“มีเพียงแค่นี้?” เซียวจวิ้นนิ่งอึ้ง
“ใช่แล้ว มีเพียงในหมอนนั่นนิดเดียวเท่านั้น วางแผ่อยู่ในนั้นทั้งหมดแล้ว” เจินจูพยักหน้าอย่างหนักแน่นและระมัดระวัง “อ๊ะ ในกระเป๋าใบเล็กของยู่เซิงยังมีอยู่ไม่กี่ต้นด้วย ส่วนที่อื่นก็ไม่มีแล้ว”
ที่หลัวจิ่งมีอยู่ไม่กี่ต้น? เซียวจวิ้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คนผู้นั้นไม่มีทางให้เขาอย่างแน่นอน
หญิงสาวตรงหน้าดวงตาเป็ประกายใสแจ๋ว ก้มหน้ายิ้มบางๆ เส้นผมสีดำสนิทม้วนมวยผมขึ้นอย่างแม่นางธรรมดาทั่วไป นอกจากเชือกรัดผมสีอ่อนสองเส้นพลิ้วไหวบางเบาแล้ว บนศีรษะก็ไร้เครื่องประดับใดอื่นอีก
เรียบแต่ดูงดงามเช่นนี้ กลับยังคงงดงามละเอียดอ่อนกระตุ้นจิตใจคนให้หวั่นไหวยิ่งนัก
บนใบหน้าขาวซีดของเซียวจวิ้นไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เดิมคิดสอบถามว่าเป็พืชชนิดใด แล้วจะส่งคนไปซื้อหรือไปค้นหา แต่พืชชนิดนี้เป็ประเภทที่มีอยู่น้อยมาก เขารู้ดีว่าหุบเขาส่วนลึกไท่หางของอาณาจักรต้าสยาแห่งนี้หมายความว่าอย่างไร เมื่อเป็เช่นนี้เขาจึงทำได้เพียงต้องหน้าหนาเอ่ยปากขึ้นแล้ว
“แม่นางหู ข้ามีเื่หนึ่งจะร้องขอ แม่นางพอจะสามารถตัดใจยอมเสียหมอนใบนี้ได้หรือไม่? เซียวจวิ้นจะสำนึกในบุญคุณ และซาบซึ้งใจอย่างแน่นอน“
เมื่อเขาเริ่มอ้าปากกล่าว เจินจูก็รู้ได้ว่าหมอนใหม่เอี่ยมของนางอาจรักษาไว้ไม่ได้แล้ว คนป่วยผู้หนึ่งที่ถูกอาการปวดศีรษะและนอนไม่หลับทำให้ยุ่งยากใจอยู่หลายปี ได้พบหญ้าสงบจิติญญาก็เหมือนคนตกลงน้ำแล้วคว้าเจอท่อนไม้ที่ลอยอยู่ได้หนึ่งท่อน จะตัดใจปล่อยมือไปได้อย่างไร
เจินจูค่อนข้างรู้สึกจนปัญญาอย่างมาก หญ้าสงบจิติญญาใช้ระยะเวลาเติบโตค่อนข้างนาน นางเก็บรวบรวมอยู่หลายปีมานี้ แม้แต่จะใช้ทำหมอนหนึ่งใบก็ยังเก็บได้ไม่พอเลย เพิ่งหยิบออกมาหนึ่งในสี่ส่วนเพื่อทำไส้หมอนบางๆ ก็ถูกคนโหยหาเข้าเสียแล้ว
ไม่ให้เขาไปก็เหมือนจะเป็คนไม่มีเหตุผลไปสักหน่อย แต่หากจะให้เขาไปจริงๆ ตัวเองก็ปวดใจเล็กน้อย
ในระหว่างที่ลังเลใจ ม้าของหลัวจิ่งก็ใกล้เข้ามาข้างเกวียน
เจินจูเงยหน้ามองออกไป สีหน้าของเขาไม่ได้มีความใส่ใจนัก ทว่าดวงตากลับเผยทุกอย่างผ่านออกมา
การพูดคุยของพวกนางเขาย่อมได้ยิน ในเด็กที่อายุใกล้เคียงกัน เซียวจวิ้นอ่อนแอเสียยิ่งกว่ามาั้แ่เด็ก เจิ้นกั๋วกงเซียวฉิงเชิญท่านหมอที่มีชื่อเสียงในต้าสยามาให้เขามากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เขาแข็งแรงได้เช่นคนทั่วไป
ท่ามกลางอิทธิพลที่องค์ไท่จื่อหวาดกลัวที่สุด นอกจากองค์ชายสี่แล้วก็เป็เซียวฉิงนี่แหละ
ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรสหาย ช่วยเซียวจวิ้นก็เท่ากับช่วยเซียวฉิง
เขาหันไปยิ้มให้เจินจู “เซียวจวิ้นร่างกายไม่ดีมาั้แ่ยังเล็ก ท่านหมอหลวงก็ไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือโรคของเขาได้ หากหญ้าชนิดนี้มีประโยชน์ต่อเขา เ้าเอาหมอนให้เขาไปก็ไม่เสียหาย กลับไปข้าจะเข้าป่าไปหาให้เ้าใหม่”
เซียวจวิ้นหันไปผงกศีรษะให้หลัวจิ่งที่อยู่ด้านนอกด้วยความซาบซึ้งใจ
เจินจูข่มอาการที่อยากมองบนเอาไว้ เ้าหนุ่มนี่รู้จักใจป้ำกับเขาผู้นี้เสียจริง หากหญ้าสงบจิติญญาหาง่ายดายเพียงนั้น นางจะปวดใจหรือ? ช่างเถอะ แม้หญ้าสงบจิตนี้จะเติบโตได้ยากอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เป็สิ่งที่จำเป็สำหรับนางสักเท่าไร
นางตัดสินใจได้แล้ว อย่างไรก็ไม่สามารถใจแคบได้เสียด้วย “ในเมื่อมีประโยชน์ต่ออาการป่วยของคุณชายเซียวจวิ้น เช่นนั้นหมอนนี่ก็ยกให้ท่านแล้วกัน แม้หญ้าสงบจิติญญาจะมีน้อยมาก แต่กลิ่นของมันกลับยืนหยัดได้ยาวนานนัก หญ้าเพียงเล็กน้อยนี่ น่าจะสามารถใช้ได้เป็เวลาค่อนข้างนานเลย”
เซียวจวิ้นยินดีอย่างเหนือความคาดหมายขึ้นฉับพลัน รีบคำนับขอบคุณไปทางนาง “ขอบคุณแม่นางหู เซียวจวิ้นละอายใจนัก พวกท่านช่วยชีวิตพวกข้าสามคนไว้ แล้วยังยอมตัดใจมอบหญ้าสงบจิติญญาที่หายากให้อีก ขอบคุณแม่นางอย่างมากจริงๆ เซียวจวิ้นจะจารึกไว้ในใจ”
เจินจูรีบโบกมือแสดงว่าไม่เป็ไร หลังสองคนเกรงอกเกรงใจอยู่รอบหนึ่ง ด้วยฤทธิ์ของยาสมุนไพรที่เซียวจวิ้นดื่มลงไป จึงทำให้เขากอดหมอนแล้วเริ่มจมดิ่งเข้าสู่ห้วงภวังค์หลับใหล
สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความเบื่อหน่าย ทั้งยังไม่สามารถพูดคุยเพราะเกรงว่าจะไปรบกวนผู้ป่วยที่นอนอยู่อีก จึงหยิบเนื้อตากแห้งแปรรูปออกมา ฉีกเป็ชิ้นๆ ป้อนแมวป้อนหนูและป้อนให้ตัวเอง
ยามพลบค่ำขบวนรถของพวกเขาหยุดพักที่โรงเตี๊ยมในเมือง เชิญท่านหมอมาตรวจให้พานเชียนซานและทายาให้ต้าฉุยอีกรอบ สองคนที่าเ็หนักมากที่สุด ผ่านการสั่นะเือยู่บนเกวียนมาหนึ่งวัน าแล้วนมีเืซึมออกมาเป็จ้ำๆ แตกต่างกันไป
เวลาเข้าสู่เมืองหลวงถูกถ่วงเวลาให้ยืดไปอีก เจินจูแสดงออกว่าช่วยไม่ได้ แต่เมื่อมีเวลาว่างแบบที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เจินจูจึงจูงผิงอันตั้งใจจะไปเดินเล่นบริเวณรอบๆ เมืองเล็กนี้สักรอบ
เมื่อพวกนางก้าวออกจากประตูโรงเตี๊ยม หลัวจิ่งก็เดินตามหลังเข้ามา
“ไม่ต้องดูแลสหายวัยเยาว์เ้าหรือ?” เจินจูยิ้มหยอกล้อเขา จากในคำพูดและกิริยาท่าทางของพวกเขาสองคน ดูออกได้ไม่ยากเลยว่าเมื่อก่อนพวกเขาคงคุ้นเคยกันเป็อย่างดี
หลัวจิ่งมองนางแวบหนึ่งและยิ้มขบขัน “เขาไม่นับว่าเป็สหายวัยเยาว์ ั้แ่เด็กพวกข้าไม่ได้เล่นอยู่ด้วยกัน”
“อ้าว ทำไมล่ะ?” เจินจูเกิดความสนใจขึ้น
“เซียวจวิ้นเจ็บป่วยอ่อนแอั้แ่เด็ก ไม่สามารถวิ่งเล่นไปทั่วได้ ข้าตอนเป็เด็กซุกซนชอบก่อความวุ่นวาย ทั้งปีนต้นไม้ ทั้งเจาะโพรงทะลุลงดิน ไล่จับแมววิ่งกวดสุนัข อาจทำให้เกิดการเจ็บตัวไปบ้าง เลยไม่ได้เล่นด้วยกันกับเขา” มุมปากหลัวจิ่งยกยิ้มขึ้น
“ว้าว พี่ชายยู่เซิง คิดไม่ถึงเลยว่าตอนเด็กท่านจะดื้อซนเพียงนี้” ผิงอันวิพากษ์วิจารณ์ พี่ชายยู่เซิงที่เขารู้จักนั้นเป็คนนิ่งขรึมและเ็าเป็อย่างมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นเขาจะก่อความวุ่นวายอะไรสักครั้งเลย
เจินจูปิดริมฝีปากยิ้ม “ไม่แปลกใจเลยที่เสี่ยวเฮยไม่ชอบเ้า”
หลัวจิ่งชะงักไปพักหนึ่ง มองนางอย่างจนปัญญา
เจินจูหัวเราะและเริ่มเดินไปข้างหน้า
เมืองที่พวกเขาหยุดพักในวันนี้ คือเมืองซงไถ
เป็เมืองเล็กไม่ใหญ่ ค่อนข้างเงียบสงัดอย่างมาก สีของท้องฟ้ามืดลงช้าๆ สองฝั่งของถนนแขวนโคมไฟขึ้น คนที่สัญจรบนถนนท่าทางสบายใจกันอย่างมาก น้อยนักที่จะได้เห็นคนท่าทางรีบเร่งเดินทาง
นี่เป็เมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบและสวยงามแห่งหนึ่ง
เมืองเล็กๆ ถูกแม่น้ำหนึ่งสายกั้นเป็สอง่ โดยมีสะพานหินโค้งเชื่อมต่อชุมชนทั้งผืนเข้าด้วยกัน พวกเขาเดินอยู่ข้างริมแม่น้ำที่เรียบนิ่งไหลเอื่อย นี่เป็ครั้งแรกที่ผิงอันได้ออกมาไกลบ้าน รู้สึกแปลกใหม่ไปหมดเสียทุกอย่าง เขาในยามนี้วิ่งไปถึงร่มไม้ข้างแม่น้ำที่อยู่ด้านหน้าแล้ว
“เ้ารู้จักกับเซียวจวิ้นั้แ่เด็กเลยหรือ?”
“อืม... นับว่าใช่กระมัง ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงไปที่ไหนก็ล้วนชอบพาเขาติดตามไปด้วย ดังนั้นโอกาสที่จะบังเอิญพบกันเลยมีค่อนข้างมาก”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นท่านแม่ของเ้าไปที่ไหนก็คงชอบพาเ้าไปด้วยเช่นกันล่ะสิ?”
“ไม่ใช่เลย ตอนเด็กๆ ข้าค่อนข้างซุกซนยิ่งนัก ออกไปข้างนอกก็มักก่อความวุ่นวายอยู่บ่อยครั้ง ท่านแม่ปวดหัวมาก เลยไม่ชอบพาข้าออกไปข้างนอกด้วย เป็ข้าเองที่ดื้อดึงจะตามไป”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความรำลึกย้อนนึกถึงอดีต เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้ายก็มีความเศร้าสร้อยขึ้นมาบางๆ
เจินจูเงยหน้ามองไป เห็นใบหน้าที่หล่อเหลารูปงาม สุภาพและเ็าเล็กน้อย ทว่าความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ถึงผู้ที่จากไปในดวงตาของเขานั้น กลับซ่อนอยู่ในส่วนลึกเข้มข้นยิ่งนัก
นางยื่นมือออกไปจับฝ่ามือของเขาไว้แ่เบาอย่างไม่ตั้งใจ
หลัวจิ่งชะงักไปพักหนึ่ง และทันทีหลังจากนั้นก็เกิดความยินดีขึ้น นี่เป็ครั้งแรกที่นางรุกใส่เขาเช่นนี้
เขาพลิกฝ่ามือแล้วกุมมือเล็กของนางไว้แน่น ความสุขที่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้นทันที
มือใหญ่ที่อบอุ่นแห้งสนิท จูงมือเล็กนุ่มนิ่มเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
จนกระทั่งผิงอันวิ่งมาทางพวกเขา มือของสองคนจึงปล่อยจากกัน
...“อั๊ก!”
เสียงร้องน่าเวทนาสั้นๆ ดังอยู่ภายในห้องลับ
“ไอ้เศษสวะ! กำลังคนที่ส่งออกไปไม่แม้แต่จะกลับมาเลยสักคน เลี้ยงน้ำเต้าสุราถุงข้าว [1] เช่นพวกเ้าแล้วมีประโยชน์อะไรบ้าง!” เสียงกดต่ำน่ากลัวของหานเซี่ยน เต็มไปด้วยความเกลียดชังและระอาใจ
คนชุดดำที่ถูกเตะกลิ้งไปบนพื้นรีบตะกายขึ้นมาคุกเข่า
“กระหม่อมจัดการไม่สำเร็จ ไท่จื่อโปรดลงโทษ”
เสียงสั่นเทาขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่ใช่บอกว่าเซียวจวิ้นพาผู้คุ้มกันออกเดินทางไปด้วยเพียงสองคนหรือ? พวกเ้ากองกำลังม้าหนึ่งหน่วย แม้แต่ผู้คุ้มกันแค่สองคนพวกเ้ากลับสู้ไม่ได้? เช่นนั้นจะมีกลุ่มขยะอย่างพวกเ้าไว้ทำอะไรกัน! ...มีใครอยู่บ้าง ลากมันออกไปตัดหัวให้เปิ่นกงที!” ดวงตาของหานเซี่ยนแดงก่ำด้วยความโกรธ แทบอยากจะยกดาบขึ้นแทงพวกเขาด้วยตัวเอง
ประตูห้องลับเปิดออกทันที องครักษ์สี่นายลากคนชุดดำที่ใบหน้าซีดขาวและตัวสั่นเทาไปทั้งร่างรีบสาวเท้าเดินออกไป
“ฝ่าาโปรดระงับโทสะ เจิ้นกั๋วกงรักและทะนุถนอมซื่อจื่อมาโดยตลอด ผู้คุ้มกันของเขาจะต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ้าจับซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงทั้งเป็ย่อมมีความลำบากอยู่จริงๆ อีกอย่างต่อให้จับเป็เขามาได้ ขณะนี้พระพลานามัยฮ่องเต้ก็เริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าเจิ้นกั๋วกงจะฟังคำสั่งของท่านนะพ่ะย่ะค่ะ” ชายชรามีหนวดเคราสีดอกเลาคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายกล่าวโน้มน้าว
“หากจับเซียวจวิ้นได้ แล้วตาแก่หน้าโง่เซียวฉิงกล้าไม่ฟัง เปิ่นกงจะให้บุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของเขากลายเป็คนหมู! [2] แต่ที่น่าแค้นใจที่สุดก็คือ กลุ่มเศษสวะนี่ใช้การไม่ได้เลยสักคน” หานเซี่ยนกัดฟันกรอด “มือสังหารที่ส่งออกไปกำจัดครอบครัวชาวนาที่ถวายโสมคนขึ้นมานั่น นึกไม่ถึงเลยว่าก็จะไม่มีรายงานกลับมาด้วย แค่ครอบครัวชาวนาในชนบทครอบครัวหนึ่งพวกเขาก็จัดการไม่ได้ เปิ่นกงเลี้ยงคนไร้ประโยชน์ไว้เป็กลุ่มจริงๆ”
ขณะกล่าวเขาใช้เท้ายันโต๊ะข้างกายคว่ำกระเด็นไปไกล ความกรุ่นโกรธดุร้ายบนร่างราวกับจะพวยพุ่งออกมา
“ฝ่าา โปรดระงับโทสะๆ คนไร้ค่าเ่าั้ ตอนนี้ไม่จำเป็ต้องสนใจหรอก เมื่อฮ่องเต้หายประชวร ทิศทางของราชสำนักก็กลับไปที่ฉีกุ้ยเฟยอีกครั้ง ขณะนี้พวกเราต้องจัดการเื่ราวอย่างเงียบๆ จะทำให้ฝ่ายตรวจการร้องเรียนอีกไม่ได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ชายชรากล่าวเกลี้ยกล่อมไม่หยุด
่อกของหานเซี่ยนขยับขึ้นลง ฝืนข่มกลั้นความโมโหไว้ “นังหญิงสารเลวนั่น อีกไม่ช้าเปิ่นกงจะให้นางได้ถูกมัดไว้กับม้าแล้วแยกร่างออกเป็ชิ้นๆ สถานการณ์ที่กำลังไปได้ดี กลับถูกนางก่อกวนจนกลายเป็เช่นนี้เสียได้ ครั้งก่อนข้อเสนอเพิ่มกำลังหนุนทางชายแดนไม่น่าผ่านการเห็นชอบให้พวกมันไปได้เลย หากยื้อยุดไว้แล้วปล่อยให้กำแพงเมืองที่เ้าสี่อยู่ถูกตาตาร์กับหว่าชื่อยึดไป ก็ไม่ใช่ว่าสามารถหยุดความคิดของนังหญิงสารเลวนั่นไม่ให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้แล้วหรือ”
จางโย่วเฉวียนจานซื่อแห่งองค์ไท่จื่อในใจกระตุกวูบ รีบโค้งกายกล่าว “หากตาตาร์กับหว่าชื่อทะลวงกำแพงเมืองเฉียนตงได้ ก็สามารถตรงเข้าสู่ดินแดนภายในได้ อาณาจักรต้าสยาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่งนักนะพ่ะย่ะค่ะ”
หานเซี่ยนโบกมือทันที กล่าวด้วยความหงุดหงิด “กลัวอะไร เป็เพียงคนเลี้ยงสัตว์ที่ชายแดนเท่านั้น กองกำลังย่อมมีจำกัด หากพวกมันฆ่าครอบครัวเ้าสี่ลงทั้งหมด เช่นนั้นเปิ่นกงก็เป็องค์ชายเพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรต้าสยานี่แล้ว ถึงตอนนั้นเปิ่นกงจะนั่งม้าจักรพรรดิออกศึกเอง พวกตาตาร์กับหว่าชื่อเ่าั้เดิมทีก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย”
มุมปากจางโย่วเฉวียนขมุบขมิบ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้ากล่าวอะไรขึ้นอีก
หานเซี่ยนออกมาจากห้องลับ กลับไปถึงห้องโถงใหญ่
ฮองเฮาเจียงที่คอยอยู่เป็เวลานานแล้ว นางสวมชุดคลุมยาวลายหงส์์ขนสีทองบริสุทธิ์สดใสหันเข้าหากัน บนศีรษะปักปิ่นหงส์ห้าชนิดหันเข้าสู่ดวงอาทิตย์โดยใช้มุกประดับ แม้ใบหน้าจะบำรุงรักษาได้อย่างเหมาะสม แต่กลับยังหลงเหลือร่องรอยของกาลเวลาอยู่
หานเซี่ยนกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างกายนาง ยกถ้วยน้ำชาเครื่องเคลือบลายครามกรอกเข้าปาก
“ลูกชาย วันนี้เสด็จพ่อของเ้าเดินเล่นอยู่ในอุทยานอวี้ฮวารอบหนึ่ง สาวรับใช้ทั้งพระราชวังล้วนครึกครื้นยิ่งนัก” เสียงฮองเฮาเจียงอึมครึม มีความนัยถากถาง
สายตาหานเซี่ยนมืดครึ้ม มือที่กุมถ้วยน้ำชาบีบแน่นขึ้น
“เพล้ง” เสียงถ้วยน้ำชาสะบัดทิ้งลงพื้นแตกกระจาย
สาวรับใช้โดยรอบรีบหมอบคลานบนพื้น ใจนตัวสั่นเทา
ฮองเฮาเจียงโบกมือ ให้พวกนางถอยออกไป
“สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เ้า เ้ากระทำการกำเริบเสิบสานเกินไป ขุนนางในราชสำนักไม่พอใจเ้าเป็จำนวนมาก ่นี้เ้าทำตัวให้เงียบเชียบเหมาะสมหน่อย อย่าให้ฝ่ายตรวจการเพ่งเล็งส่วนที่ถูกร้องเรียนเข้าได้อีก”
หานเซี่ยนลุกขึ้นยืนทันที ถลึงตามองนางอย่างโเี้ “ทำไมข้าต้องกระทำการอย่างเงียบเชียบด้วย ข้าเป็ไท่จื่อของอาณาจักรต้าสยาแห่งนี้ เป็ฮ่องเต้ในอนาคต ต่อไปใต้หล้าย่อมเป็ของข้า ข้าอยากทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น ผู้ใดกล้าเข้ามาขัดข้า ข้าจะให้พวกมันไปลงนรกเสีย!”
ความรุนแรงในดวงตาของเขาทวีคูณยิ่งขึ้น ยกเก้าอี้ไท่ซือขึ้นและทุ่มลงกับพื้น
ฮองเฮาเจียงยืนขึ้นและรีบหลบไปด้านข้าง นางขมวดคิ้วแน่น นิสัยของหานเซี่ยนนับวันอารมณ์ยิ่งร้ายมากขึ้นทุกที ไม่ทันไรก็จะกระทบกระแทกสิ่งของ ทุบตีสังหารคนรับใช้ อุปนิสัยเช่นนี้ทำให้นางปวดศีรษะจริงๆ
รอเขาระบายอารมณ์ออกมาเต็มที่หนึ่งรอบแล้ว ฮองเฮาเจียงจึงกล่าวโน้มน้าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ลูกชาย เ้าใจเย็นก่อน เสด็จพ่อของเ้ามีสกุลฉีกับเจิ้นกั๋วกงคุ้มครองอยู่ ตอนนี้พวกเราจะทำอะไรพวกเขาได้ รอให้โอกาสมาถึงคราวหน้าค่อยคิดวางแผนให้รอบคอบใหม่ดีกว่า”
“เหอะ ก็ไม่ใช่เพราะพวกท่านหรือ ข้าเคยบอกไปแล้วใช่หรือไม่ ว่าถือโอกาสตอนไอ้แก่หน้าโง่นั่นป่วยหนักควรลงมือได้เลย พวกท่านลังเลไม่ตัดสินใจกันคนแล้วคนเล่า ไม่อย่างนั้นตอนนี้จะมีโอกาสให้พวกมันพลิกตัวกลับมาได้ที่ไหน”
หากยึดครองตำหนักเฉียนชิงได้ง่ายดายเพียงนั้น พวกนางมีหรือจะไม่ลงมือ ฮองเฮาเจียงชำเลืองมองหานเซี่ยนที่ลำคอหนาขึ้นริ้วแดงด้วยความโมโหปราดหนึ่ง พลางถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“เหอะ!” หานเซี่ยนแค่นเสียงเย็นออกมาหนึ่งที สะบัดชายเสื้อและจากไป
เชิงอรรถ
[1] น้ำเต้าสุราถุงข้าว หมายถึง รู้จักแต่กินและดื่ม ไม่มีปัญญาทำอะไรได้ เป็คำเสียดสีคนที่ไร้ความสามารถ
[2] คนหมู คือ การตายอย่างทรมาน ตายช้าๆ ตายศพไม่สวย ซึ่งเป็การลงโทษโดยตัดอวัยวะอันได้แก่ หู ปาก มือและเท้าทิ้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้