสองคนยามอยู่ในกองกองทัพจึงร่วมมือกันได้ดีนัก
เวลาที่สู้อยู่ในสนามรบในความรู้สึกว่ากันแล้วก็ช่างยาวนาน ต้องผ่านคมหอกคมดาบคมธนูที่หวังจะปลิดชีพตนนับไม่ถ้วน แต่ในความเป็จริงแล้วเวลาก็ล่วงเลยไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น
ทุกคนยังคงออกเคลื่อนพลไปด้านหน้า
เหล่าคนที่าเ็สาหัสก็ให้รั้งรอที่นี่ แล้วค่อยจัดแจงส่งกลับไปบนูเากระดูก เหล่าคนที่าเ็สาหัสนั้นก็แน่นอนว่าเป็คนชราและคนพิการ เมื่อได้รับาเ็สาหัสเพิ่มก็ยิ่งทำให้พวกเขาน่าเวทนานัก
ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้รับาเ็ไม่มาก ก็เพียงทำแผลแล้วออกเดินทางต่อ
เฉินโย่วเองก็อยู่ในขบวนด้วยเช่นกัน ครานี้น้าหลัวของนางไม่ได้ติดตามมาด้วย เมื่อเช้าน้าหลัวก็กล่าวแล้วว่าจะรอให้ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย ส่วนนางจะคอยดูแลบ้านให้ดี
ข้างกายนางยังมีท่านอาจารย์กัวและพี่สวิน
ส่วนพี่ชายและพี่อู่ล้วนแต่ไปอยู่กองหน้า ท่านลุงสามก็เช่นกัน
พี่สวินใบหน้าซีดขาว แม้กระทั่งสีเหลืองสีเขียวที่บนอยู่บนหน้าเขา ก็ยังไม่อาจปกปิดมันได้มิด
ส่วนท่านอาจารย์กัวก็เอาแต่นิ่วหน้าจนร่องลึกบนใบหน้าเด่นชัดขึ้นมา
ไม่กี่วันมานี้ผมบนศีรษะของท่านอาจารย์ก็มีแต่จะขาวขึ้น
แม้ว่าปกติยามยังอยู่บนเขาท่านอาจารย์จะเอาแต่กล่าวว่าเขาโกรธนาง โกรธเสียจนศีรษะขาวโพลนไปหมดแล้ว แต่นางกลับเห็นว่าผมบนศีรษะของท่านอาจารย์ยามอยู่บนเขานั้นนับวันก็ยิ่งจะดกดำเงางาม
ทว่าตอนนี้ผมของท่านอาจารย์กลับเป็สีขาวแล้วจริงๆ
“พี่สวิน หากท่านเหนื่อยก็พักสักครู่เถิด พวกคนชั่วคงจะไม่โผล่มาตอนนี้” เฉินโย่วกล่าวกับพี่ชาย
อาสวินเม้มปากแน่นแล้วส่ายหน้า
เขาไม่เป็ไร เมื่อเทียบกับเหล่าคนที่ต้องไปสู้รบอยู่กองหน้าแล้วเขานับว่าดีกว่ากันมากนัก
เขาเพียงแค่ยังปรับตัวไม่ได้เท่านั้น
เขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงยังปรับตัวไม่ได้ ทั้งที่เข้านั้นเป็เด็กที่กำเนิดขึ้นในถ้ำเชลยแท้ๆ เื่ความเป็ความตายก็ควรจะชินกับมันตั้งนานแล้ว
ทว่าบัดนี้ร่างกายของเขากลับรู้สึกทรมานเหลือเกิน
บางทีอาจเป็เพราะหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินไป จึงทำให้หลงลืมความโหดร้ายเ่าั้ไปจนสิ้น
ทว่าภาพตรงหน้าในตอนนี้นั้นกลับโหดร้ายกว่าภาพในถ้ำเชลยมากนัก ตลอดเส้นทางมีแต่ร่างไร้ิญญานอนเกลื่อน
ทั้งศพเด็กดูเหมือนจะมีจำนวนมากที่สุด ทุกร่างล้วนแต่ถูกฟันให้ขาดเป็สองท่อนราวกับให้เด็กเหล่านี้ตายจนมิอาจตายได้อีกแล้ว ทั้งทหารแคว้นจิงยังเหี้ยมโหดราวกับสัตว์เดรัจฉาน พวกเขาไม่เพียงแต่ฆ่าคนให้ตายเท่านั้น แต่ยังทำร้ายศพอีกด้วย ร่างไร้ลมหายใจของเด็กๆ ล้วนแต่ถูกควักตา ดังนั้นศพที่เห็นจึงไร้ดวงตา มีแต่รูกลวงโบ๋ที่เต็มไปด้วยเื คนที่เห็นภาพนี้ล้วนแต่ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน
อาสวินยอมรับว่าเขาก็เป็บัณฑิตที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ทว่าเมื่อเห็นภาพเ่าั้ เขาก็ยังไม่คุ้นชินนัก บัดนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลง ด้วยกลัวว่าจะเห็นภาพอันโหดร้ายเ่าั้
“ข้าไม่กลัว หากอาโย่วอยากจะพัก ก็มาพิงพี่ชายหลับสักครู่ดีหรือไม่” อาสวินเอ่ยถามขึ้น
เฉินโย่วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า
นางเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายจึงรู้สึกหนักอึ้งอยู่ตลอดเวลาจนนางอ่อนแรงเหลือเกิน
นางจึงพยักหน้าแล้วเอนพิงพี่ชาย หลับตาลงเพียงครู่เดียวนางก็หลับลึกเสียแล้ว
ขนตางอนยาว ใบหน้ากลมเกลี้ยง
อาสวินเมื่อเห็นว่าน้องสาวเป็เช่นนี้ก็กังวลใจขึ้นมา จึงได้หันไปมองทางท่านอาจารย์กัว
ท่านอาจารย์กัวขมวดคิ้วขึ้น แล้วจึงส่ายหน้าไปมา
เมฆครึ้มพลันสลาย แสงตะวันพลันฉายแสง
เพียงครู่เดียวความอบอุ่นก็แผ่ซ่าน สายลมที่กระโชกก็หยุดลงเช่นกัน
ทำให้ความรู้สึกหนักหน่วงในใจของผู้คนในกองทัพพลันผ่อนคลายลงเช่นกัน
อาสวินยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กหญิงที่พิงตนอยู่เบาๆ นางคงจะกำลังหลับลึก ท่าทีเช่นนี้ช่างทำให้รู้สึกว่าวันเวลาช่างสงบสุขเหลือเกิน
เขาชอบน้องสาวเหลือเกิน
ไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นั้แ่เมื่อใด
บางทีอาจจะเป็ั้แ่ครั้งแรกที่เห็นนาง
หรืออาจจะเป็ครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม
์ช่างดีต่อเขานัก
นิ้วเรียวยาวของเด็กหนุ่มสอดเข้าไปใต้เรือนผมสั้นๆ ของเด็กหญิง กล่าวได้ว่าคงจะมีเพียง่เวลานี้ที่เขากล้าที่จะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เพราะบางทีความตายนั้นอาจจะกำลังเดินทางมาเยือนเขาอยู่
เขายังจำท่วงท่าสง่างามของพี่ลู่ยามหวีผมให้นางและเขาได้
ทว่าเขากลับไม่กล้าหวีผมให้นางแบบที่พี่ลู่เคยทำ
ยามอยู่ใต้แสงตะวันอบอุ่นเช่นนี้ อาสวินก็รู้สึกเอ้อระเหยขึ้นมา ทั้งในอ้อมกอดยังมีน้องสาวนอนอยู่ เฉินโย่วน้อยที่หลับอุตุอย่างสบายใจ
เขาได้กลิ่นหอมของต้นหญ้าที่เพิ่งผลิใบ
แม้กลิ่นของมันจะผสมปนเปมาด้วยคาวเืก็ตาม
ทันใดเด็กหญิงในอ้อมกอดเขาก็ลืมตาขึ้น
ดวงตาของนางล้ำลึกราวกับห้วงสมุทรที่ไร้ก้นบึ้งในคืนเดือนดับ
อาสวินพลันใจหล่นวูบ
ต่อมานางหยัดกายพรวดลุกขึ้นนั่ง
ดวงตะวันที่เพิ่งจะทอแสงผ่านหมู่เมฆลงมา เพียงพริบตาก็พลันหายลับไปหลังหมู่เมฆทะมึนที่ถาโถมเข้ามา ท้องทุ่งหญ้าเบื้องหน้าก็พลันมืดครึ้มลงทันใด
ทั่วทั้งท้องทุ่งหญ้าพลันสั่นะเื
กองทัพจิงมาแล้ว
ทหารจิงมากมายกำลังบุกเข้ามา
เสียงอึกทึกนั้นราวกับมีม้านับหมื่นตัวกำลังห้อตะบึง
เพียงชั่วขณะผู้คนรอบข้างก็พากันลนลาน แม้แต่อาลู่ที่เหี้ยมโหดราวหมาป่า หรือนายท่านสามที่ไม่เคยกลัวตาย หรือกระทั่งเสี่ยวอู่ผู้กล้าหาญ ด้วยเพราะม้าที่พวกตนขี่อยู่นั้นต่างก็วุ่นวายขึ้นมา จึงทำให้พวกเขาถอยหลังหนีกลับไม่ได้
ราชครูเองก็ตึงเครียดไม่ต่างกัน แม้เขาจะเคยส่งทหารจำนวนนับไม่ถ้วนไปออกรบ ทว่าครั้งนี้กลับเป็ครั้งแรกที่เขาเคยได้เข้าใกล้สนามรบถึงเพียงนี้
“ท่านอาจารย์กัว พวกเราถอยดีหรือไม่” อาสวินถามขึ้นอย่างร้อนรน
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็หันมาจับจ้องที่ท่านอาจารย์กัว
ทว่าท่านอาจารย์กัวกลับมองไปทางเฉินโย่ว
เฉินโย่วนั้นไม่รู้ว่าขึ้นไปนั่งหลังตรงอยู่หลังเ้าม้าสีนิลตัวั์ั้แ่เมื่อใด แววตาของนางมองทุกคนอย่างล้ำลึก มือเท้าล้วนแต่ไม่สั่นไหว ราวกับว่านางนั้นถือกำเนิดมาเพื่ออยู่ในสนามรบก็ไม่ปาน
อู๋เจียงแหงนมองเด็กหญิงบนหลังม้า บัดนี้กลับเชื่อมโยงภาพของนางเข้ากับหลานสาวของตนไม่ได้อีกแล้ว
ท่าทางของเฉินโย่วบนหลังม้าดูคล้ายกับว่านางเป็องค์ชายองค์หนึ่ง
“พวกเรามิถอย พวกเรามิอาจถอย”
สายลมกระโชกแรงนัก เปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำไม่ต่างกัน
ในขณะที่เปลวเพลิงเ่าั้แผดเผานาง นางพลันระลึกถึงต้นอู๋ถงอยู่ต้นหนึ่งในใจนาง ใบของมันเป็สีเขียวราวกับมรกต ลมที่โบกพัดก็แสนสบาย ใต้ต้นอู๋ถงยังมีท่านแม่แท้ๆ ของนางคอยปลอบโยน
