แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณลูบไล้ใบหน้าของไป๋หยุนเฟยอย่างอ่อนโยนปลุกมันตื่นขึ้น
มันลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมสุดบรรยาย ศีรษะปวดจนแทบะเิ เนื่องเพราะยังไม่เคยเมามายมาก่อน น่าประหลาดใจนักที่ยังสามารถพาร่างกลับมานอนบนเตียงในบ้านได้
ไม่นานไป๋หยุนเฟยก็สร่างเมาขึ้นบ้าง มันนวดขมับพึมพำเสียงค่อย “เมื่อคืนข้ากลับมาอย่างไร? ข้าจำได้แต่เพียง... ดูเหมือนข้าดื่มสุราลงไปขวดหนึ่ง... ข้าจดจำไม่ได้ว่า... หลังจากนั้นเกิดอันใดขึ้นบ้าง... หรือนี่เป็อาการเมาค้าง? ช่างสุดทนนัก ทำอย่างไรอาการนี้จึงจะหมดไป?”
ยามที่ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดหาวิธีแก้อาการสุดจะทนนี้ พลังที่พลุ่งพล่านสุดพรรณนาก็ปะทุภายในร่าง ความรู้สึกสุขสบายราวแช่ในน้ำอุ่นอาบไล้ทั่วร่าง ทำให้มันผ่อนคลายจนแทบจะส่งเสียงครวญครางออกมา
เมื่อระงับสติได้ก็พบว่าความรู้สึกพะอืดพะอมนั้นสูญสิ้นไปกลับกลายเป็คึกคักกระปรี้กระเปร่า
“นี่...” ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะอย่างเหลือเชื่ออยู่บ้าง ความรู้สึกอันลึกลับก็ปรากฏในจิตใจ --- ดูเหมือนมีบางอย่างที่พิเศษพิสดารคงอยู่ในร่างกายแต่ก็ราวอยู่ลึกลงไปในจิตใจมันด้วยเช่นกัน...
“หรือจะเป็... ” มันพลันนึกถึงบางอย่างได้จึงยกมือขวามาเบื้องหน้า พลางจับจ้องที่แหวนช่องมิติบนมือพร้อมกับเพ่งจิตจินตนาการว่า‘ควบคุม’สิ่งลึกลับนั้นอยู่
ในที่สุดมันก็รู้สึกราวกับมีกระแสพลังงานไหลผ่านแขนเข้าสู่แหวนตามเจตนา จากนั้นมันก็รู้สึกถึงช่องว่าง!
ภายในช่องว่างกว้างราวสองวาเศษนั้น ปรากฏวัตถุคล้ายม้วนคัมภีร์สามชิ้นและทวนยาวที่กำลัง‘ลอย’อยู่ เนื่องเพราะมีเพียงวัตถุสี่ชิ้น ช่องว่างนี้จึงดูกว้างขวางอยู่บ้าง
“แน่ชัดแล้ว... พลังอันพิสดารนี้ไม่ใช่อื่นใด มันคือพลังิญญา!”
ไป๋หยุนเฟยปรารถนาจะนำทวนยาวนั้นออกมาแต่ก็ไม่อาจทำได้ ราวกับมีพลังงานบางอย่างครอบคลุมทวนยาวเอาไว้ มันลองนำม้วนคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาแต่ยังคงไม่อาจนำออกมาได้ จึงลองกับคัมภีร์อีกเล่ม พริบตาเท่าความคิด มันพลันรู้สึกถึงน้ำหนักบนมือ พร้อมกับที่ม้วนคัมภีร์สีเทาปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นไป๋หยุนเฟยยังทดลองนำคัมภีร์เล่มสุดท้ายออกมาแต่กลับไม่สำเร็จ
ไป๋หยุนเฟยพิจารณาม้วนคัมภีร์สีเทาอย่างละเอียด คัมภีร์นี้ยาวหนึ่งฝ่ามือขนาดเท่าสองนิ้วมือ ทำจากวัสดุไม่ทราบชนิด คล้ายผ้าแต่ก็คล้ายหนังสัตว์ ปิดสนิทเอาไว้ราวกับไม่อาจเปิดออกได้ ด้านนอกเป็สัญลักษณ์มากมายแสนซับซ้อน ลึกลับและแปลกประหลาด มองไปคล้ายเป็ภาษาอันใด
“ไม่อาจเปิดได้ เช่นนั้นลองใช้พลังิญญาดู”
ยามนี้ไป๋หยุนเฟยชักนำพลังิญญาในร่างเป็สายใยเข้าสู่ม้วนคัมภีร์ได้อย่างราบรื่น มันพลันรู้สึกสับสนสุดขีดกับเส้นสายอักขระข้อมูลที่พุ่งเข้าสู่ความคิด ไป๋หยุนเฟยรีบปิดตาสงบใจซึมซับข้อมูลที่ปรากฏขึ้นในจิตใจอย่างระมัดระวัง
“‘เคล็ดฝึกปรือิญญา’นี้ถือเป็วิธีฝึกฝนิญญาระดับพื้นฐานที่สุด ช่วยให้เพิ่มพูนและฟื้นฟูพลังิญญาได้ ิญญาและร่างกายไม่อาจแบ่งแยก ิญญาสามารถควบคุมร่างและร่างกายสามารถฝึกฝนิญญา ิญญาถูกปิดซ่อนไว้ภายในร่างมีเพียงผู้ฝึกปรือิญญาจึงสามารถััและควบคุมพลังิญญาได้....”
“สามด่านแรกของผู้ฝึกปรือิญญาอันได้แก่ นวกะิญญา ปัจเจกิญญาและวีรชนิญญา ล้วนถูกเรียกว่า สามด่านแห่งการควบคุมร่าง : ด่านนวกะิญญา --- ควบคุมิัและกล้ามเนื้อ; ด่านปัจเจกิญญา --- ควบคุมกระดูกและโลหิต; ด่านวีรชนิญญา --- ควบคุมจุดชีพจร”
“เคล็ดวิชาด่านนวกะิญญา....”
ผ่านไปเนิ่นนาน ไป๋หยุนเฟยค่อยลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า “นี่มีเพียงเคล็ดควบคุมิัและกล้ามเนื้อของด่านนวกะิญญา แต่ข้ากลับััได้ชัดเจนว่าในม้วนคัมภีร์ยังมีเนื้อหาอื่นอีก อย่างน้อยต้องมีเคล็ดควบคุมร่างของด่านปัจเจกิญญาและวีรชนิญญาอยู่ หรือเป็เพราะข้าเพียงบรรลุด่านนวกะิญญาระดับต้น จึงไม่อาจรับรู้เคล็ดวิชาขั้นต่อไปได้?”
มันลุกขึ้นจากเตียงเดินไปยังกองอิฐสี่ห้าก้อนที่มุมห้อง หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียด จึงกำหมัดขวาขึ้นตรงหน้า อย่างเชื่องช้า ิัและกล้ามเนื้อทั่วแขนขวาราวกับขยายตัวออก ิัราวกับหนาและกระชับขึ้น กล้ามเนื้อก็เบ่งพองออกช้าๆ แขนขวาทั้งข้างแปรเปลี่ยนเป็หยาบใหญ่ยิ่งกว่าแขนซ้าย มองดูทรงพลังยิ่ง
ไป๋หยุนเฟยร้องเบาๆพร้อมกระแทกแขนขวาลงไปยังกองอิฐเบื้องหน้า
“โครม!” เสียงะเิดังกึกก้อง กระทั่งห้องยังราวกับจะสั่นะเืไปด้วย
“เฮ้ เฮ้! เ้าทำอันใดในห้องของข้า?! ขอบอกต่อเ้า หากทำห้องข้าเสียหาย ข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่! ข้าจะ....” เสียงงุนงงและขุ่นเคืองพลันดังมาจากด้านนอก จากนั้นประตูห้องถูกผลักเปิด ก่อนที่บุรุษไว้หนวดผู้หนึ่งจะก้าวเท้าเข้ามา
ทว่าหลังจากมันผลักเปิดประตู เพียงผ่านประตูเข้ามาเพียงครึ่งร่างก็แลเห็นไป๋หยุนเฟยยืนอยู่ที่มุมห้องพร้อมกับเศษอิฐเกลื่อนกลาดเบื้องหน้า ยามมองไปยังแขนขวาที่ปูดโปนด้วยกล้ามเนื้อของไป๋หยุนเฟยและกำปั้นที่ยังมีเศษอิฐก้อนเล็กๆสีแดงสดติดอยู่ มันก็ตะลึงงันอยู่เนิ่นนาน....
“ท่าน... เอ่อ... ทำธุระท่านต่อเถอะ... เชิญทำธุระต่อ... ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว...” หลังจากบอกกล่าวเสียงตะกุกตะกัก มันจึงค่อยๆถอยหลังด้วยรอยยิ้มประจบเอาใจและปิดประตูลง
ไป๋หยุนเฟยที่หมกมุ่นกับความคิดตนเองก็ไม่ได้สนใจชายผู้นั้นเช่นกัน
“เพียงทดลองควบคุมิัและกล้ามเนื้อครั้งแรกก็ทรงพลังเพียงนี้ พลังของข้าเพิ่มพูนขึ้นอย่างน้อยหลายเท่าตัว...”
ขณะมองดูกองเศษก้อนอิฐบนพื้น มันจับััพลังิญญาในร่างอย่างละเอียดอีกครั้ง แม้จะยังคงอ่อนจางแต่ก็คงอยู่จริงๆ ไป๋หยุนเฟยต้องตื่นเต้นพลุ่งพล่านยิ่ง “ผู้ฝึกปรือิญญา... ในที่สุดข้าก็กลายเป็ผู้ฝึกปรือิญญา! ข้าเข้าใกล้จุดมุ่งหมายที่จะแก้แค้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว...”
หลังเก็บกวาดห้อง มันรับประทานอย่างเรียบง่ายและนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง ไป๋หยุนเฟยสำรวจแหวนช่องมิติอยู่ชั่วครู่จึงบรรจุก้อนอิฐ มีดสั้น เงินทองและสิ่งของอื่นๆที่เหลือลงไป
ไป๋หยุนเฟยชื่นชอบของเล็กๆชิ้นนี้ยิ่ง --- ช่างสะดวกสบายนัก
ขณะนั่งบนเตียงมันถือแหวนช่องมิติไว้ในมือพร้อมกับเอ่ยในใจ “อัพเกรด”
“อัพเกรดสำเร็จ”
“ระดับไอเทม: ดีเลิศ”
“ระดับการอัพเกรด: +6”
“คุณลักษณะเพิ่มเติม: พละกำลัง +19”
“สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 12 แต้ม”
“เห็นได้ชัดว่าแต้มิญญาก็คือพลังิญญา!” ยามที่มันอัพเกรดสิ่งของ ความรู้สึกที่บางสิ่งถูกดึงออกไปจากร่างเกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนนี้มันไม่อาจรับรู้ได้ แต่ยามนี้มันััได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือพลังิญญา!
ไป๋หยุนเฟยอัพเกรดแหวนต่อเนื่องไม่หยุด และมันล้มเหลวเพียงแค่ครั้งเดียว
“ระดับไอเทม: ดีเลิศ”
“ระดับการอัพเกรด: +8”
“คุณลักษณะเพิ่มเติม: พละกำลัง +33”
“สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 16 แต้ม”
เนื่องเพราะมันไม่ทราบว่าแหวนระดับดีเลิศนี้จะถูกทำลายหลังจากอัพเกรดถึงระดับ +8 เช่นมีดสั้นระดับธรรมดาหรือไม่ จึงไม่กล้าเสี่ยงอัพเกรดอีก --- หากแหวนนี้ถูกทำลายจากการอัพเกรดล้มเหลว มันก็ไม่ทราบจะไปร่ำไห้กับใครแล้ว
จากการจับััอย่างละเอียดไป๋หยุนเฟยสังเกตพบว่าพลังิญญาอ่อนด้อยลงกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง จึงหยิบมีดสั้นมาอัพเกรดเป็ +8 ยามนี้จึงััได้ว่าพลังิญญามันถูกจ่ายออกไปราวครึ่งหนึ่ง
ไป๋หยุนเฟยหยุดการอัพเกรดและฝึกปรือตามที่บันทึกใน‘เคล็ดฝึกปรือิญญา’ มันสงบใจชักนำพลังิญญาโคจรไปตามเส้นทางพิเศษพิสดารในร่าง ค่อยฟื้นฟูพลังิญญาคืนมาอย่างแช่มช้า
แต่เมื่อมันััได้ว่าพลังิญญาฟื้นฟูเต็มที่ แทนที่จะหยุดยั้งลงมันกลับยังฝึกปรือต่อ ทั้งยังรู้สึกได้ว่าพลังิญญาในร่างมันเพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย
กระทั่งดวงจันทร์เริ่มส่งแสงไป๋หยุนเฟยจึงลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า
“แต้มิญญาก็คือพลังิญญา สามารถฟื้นฟูและเพิ่มพูนด้วยการฝึกปรือ...” มันเอื้อมมือไปแตะแหวนบนมือขวา มีดสั้นหลายเล่มก็ปรากฏขึ้นในมือ “หากเป็เช่นนั้น ข้าก็สามารถคำนวณพลังิญญาที่มีจากการใช้แต้มิญญาได้ นับเป็ข้อมูลที่แปลกใหม่นัก อย่างนี้สมควรต้องทดลองดู...”
เนิ่นนานผ่านไป
“อัพเกรดล้มเหลว”
“ไอเทมถูกทำลาย”
“บัดซบ! ล้มเหลวอีก! ไม่คาดคิดเลยว่าจะไปถึงระดับ +10 ยากเพียงนี้!” ไป๋หยุนเฟยส่ายศีรษะโดยแรง “ข้าถึงขีดจำกัดแล้ว หากนับไม่ผิดพลาดข้ามีแต้มิญญาสองร้อยสิบเก้าแต้ม...”
“อัพเกรด”
…………
วันต่อมาเมื่อไป๋หยุนเฟยตื่นขึ้น สิ่งแรกที่มันกระทำคือประเมินพลังิญญาภายในร่าง
“เป็ดังคาด... พลังิญญาของข้าเพิ่มพูนขึ้น!” แม้จะคาดการณ์เอาไว้ก่อน แต่เมื่อยืนยันได้ว่าความคิดมันถูกต้อง มันยังคงอดไม่ได้ต้องสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น
หลังจากมันใช้กระบวนการอัพเกรดเพื่อจ่ายแต้มิญญาหรือก็คือพลังิญญาออกไปหมดสิ้น พลังิญญาของมันก็จะเพิ่มพูนขึ้นอีกเล็กน้อย... นี่หมายถึงอันใด?
ย่อมหมายถึง นอกเหนือจากการเพิ่มพูนพลังิญญาผ่านการฝึกปรือดังเช่นผู้ฝึกปรือิญญาคนอื่น ไป๋หยุนเฟยยังสามารถเพิ่มพูนพลังิญญาด้วยการใช้กระบวนการอัพเกรดอีกด้วย! นี่ย่อมเรียกได้ว่าเป็หนทางลัด! หนทางลัดที่มีเพียงมันที่กระทำได้!
หลังจากระงับความตื่นเต้นในใจอย่างยากเย็น ไป๋หยุนเฟยเริ่มรวบรวมผลลัพธ์จากการศึกษาแต้มิญญาของมันออกมาเป็ตัวเลข “จนกระทั่งการอัพเกรดครั้งสุดท้าย จากพลังิญญาที่เต็มเปี่ยมจนหมดสิ้นนับรวมแต้มิญญาได้สองร้อยสิบเก้าแต้ม ข้าจดจำได้ว่า... เมื่อครั้งที่ข้าใช้กระบวนการอัพเกรดคราแรก ข้าใช้แต้มิญญาไปจนหมดสิ้น ครานั้นราวกับ... หกสิบแต้ม สมควรไม่เกินกว่าเจ็ดสิบแต้ม อีกทั้งยามนั้นทั้งร่างกายและจิตใจของข้าล้วนอ่อนแอ ดังนั้น... คนทั่วไปที่ร่างกายแข็งแรงสมควรมีแต้มิญญาอยู่ราวหนึ่งร้อยแต้ม”
“กระบวนการอัพเกรด เคล็ดฝึกปรือิญญา การควบคุมิัและกล้ามเนื้อของด่านนวกะิญญา... สิ่งที่ข้าต้องค้นคว้าช่างมากมายนัก...”
ในสิบวันมานี้ นอกจากกระทำสิ่งที่จำเป็ เช่นการดื่มกิน การนอนหลับและการออกจากบ้านไปจับจ่ายซื้อของ ไป๋หยุนเฟยใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนและค้นคว้า แต่มันก็ได้รับประโยชน์จากประสบการณ์และการทดลองตลอด่ที่ผ่านมาไม่น้อย
อย่างแรกคือพลังิญญาของมัน ทุกคืนมันจะใช้พลังิญญาจนหมดสิ้น ยามที่มันตื่นขึ้นในวันถัดไปพลังิญญาของมันจะเพิ่มพูนขึ้นราวสิบแต้ม ยามนี้พลังิญญาในร่างของไป๋หยุนเฟยมีปริมาณเกินกว่าสามร้อย ตัวเลขนี้แสดงว่ามันบรรลุขั้นกลางของด่านนวกะิญญาแล้ว!
ภายในสิบวันจากขั้นต้นมันก็บรรลุขั้นกลางของด่านนวกะิญญาได้แล้ว หากผู้ฝึกปรือิญญาคนอื่นได้รับทราบ คงต้องรู้สึกต่ำต้อยจนอยากเอาหัวพุ่งชนกำแพง!
เมื่อพลังิญญาเข้มแข็งขึ้น การควบคุมิัและและกล้ามเนื้อของมันก็พัฒนาขึ้นตาม เนื่องเพราะพลังิญญาของมันเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว ไป๋หยุนเฟยจึงให้ความสนใจกับการเรียนรู้เคล็ดการควบคุมร่างกาย หากระดับการควบคุมร่างกายของมันไม่พัฒนาให้สมดุลกับพลังิญญาย่อมไม่เป็ผลดี
ยามนี้เมื่อชักนำพลังิญญาเพื่อเสริมกำลังของิัและกล้ามเนื้อ หมัดของมัน ความเร็วของมัน การะโของมัน การป้องกันของมัน รวมทั้งความสามารถด้านอื่นทั้งหมดล้วนเทียบได้เกือบสิบเท่าของคนธรรมดา มันเข้าใกล้ขีดจำกัดที่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาจะสามารถบรรลุถึงได้จากการฝึกฝนร่างกายแล้ว
อย่างที่สองคือกระบวนการอัพเกรดไอเทม จากการทดลองมาทุกรูปแบบ ยามนี้ไป๋หยุนเฟยจึงพอจะมีความเข้าใจต่อพื้นฐานของการอัพเกรดแล้ว
ทุกสิ่งที่เป็วัตถุล้วนอัพเกรดได้ เพียงแต่วัตถุที่แตกต่างกันจะให้ผลการอัพเกรดที่แตกต่างกัน
อาวุธเช่นดาบ กระบี่ พลอง หรือแม้แต่ก้อนหินล้วนมีตัวเลขบอกระดับพลังโจมตีซึ่งจะแปรผันไปตามคุณภาพของวัตถุ หลังจากการอัพเกรดพลังโจมตีก็จะเพิ่มขึ้น
เครื่องป้องกันเช่น เสื้อผ้า รองเท้า และหมวก ล้วนมีค่าพลังป้องกัน เสื้อผ้าธรรมดาไม่ว่าจะทำจากผ้าเนื้อหยาบหรือผ้าทอลายดอกล้วนมีค่าการป้องกันน้อยนิดเพียงหนึ่งหรือสองหน่วย โดยพื้นฐานแล้วจะไม่แตกต่างจากเดิมแม้จะถูกอัพเกรดแล้วก็ตาม
ประเภทต่อมาคือเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอและเครื่องประดับต่างๆ ไป๋หยุนเฟยก็ซื้อหามาค้นคว้าเช่นเดียวกัน ภายหลังการอัพเกรดจะสุ่มคุณลักษณะเพิ่มเติม เท่าที่มันทราบมีคุณลักษณะเพิ่มเติมอยู่สี่ประเภท : พละกำลัง ความทนทาน ความเร็วและจิติญญา สามประเภทแรกทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก โอกาสปรากฏมีไม่น้อย แต่คุณลักษณะ‘จิติญญา’นั้นโอกาสที่ปรากฏสุดแสนจะน้อยนิด อีกทั้ง‘จิติญญา’นี้ถึงกับช่วยเพิ่มพูนพลังิญญา!
หลังจากอัพเกรดเครื่องประดับมากมายหลายชิ้น ไป๋หยุนเฟยเพียงได้รับไอเทมที่ช่วยเพิ่มเติมจิติญญาแค่หนึ่งชิ้น ส่วนชิ้นที่เหลือล้วนถูกทำลายไป
แต่นอกจากแหวนช่องมิติระดับ‘ดีเลิศ’บนมือขวามัน วัตถุทุกชิ้นที่มันพบเห็นล้วนเป็ระดับ’ธรรมดา’ แม้มันจะอัพเกรดถึงระดับ +8 ก็เพียงเพิ่มคุณลักษณะอันน้อยนิดซึ่งแทบจะไร้ประโยชน์ และเมื่ออัพเกรดเพิ่มเติมพวกมันก็สลายไปก่อนที่จะไปถึงระดับ +10
กระทั่งวันที่สิบ ในที่สุดไป๋หยุนเฟยก็หยุดยั้ง‘การปิดด่านฝึกตน’และตัดสินใจออกไปด้านนอกอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่แสนธรรมดา --- เงินทองมันหมดสิ้นแล้ว...
