เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าพร้อมกล่าว “ลูกมีความผิด ทำตามความคาดหวังของเสด็จพ่อไม่ได้”
จักรพรรดิทำได้เพียงถอนหายใจในท้ายที่สุด หลังจากนั้นเป็จึงตรัส “เ้าอ่อนแอั้แ่ยังเด็ก ช่างมันเถิด...กระแสน้ำวนในโซ่วหลิงนี้ไม่เหมาะกับเ้าจริง”
เจียงเฉิงเยว่มองท่านพ่อของตนเอง ในใจมีความอบอุ่นพรั่งพรูเข้ามา ปัจจุบันในราชสำนักมีสถานการณ์อย่างไร เขาไม่ได้ทราบทั้งหมดและทอดทิ้งท่านพ่อไปเช่นนี้ เสด็จพ่อต้องเผชิญหน้าโดยลำพังกับแรงกดดันของขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากเพียงไหนจึงจะสามารถปกป้องตนผู้ที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด ซึ่งเป็ทายาทสูงศักดิ์ที่ไม่คู่ควรอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเป็เพียงคนเกียจคร้านที่ร่ำรวยและอยู่ห่างไกลจากข้อพิพาท
เจียงเฉิงเยว่ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงโขกศีรษะให้ท่านพ่ออีกสองสามครั้ง ความรักของบิดาที่ราวกับูเาซึ่งไม่เคยได้ััยามมีชีวิต กลับไม่คาดคิดว่าจะได้ััผ่านหลี่อวิ๋นเฉิน กล่าวตามความจริงแล้ว เขามีความรู้สึกอิจฉาอยู่หลายส่วนต่อหลี่อวิ๋นเฉินที่มีท่านพ่อเช่นนี้
หากคิดดูแล้ว สิ่งที่เขาสามารถทำได้เพื่อท่านพ่อมีเพียงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาิญญาของบุตรชายคนโตที่แท้จริง ซึ่งท่านพ่อโปรดปรานมากที่สุดให้สมบูรณ์ให้มีโอกาสได้กลับชาติมาเกิดตามปกติ แทนที่จะโดนคนทรยศทำร้ายถึงขั้นิญญาแตกสลาย…
หากพวกเขามีวาสนากันจริง...ไม่แน่ว่าชาติหน้าอาจกลายเป็ครอบครัวเดียวกันอีกก็ได้
.............................
เจียงเฉิงเยว่ไม่กล้าไปที่วังหลินเฉวียนด้วยตนเอง กลับส่งคนไปแจ้งหลี่อวิ๋นหังถึงเวลาที่ตนเองเตรียมจะกลับไปเขาฉีหวน พร้อมสอบถามความคิดเห็นของเขา
สำหรับความ้าที่จะอยู่ในโซ่วหลิงต่อ เจียงเฉิงเยว่เคยกล่าวกับเสด็จพ่อแล้วจึงไม่มีปัญหาใด และผลลัพธ์เป็ไปอย่างที่คาดคิด หลี่อวิ๋นหังมีความคิดเหมือนกับเขา เลือกจะกลับไปยังเขาฉีหวนเพื่อบ่มเพาะเช่นเดียวกัน
.............................
่เวลาออกเดินทาง เจียงเฉิงเยว่จงใจเลือกเวลาที่เสด็จพ่อยุ่งอยู่กับเื่ภายในโดยไม่มีเวลามาส่ง เขาเพียงพาคนไปที่นอกวิหารเพื่อบอกลาคนในวิหารรอบหนึ่งแล้วจึงจากไป สิ่งที่เจียงเฉิงเยว่เกลียดที่สุดในชีวิตนี้คือการจากลา เดิมทีนับเป็เื่โศกเศร้าและเ็ป หากยังต้องกระทำการอย่างจริงจัง...ย่อมเป็การรนหาความโหดร้ายให้กับตนเองมิใช่หรือ? เขาชอบการจากไปอย่างเงียบงันมากกว่า การกลับมาอย่างเงียบๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นนี้ย่อมมีอิสระมากขึ้น
หลังจากเห็นหลี่อวิ๋นหังบริเวณนอกราชรถ เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอับอายเล็กน้อย
“เสด็จพี่” หลี่อวิ๋นหังทำความเคารพด้วยสีหน้าปกติ
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ เอ่ยพร้อมรอยยิ้มแห้ง “พอดีเลย ใกล้จะได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะๆ”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าพร้อมตามเจียงเฉิงเยว่ขึ้นรถ
ภายในรถม้าที่เงียบสงัด ได้ยินเสียงล้อรถหมุน ‘กุบกับๆ’ เสียงของคนขับที่นอกรถม้า เสียงเกือกม้าขององครักษ์ที่ติดตามมา และเสียงดังจอแจของผู้สัญจรนอกเมืองโซ่วหลิง องค์ชายทั้งสองยังคงนั่งอุดอู้อยู่ในรถ ต่างไม่สนทนา
โชคดีที่เจียงเฉิงเยว่คาดคิดมาก่อน จึงแสร้งทำเป็หยิบหนังสือออกมาอ่าน ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจได้เล็กน้อย เขาก้มศีรษะจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือ ไม่กล้าเงยหน้ามองหลี่อวิ๋นหัง ไม่รู้ว่าเดินทางไปนานเท่าไรแล้ว หนังสือในมือของเขาไม่เคยพลิกแม้แต่ครึ่งหน้ากระดาษ แต่กลับใกล้จะผล็อยหลับไปทีละนิด
เขาคิดว่าท่าทางเช่นนี้น่าเกลียดอยู่เล็กน้อย แต่ว่าความง่วงงุนนั้น ความจริงแล้วใช่ว่าใช้ความพยายามแล้วจะสามารถต้านทานได้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ศีรษะของเขาเริ่มแกว่งไกว ศีรษะเกือบลงไปกับพื้น องค์รัชทายาทใจนตื่นขึ้นการหลับใหลในทันที เขาลอบมองหลี่อวิ๋นหัง ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ได้มองมาทางนี้ เจียงเฉิงเยว่ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น จึงกระแอมไอสองครั้งเพื่อให้โล่งคอก่อนยืดร่างตรง เปลี่ยนท่าทางเป็แสร้งอ่านหนังสืออย่างจริงจังอีกครั้ง
ทันใดนั้น หนังสือในมือถูกคนที่นั่งตรงข้ามดึงออกจากฝ่ามือเบาๆ หลังเจียงเฉิงเยว่เงยหน้าขึ้นก็เผชิญกับใบหน้าที่สงบของหลี่อวิ๋นหัง อีกฝ่ายพูดอย่างเฉยเมย “การอ่านในรถนานๆ จะทำให้ปวดตา”
“เอ่อ...โอ้...” หนังสือถูกหลี่อวิ๋นหังเอาไปแล้ว เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอึดอัดใจอีกครั้ง มือไม้เขาอ่อน จากนั้นจึงเลียนแบบหลี่อวิ๋นหังโดยหันศีรษะไปมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง พลางยื่นมือไปเลิกม่านขึ้น
“เสด็จพี่...”
“หืม?” เขาหันกลับมามอง
หลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะเครียดเล็กน้อย อีกฝ่ายหยุดนิ่งชั่วคราว เม้มปากเล็กน้อยแล้วถาม “เสด็จพี่...โกรธข้าหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ใ เขารีบส่ายศีรษะตอบ “ไม่ๆๆ อาหัง เ้า เ้าอย่าคิดมาก” เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดในทันที หลังจากที่ตนเองถูกไล่ลงจากเตียง เป็เวลาหลายวันติดต่อกันที่ไม่ได้ไปเกาะแกะอีกฝ่าย อืม...สถานการณ์นี้กลับดูเหมือนโกรธจริงเชียว
ข้าไม่ได้โกรธเ้า เพียงแค่หมกมุ่นกับเ้าแล้วรู้สึกไม่มีหน้าไปพบเ้าก็เท่านั้น แน่นอนว่าเหตุผลนี้ เจียงเฉิงเยว่ไม่มีทางอธิบายให้ฟังได้
หลี่อวิ๋นหังเพียงแค่มองเขาอย่างเงียบงัน สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ
หลังจากมองเห็นความเศร้าและความโดดเดี่ยวเผยบนใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะได้รับความทรมานอย่างที่สุดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ เจียงเฉิงเยว่จึงรีบยื่นมือไปจับพร้อมอธิบาย “อาหัง...เสด็จพี่ไม่ได้โกรธจริงๆ เพียงแค่...เพียงแค่สองวันที่ผ่านมา...รู้สึกไม่ค่อยสบายนักจึงคร้านที่จะออกไปข้างนอก และอยู่ในวังตลอด” เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายแล้วจึงคิดคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
เมื่อกล่าวจบ หลี่อวิ๋นหังเข้าใจขึ้นมา ภายในวังองค์รัชทายาทไม่อาจเยี่ยม แม้ว่าเขา้าไปเยี่ยมแต่กลับมิอาจพบ หลี่อวิ๋นหังจับมือของอีกฝ่ายไว้แน่น ลุกขึ้นตามมานั่งข้างกัน จากนั้นกระชับเสื้อคลุมที่คลายจากการงีบหลับบนร่างนั้น ตบไหล่ของตนเองแล้วพูดอย่างอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มน้อย “ให้เสด็จพี่พิง”
หลังจากเจียงเฉิงเยว่เห็นเขาทำตัวเหมือนเด็กอีกครั้ง มีความออดอ้อน ความห่างเหินและความน้อยอกน้อยใจที่สะสมในหลายวันที่ผ่านมาจึงหายไปหมดจด ในใจเริ่มอบอุ่นขึ้นอย่างหอมหวาน ต่อมาจึงปฏิบัติกับอีกฝ่ายเหมือนเป็เด็กด้วยการบีบใบหน้านั้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจนะอาหัง!” ขณะที่พูดก็พิงบนไหล่นั้นอย่างไม่เกรงใจ เอนกาย เอาเสื้อคลุมมาห่มบนร่างแล้วหลับใหลไปจริงๆ
เมื่อหลับตาลงเขาก็ยังคงคิด ช่วยไม่ได้จริงเชียว ไม่ว่าจะบอกตนเองอย่างไรว่าให้รักษาระยะห่าง การหยอกล้อเด็กเป็สิ่งเสพติดได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การกลับไปที่วิหารหลิงเซียวคือการฝึกฝน ไม่มีผู้คนและเื่ราวเ่าั้ในโซ่วหลิงแล้ว มีเพียงเขากับอาหังเท่านั้นที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน...อย่างน้อยรอให้อาหังโตขึ้น รอให้เขารู้ว่าความรักคืออะไร...บางทีตนเองอาจรักษาระยะห่าง หรืออาจถูกอีกฝ่ายล่วงรู้เข้า…
เดิมทีเขามีใบหน้าเซื่องซึม แต่หลังจากคืนดีกับหลี่อวิ๋นหังแล้วราวกับทิ้งหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจออกไป ทั้งร่างผ่อนคลายขึ้นมา ดังนั้นจึงเข้าสู่ความฝันแสนหวานอย่างรวดเร็ว
เจียงเฉิงเยว่ฝันถึงเื่ราวมากมาย จากนั้นถูกปลุกด้วยเสียงดังกับความรู้สึกไร้น้ำหนักจากการหมุนที่น่าวิงเวียน เขารู้สึกว่าตนเองชนกับอะไรอย่างกะทันหัน ทว่าเนื่องจากถูกโอบกอดไว้แน่น ใต้ร่างมีร่างที่อบอุ่นและนุ่มนวลรองรับอยู่จึงไม่รู้สึกเ็ปแม้แต่น้อย เพียงรู้สึกใเท่านั้น
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ จากอ้อมแขนของหลี่อวิ๋นหัง หลังจากนั้นขยี้ตา กลับเห็นว่าตนเองกดหลี่อวิ๋นหังไว้ใต้ร่าง รถม้าทั้งคันเอียง มีเสียงตื่นตระหนกอยู่ด้านนอก
ศีรษะหลี่อวิ๋นหังแนบไปบนผนังไม้ของรถม้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะเดียวกันก็กอดเจียงเฉิงเยว่อย่างแ่าแล้วเงยหน้ามองออกไปด้านนอก เจียงเฉิงเยว่รีบถามด้วยความใ “อาหัง...เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังส่ายศีรษะเล็กน้อยบอก “ไม่เป็ไร”
ผ้าม่านรถถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นใบหน้าที่หวาดกลัวสุดขีดขององครักษ์กับคนขับรถม้า ทั้งสองคนประคองหลี่อวิ๋นหังกับเจียงเฉิงเยว่ที่อยู่ในรถขึ้นมา จากนั้นใบหน้าซีดเซียวของพวกเขาเริ่มคุกเข่าอยู่ด้านนอกกับเหล่าผู้รับใช้ที่ติดตามมาอย่างตัวสั่นงันงก “ฝ่าา พวกเราสมควรตาย! ทำให้ทั้งสองพระองค์ทรงตกพระทัย!!!”
หลี่อวิ๋นหังะโลงจากขอบรถที่บิดเบี้ยวไปแล้ว ก่อนยื่นมือมาประคองเจียงเฉิงเยว่ที่อยู่ด้านหลัง เจียงเฉิงเยว่ะโเข้าไปในอ้อมแขนแล้วหันมาสบตา เดิมทีเป็ล้อรถที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงหลุดออกไป ส่วนเพลาครึ่งหนึ่งหักหลังจากที่ถูกแรงเฉื่อยลากไประยะหนึ่ง
“ชิ” เจียงเฉิงเยว่มองสภาพอันน่าเวทนาของเพลารถนั้น รู้ว่าอาจซ่อมไม่ได้เป็เวลานาน การเดินทางช่างยากลำบาก ล้อไม้กับเพลารถที่ไม่ได้รับการกระแทกหรือหักไปก็มีอยู่บ้าง เพียงแต่เขากับหลี่อวิ๋นหังอาจต้องโชคร้ายในเวลาต่อมา
หลังมองดูกลุ่มคนที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้นดิน ยามนี้หากจะตำหนิพวกเขาว่าเหตุใดจึงไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนย่อมไม่ช่วยอะไร เขาจึงมองไปรอบๆ แล้วถาม “ที่นี่คือที่ไหน? พวกเราเดินทางมาไกลเท่าไรแล้ว?”
ขันทีในชุดสีม่วงรีบกล่าวอย่างชัดเจน “ทูลฝ่าา ออกจากโซ่วหลิงมาระยะหนึ่งแล้ว...ควรจะเป็เมืองหลงเกิงที่อาจอยู่ไม่ไกลจากข้างหน้า ดูเหมือนว่าราชรถอาจยังจัดการไม่เรียบร้อยไปสักพัก ฝ่าาทั้งสองพระองค์ ไม่อย่างนั้นเคลื่อนย้ายไปที่เมืองก่อนเพื่อพักสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า เขามองไปยังแสงสนธยากำลังลาลับบนขอบฟ้า คาดว่าวันนี้มีความเป็ไปได้มากที่จะต้องค้างคืนในเมืองหลงเกิง เวลาไม่คอยท่า เขาจึงบอกกับทุกคน “ตกลง”
องครักษ์รีบปล่อยม้า หลังจากนั้นเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังจึงแยกกันขี่ม้าคนละตัว พาคนบางส่วนเดินทางไปก่อน เหลือไว้เพียงบางส่วนที่คอยคุ้มครองกับรอซ่อมราชรถสักครู่
เมื่อเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังออกจากพระราชวัง ต่างก็เปลี่ยนจากฉลองพระองค์ขององค์ชายที่ปักลวดลายัจำศีลซึ่งอาจเปิดเผยตัวตน เวลานี้ต่างสวมชุดลำลองเข้ามาในเมืองอย่างเงียบงัน คนสัญจรรับรู้เพียงว่าเป็คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่มาจากโซ่วหลิง ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดาจึงอดไม่ได้ที่จะมองอยู่หลายครั้ง
หลายคนเลือกโรงเตี๊ยมที่มีทำเลและการตกแต่งไม่เลวเพื่อเข้าพัก เหล่าข้าราชบริพารและคนรับใช้ล้อมทั้งสองคนไว้ ต่างเกรงกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดซึ่งอาจไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เจียงเฉิงเยว่ถูกท่าทางราวกับต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็ทหารทั้งหมด1 ทำให้รู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย เขาปิดปากก่อนยกยิ้ม “เอาล่ะ...เสียงเบาหน่อย กลัวคนอื่นไม่รู้หรืออย่างไร? แยกย้ายกันให้หมด แยกย้ายเสีย ไปหาห้องพักของตนเอง หากมีเื่ ข้าจะเรียกหาเอง”
ทุกคนกล่าว “ขอรับ” แล้วแยกย้ายกันไปตามคำสั่ง
เจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังเข้าไปในห้อง ห้องของทั้งสองคนอยู่ติดกัน ทั้งอยู่ติดถนนและหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ เป็ห้องรับรองที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เจียงเฉิงเยว่ตรวจสอบรอบห้องของตนเอง นับว่าน่าพึงพอใจ เมื่อเห็นว่าหน้าต่างที่หันไปทางถนนปิดอยู่ จึงลุกขึ้นเพื่อเปิดหน้าต่างเนื่องจาก้าสูดอากาศ ทว่าเมื่อเปิดหน้าต่างกลับพบว่าหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ห้องถัดไปเองก็เปิดหน้าต่างออก กำลังเอนตัวไปด้านหน้าโดยเอาคางเกย มองโรงน้ำชาที่เต็มไปด้วยลูกค้าฝั่งตรงข้ามของถนนด้วยความสนใจ ขณะนี้มีเสียงหัวเราะ น้ำเสียงสนุกสนานปะปนกับเสียงเครื่องดนตรีเป็ระยะ ดูเหมือนยังมีเสียงดังฉะฉานของนักเล่าเื่แว่วมาอย่างแ่เบาอีกด้วย
เจียงเฉิงเยว่สังเกตเห็นว่า เวลาอีกฝ่ายอยู่คนเดียวเป็การส่วนตัวจะเผยความสงสัยและความคาดหวังที่มีต่อสิ่งใหม่ๆ อย่างแท้จริง จึงอดไม่ได้ที่จะใจเต้นรัว
“แค่กๆ อาหัง” เขากระแอมเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจ
หลี่อวิ๋นหังใไปครู่หนึ่ง จากนั้นหันศีรษะมาทางเขา เผยความเขินอายเล็กน้อย ราวกับว่าไม่ควรให้เสด็จพี่เห็นตนเองจ้องมองที่ถนนด้วยท่าทีไร้เดียงสาทั้งยังเหม่อลอย เริ่มเอ่ยเสียงต่ำ “เสด็จพี่”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้ม จากนั้นหันหน้าไปทางโรงน้ำชาแห่งนั้นที่อยู่ตรงข้าม บอกด้วยรอยยิ้มบาง “เสด็จพี่หิวแล้ว ได้เวลาพอดี พวกเราไปที่ตรงข้ามถนนเพื่อกินและดื่มชากัน ว่าอย่างไร?”
หลี่อวิ๋นหังลังเลเล็กน้อยพลางหันศีรษะกลับไปมอง แล้วถึงหันมาหาเจียงเฉิงเยว่ เจียงเฉิงเยว่เข้าใจในทันทีว่าเหล่าข้าราชบริพารและองครักษ์เ่าั้อาจมาทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่จึงไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ดูข้านะ” หลังจากพูดจบ เขาหันหลังกลับแล้วเปิดประตูห้อง ก่อนยื่นมือออกไปเรียกข้าราชบริพารที่ยืนคุ้มครองและรับใช้ตลอดเวลาบริเวณหน้าบันไดพร้อมกำชับเสียงต่ำ “ข้าอ่อนเพลีย จะนอนก่อน อาหารเย็นไม่ต้อง พวกเ้าไม่ต้องมารบกวน...”
ข้าราชบริพารลำบากใจอยู่เล็กน้อย “ฝ่าา นี่...”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “หืม?”
ด้วยอำนาจที่บีบบังคับ ข้าราชบริพารทั้งสองจึงรีบพยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม “พ่ะย่ะค่ะ...ฝ่าาทรงพักผ่อน หากตื่นบรรทมด้วยความหิว โปรดรับสั่งกับพวกเรา”
หลังจากนั้น เจียงเฉิงเยว่จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความพึงพอใจแล้วกำชับอีกครั้ง “องค์ชายห้าใกล้เข้าสู่จุดสำคัญของการฝึกฝน หากเขาไม่ได้เรียกก็ไม่ต้องไปรบกวน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงเยว่กลับมาที่ห้อแล้วปิดประตู จากนั้นะโเข้าไปในห้องของหลี่อวิ๋นหังจากขอบหน้าต่าง หลี่อวิ๋นหังตกตะลึง แต่เจียงเฉิงเยว่กลับระบายยิ้ม “ไปกันเถอะ”
ด้วยเหตุนี้ องค์ชายทั้งสองจึงทิ้งเหล่าข้าราชบริพารที่ติดตามมา ลอบออกไปพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง เจียงเฉิงเยว่จับมือหลี่อวิ๋นหังด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่เข้าไปยังร่างของหลี่อวิ๋นเฉินแล้ว ไม่สิ ควรกล่าวว่าั้แ่ก่อนที่ประเทศซีเฉียนจะล่มสลาย เขาไม่เคยได้เดินไปตามถนนอย่างผ่อนคลายและพึงพอใจเช่นนี้ อีกทั้งการแอบออกมาภายใต้หนังตาของเหล่าข้าราชบริพารและองครักษ์ ค่อนข้างตื่นเต้นนักราวกับแหกคุกได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นคือมือเขายังคงจับหลี่อวิ๋นหังไว้อยู่
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้องครักษ์เ่าั้ที่ติดตามมาจากโซ่วหลิงพบเห็น ทั้งสองคนจึงวิ่งด้วยความรวดเร็ว พลางย่อตัวเข้าไปในโรงน้ำชาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน
------------------------
[1] ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็ทหารทั้งหมด เป็สำนวน หมายถึง หวาดระแวงไปหมด
