วันต่อมาไป๋เจินจูได้แนะนำศิษย์พี่สองคนแก่เซี่ยเสี่ยวหลานก่อนเป็อันดับแรก
เธอมีศิษย์น้องผู้กล้าเอ่ยปากขอแผงผลไม้สำหรับทำมาหากินไป ทว่าก็มีศิษย์พี่ที่ซื่อตรงและจริงใจเช่นกันศิษย์พี่ทั้งสองคนอายุสามสิบกว่าปี คนหนึ่งอ้วนเตี้ย อีกคนหนึ่งผอมสูงไป๋เจินจูบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคือสหายที่พี่ชายแนะนำมาท่าทางศิษย์พี่ทั้งสองจะเข้าใจผิดแล้วพากันพูดว่าความปลอดภัยของเซี่ยเสี่ยวหลานขึ้นอยู่กับพวกเขา
“่นี้เคออีสฺยงอุกอาจมาก ยึดครองพื้นที่ใกล้เคียงสถานีรถไฟไว้หมดเขตเยว่ซิ่วก็ตกอยู่ในอำนาจของเคออีสฺยง!”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย หยางเฉิงในเวลานี้กับการแบ่งเขตแดนของอนาคตยังไม่ค่อยเหมือนกันนักเยว่ซิ่ว ตงซาน จูไห่ และลี่วานเป็สี่เขตเมืองหลัก เขตอื่นยังถือเป็ชานเมือง...เคออีสฺยงลักษณะอายุเพียงยี่สิบกว่าปีกลับครองพื้นที่หนึ่งในสี่ของเขตเมืองหลักประจำหยางเฉิงเสียแล้ว
สิ่งที่ทำให้สีหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานเกิดความกังวลยิ่งกว่าคือพื้นที่ค้าส่งเสื้อผ้าแถบนี้ก็อยู่ในเขตเยว่ซิ่ว
เธอกำลังทำธุรกิจในพื้นที่ของอีกฝ่ายนะ!
“จับจุดอ่อนของเคออีสฺยงได้หรือไม่?”
ปีนี้เป็ปีของการปราบปรามนี่นา ปลายปีแล้วเสียด้วย ไม่รู้ว่ารายชื่อผู้กระทำผิดของการปราบปรามในเขตเยว่ซิ่วเต็มหรือยัง
ศิษย์พี่อ้วนเตี้ยส่ายศีรษะ “มันไม่เคยออกหน้าด้วยตัวเองมีเื่ก็ใช้ลูกน้องไปจัดการ จึงไม่มีใครจับจุดอ่อนของมันได้”
ชื่อเสียงของเคออีสฺยงขจรขจาย แต่กลับมีน้อยคนนักที่เคยเห็นตัวจริงของเขาหากเขาไม่แนะนำตนเอง ไป๋เจินจูก็คงไม่รู้ว่าชายหนุ่มใบหน้ากลมคือเคออีสฺยง จะมีคนกล้าอวดอ้างว่าเป็ ‘เคออีสฺยง’ ที่สถานีรถไฟหรือ? นั่นคืออาณาเขตของเคออีสฺยง ถ้ากล้าทำก็อาจแปลว่าไม่้ามีชีวิตแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงยินดีขึ้นมาเมื่อวานยังไม่ทันใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าจัดการอีกฝ่าย
ถ้าเธอทำเคออีสฺยงอับอายต่อหน้าเฉาลิ่วจื่อและคนอื่นๆเคออีสฺยงต้องไม่ปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน และเธอไม่มีทางที่จะเล่นงานเคออีสฺยงถึงตายได้ตัดเื่กฎหมายกำหนดให้ชดใช้ชีวิตด้วยชีวิตไป แค่สมุนของเคออีสฺยงที่้าขึ้นสู่เก้าอี้เกียรติยศพวกนั้นกฎของวงการสีเทาคือต้องแก้แค้นแทนพี่ใหญ่ก่อน หากว่าวันนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้เคออีสฺยงอับอายเซี่ยเสี่ยวหลานอาจไร้หนทางเดินออกจากสถานีรถไฟด้วยซ้ำ
หรือว่าจำเป็ต้องมีส่วนร่วมทางสังคมกับอันธพาล?
์ช่างยุติธรรมที่สุดเสียจริง รูปลักษณ์ของชาติก่อนปลอดภัยไร้กังวล ขึ้นเหนือล่องใต้ไม่เคยพบเคยเจอเื่แบบนี้
ด้วยใบหน้าตอนนี้ของเธอ ในเมื่อสามารถดึงดูดโจวเฉิงมาเกี้ยวพาราสีจะยั่วยวนอันธพาลตัณหาจัดมาก็ไม่แปลกเช่นกัน
โจวเฉิงร้ายกาจไม่แพ้กัน เป็ถึงคนของหน่วยงานลับส่วนเคออีสฺยงคืออันธพาลตัวจริง
“ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกพี่รับรองความปลอดภัยให้ฉันทีว่าจะไม่ก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นนะ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเื่ในวงการหรือนอกวงการจากผลงานภาพยนตร์และละคร แม้อันธพาลจะซื่อสัตย์ภักดีเพียงใด นั่นก็เป็วิถีปฏิบัติกับคนภายในกลุ่มเท่านั้นถ้าศิษย์พี่ทั้งสองของไป๋เจินจูเดือดร้อนจากคนพวกนี้เพราะคุ้มกันเธอเซี่ยเสี่ยวหลานคงรู้สึกผิดแน่
“เคออีสฺยงเพิ่งผยองเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้ ถ้าจื้อหย่งยังอยู่หยางเฉิง หมอนี่จะกล้าแผลงฤทธิ์ขนาดนี้ที่ไหนกันถึงขนาดไม่ไว้หน้าศิษย์น้องหญิงด้วย!”
ศิษย์พี่สูงผอมไม่เกรงกลัวเคออีสฺยงสักเท่าไร กำหมัดแสดงท่าทีไม่ยินยอม
ใครสู้ชนะก็ได้รับความเคารพ สำนักตระกูลไป๋ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาก่อนแตกต่างจากพวกนักเลงหัวไม้ตามถนนหนทางเ่าั้ ขณะนี้บ้านเมืองได้มีการตรวจตราอย่างเข้มงวดใครก็ไม่กล้าถือมีดลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ทำได้เพียงปะทะกันเล็กๆ น้อยๆหลอกลวงคนต่างถิ่นที่สถานีรถไฟ ลักขโมยกระเป๋าเงินยังพอได้ แต่อาชญากรรมเลวร้ายอย่างลักพาตัวนั้นแม้แต่เคออีสฺยงก็ไม่อาจหาญที่จะกระทำ
ในใจเซี่ยเสี่ยวหลานบังเกิดความคิดขึ้น
ไป๋เจินจูครุ่นคิด สถานการณ์นี้ต้องถามไป๋จื้อหย่งผู้เป็พี่ชายของตน
หากจะบอกว่าจิตใจเซี่ยเสี่ยวหลานไร้ความอ่อนแอของหญิงสาวผู้เปราะบางก็ย่อมได้คนหัวทึบอย่างไป๋เจินจูยังรู้จักปรึกษาความเห็นของพี่ชายไป๋จื้อหย่งโจวเฉิงเคยมอบช่องทางติดต่อแก่เซี่ยเสี่ยวหลานไว้เช่นกัน ทว่าเธอกลับไม่มีความคิดจะต่อโทรศัพท์หาโจวเฉิงจิตใต้สำนึกมันบอก ปัญหาของเธอก็ต้องแก้ไขด้วยตนเอง โจวเฉิงอยู่ห่างไกลถึงปักกิ่งอีกทั้งระเบียบหน่วยงานเข้มงวดมาก หากโจวเฉิงหุนหันพลันแล่นชั่วขณะทำผิดพลาดขึ้นมาจะต้องกระทบต่ออนาคตของเขาเป็แน่แท้
ศิษย์พี่อ้วนเตี้ยแซ่ว่าน สูงผอมแซ่หลี่ พวกเขายังมีครอบครัวให้ดูแล ถ้าหลังจากนี้จะต้องวิ่งวุ่นตามเซี่ยเสี่ยวหลานไปทั่วเธอต้องให้ค่าตอบแทนบ้างแน่นอน—เขาว่ากันว่ามิตรภาพประเมินราคาไม่ได้แต่ก็มิได้หมายความว่าสามารถเหยียบย่ำมิตรภาพได้อย่างสุดเหวี่ยงหรือเปล่า?
เซี่ยเสี่ยวหลานทิ้งที่อยู่ติดต่อให้ศิษย์พี่ว่านและศิษย์พี่หลี่ทั้งสองคนจากนั้นก็ไปเลือกไฟกับไป๋เจินจู
----------------------------------------
ตลาดค้าโคมไฟตกแต่งของหยางเฉิงเฟื่องฟูกว่าซางตูสถานที่สำหรับรับประทานอาหารและพักอาศัยที่นี่ค่อนข้างพัฒนาแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีโคมระย้าแก้วแบบยุโรปหรูหราโดยปกติจะใช้เฉพาะในสถานที่ประเภทภัตตาคาร หน่วยงานที่ร่ำรวยหน่อยก็ซื้อเหมือนกันแต่การตกแต่งภายในของคนทั่วไปนั้นใช้กันน้อยนัก... หยางเฉิงในปี 83 แิการตกแต่งบ้านล้าหลังไม่น้อยซื้อโคมไฟระย้าแบบยุโรปสักลูกถือว่าทันสมัย ติดตั้งโคมระย้าแก้วในบ้านหรือ? แค่ความสูงของบ้านก็ไม่เหมาะสมแล้ว!
ไป๋เจินจูพาเซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางจนถึงในร้าน พอสอบถามราคาเซี่ยเสี่ยวหลานก็อยากบูดเบ้หน้า
โคมไฟที่เธอถูกใจลูกนั้นช่างสวยงามจริงๆ รูปทรงหรูหรา ราคาจึงแพงไปด้วย...ราคาตั้ง 1500 หยวน มีเพียงหน่วยงานมั่งคั่งเท่านั้นแหละที่ซื้อได้
ผ่านไปอีก 30 ปีการแข่งขันของอุปกรณ์ไฟตกแต่งดุเดือดมาก ไม่กล่าวถึงยี่ห้อเจาะตลาดคนรวยยี่ห้อรายย่อยธรรมดาราคาถูกแสนถูก และอยู่ในขอบเขตที่ผู้ซื้อสามารถเลือกเฟ้นได้อย่างกว้างขวางนอกจากหน้าร้านยันร้านค้าออนไลน์ โคมระย้าแก้วหนึ่งลูกเพียงไม่กี่พันหยวนทว่าเวลานั้นเงินเดือนของพวกปกเสื้อขาวทั่วไปก็หลักพันหยวนแล้วหากตอนนี้จะซื้อในราคา 1500 หยวนผู้คนที่เงินเดือนสูงยังต้องเก็บหอมรอบริบนานเป็ปี
เซี่ยเสี่ยวหลานถามไป๋เจินจูว่าดูดีหรือไม่ เธอจึงโพล่งออกมาคำเดียว “แพง!”
“อีกสองปีก็จะไม่คิดว่ามันแพงแล้ว นี่ไม่ใช่ของแพงนะ เป็พวกเราต่างหากที่หาเงินได้น้อยเกินไป”
ฐานเงินเดือนของหยางเฉิงสูงกว่าซางตู ฐานเงินเดือนของเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงก็สูงกว่าหยางเฉิงอีกโรงงานต่างแดนของหยางเฉิงกำลังรับสมัครงานในพื้นที่แค่ตำแหน่งงานเดียวยังสามารถทำให้คนท้องถิ่นแย่งชิงกันอุตลุดได้ เงินเดือนสูงถึง 400 หยวน มากกว่ารายได้ต่อเดือนของพนักงานในเขตเมืองซางตูบางแห่งเป็ 10 เท่า
รายได้ต่อเดือน 40 หยวนซื้อโคมระย้าแก้วราคา 1500 หยวนเรียกว่าฟุ่มเฟือย
รายได้ต่อเดือน 400 หยวนซื้อสิ่งของราคาเท่ากันก็เหมือนคนซางตูจ่ายเงินเดือนสองสามเดือนซื้อเสื้อผ้าที่เชิดหน้าชูตาไม่มีอะไรร้ายแรงเลย
นอกจากโคมไฟใหญ่ลูกนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานยังเลือกโคมไฟเล็กอื่นๆ อีกสองลูกต่อรองราคาสุดชีวิต จ่ายเงินทั้งหมด 2000 หยวนเื่การห่อคนขายโคมไฟย่อมทำจนเคยชินแล้ว ด้านนอกครอบโครงไม้ไว้ข้างในห่อทีละชั้นเป็อย่างดี สะดวกต่อการนำขึ้นรถไฟ
มีโคมไฟสามลูกและเสื้อผ้าอีกหลายกระเป๋า เซี่ยเสี่ยวหลานทำการลงทะเบียนขนส่งที่สถานีรถไฟไปเสียเลยต้องส่งโทรเลขหาครอบครัวเพื่อบอกให้พวกเขาประมาณเวลารับสินค้าเซี่ยเสี่ยวหลานเจอพวกเฉาลิ่วจื่อเตร็ดเตร่ที่สถานีรถไฟอีกแล้วบนใบหน้าของคนพวกนั้นแขวนรอยยิ้มไม่หวังดีเอาไว้ ทว่าไม่ได้พุ่งเข้าหาโดยตรง
ทว่ากลับไม่เห็นเคออีสฺยง
เซี่ยเสี่ยวหลานซื้อตั๋วรถไฟเสร็จ ไป๋เจินจูก็มาส่งเธอขึ้นรถไฟ
“ถ้ามีปัญหาทางธุรกิจ ติดต่อฉันทันทีนะ”
ไป๋เจินจูพยักหน้า “เื่เคออีสฺยงเธอก็อย่ากังวลเลยฉันต้องคิดวิธีจัดการแน่”
เซี่ยเสี่ยวหลานโบกมือให้เธอ “กลับไปเถอะฉันจะใส่ใจความปลอดภัยของตัวเอง!”
รถไฟเที่ยวซางตูถึงหยางเฉิงขับเคลื่อนส่งเสียงกึงกังมีคนสองคนลักลอบวิ่งตามขึ้นรถโดยไม่มีใครรู้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่ามีคนจดจ้องเธออยู่ตลอดทาง เช้าวันต่อมารถไฟหยุดพักที่สถานีเยว่หยาง เซี่ยเสี่ยวหลานได้ยินสถานีประกาศจึงลุกขึ้นและลงรถไฟ
ตอนแรกคนสองคนซึ่งอยู่ในตู้รถเดียวกับเธอยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างไรเสียเซี่ยเสี่ยวหลานก็ซื้อตั๋วหยางเฉิงถึงซางตู นึกว่าเธอไปชานชาลาเพื่อซื้อของกินรับประทานแต่ขณะรถไฟออกตัวอีกรอบ เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงไม่ได้กลับขึ้นรถ—ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างหมดหนทาง จะกลับไปรายงานกับเฉาลิ่วจื่ออย่างไรเล่าพวกเขาต้องตามไปซางตูเพื่อสืบค้นพื้นเพของเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่เธอกลับมาลงรถกลางทางเสียได้
เธอมิใช่คนซางตูหรือ?
หลายต่อหลายครั้งล้วนซื้อตั๋วหยางเฉิง-ซางตูคราวนี้ดันลงรถระหว่างหยุดกลางทางที่เยว่หยางเสียแล้ว
“กลับไปจะบอกอย่างไรเล่า?”
“บอกตามความจริง! นังนั่นนะปลิ้นปล้อนต่อหน้าพวกเราแน่ๆ !”
