แม้ว่านางจะเป็สตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังั้แ่เล็กจนโต ทั้งชีวิตไม่เคยมีความทุกข์ร้อนกังวลใจ บิดา มารดา และพี่ชายต่างก็รักใคร่ แต่ท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของฉีเฉินแบบนั้นมีหรือที่นางจะดูไม่ออก รู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงค่อยๆ ถามอย่างระมัดระวัง "เขามีคนที่ชอบพออยู่แล้วหรือ?"
ฉีเฉินมองหว่านเอ๋อร์แล้วส่ายหน้า หว่านเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วถามต่อ "แล้วเขายอมแต่งงานกับข้าหรือไม่?"
"เขาเป็แค่สามัญชนคนหนึ่ง ไม่มีตำแหน่งขุนนางติดกาย หว่านเอ๋อร์ไยเ้าต้องดื้อรั้นเช่นนี้ด้วย วันหน้าพี่รองจะหาคนที่เหมาะสมและคู่ควรให้กับเ้าอย่างแน่นอน ดีหรือไม่?" คำกล่าวในตอนท้ายสุดของฉีเฉิน มีน้ำเสียงเชิงปรึกษาอยู่หลายส่วน
หว่านเอ๋อร์มองฉีเฉินอึ้งๆ ดวงตาทั้งคู่มีน้ำตาคลออยู่เต็มเบ้า ราวกับว่าจะไหลลงมาในอีกไม่ช้า ฉีเฉินเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ั้แ่เล็กจนโต แม้ว่าหว่านเอ๋อร์จะดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างไร ฉีเฉินก็ไม่เคยแตะต้องนาง แม้แต่ดุด่าก็ยังไม่เคย ตอนนี้หว่านเอ๋อร์กลับต้องมาเสียน้ำตาเพราะเฟิงไป๋อวี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขารู้สึกปวดใจเพียงใด
เขาเดินเข้ามากอดนางเอาไว้ ตบที่ไหล่ของนางเบาๆ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วค่อยๆ พูดกับนาง "หว่านเอ๋อร์ บุรุษดีๆ ในโลกนี้มีนับพันนับหมื่น จะไม่มีคนที่เ้าชอบอีกเชียวหรือ? อีกอย่างเ้าเฟิงไป๋อวี้คนไม่รู้จักดีชั่วผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเ้าจริงๆ ตอนนี้เ้ารู้สึกว่าเขาดีมาก แต่ถ้าเกิดแต่งงานกันไปจริงๆ แล้วเขากลับไม่ได้ดีอย่างที่เ้าคิดล่ะ จะทำอย่างไร?"
หว่านเอ๋อร์นิ่งงัน น้ำตาร่วงเผาะลงมาจากั์ตาของนาง ชั่วพริบตาเดียวนางก็สูดลมหายใจลึกๆ หลับตาลงข่มกลั้นความโศกาอาดูรในหัวใจเอาไว้ นางพยายามอ้าปากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายก็ปล่อยไป ทิ้งตัวนั่งลงบนตั่งกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้างอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ฉีเฉินมองหว่านเอ๋อร์แล้วก็ถอนหายใจ ตบไหล่ปลอบใจเบาๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
...
วันนี้จวินหวงนัดหนานสวินและฉีอวิ๋นออกมา นางล่วงหน้าไปถึงก่อน นางรู้รสชาติที่ถูกคอของพวกเขาเป็อย่างดี จึงให้คนเตรียมน้ำชาเขียวเอาไว้ล่วงหน้า แล้วก็นั่งเท้าศีรษะรอพวกเขา
บทสนทนาที่ฉีเฉินพูดกับนางเมื่อวานนี้ยังคงวนเวียนอยู่ข้างหูไม่ไปไหน นางรู้สึกกลุ้มใจจริงๆ แม้ว่าตอนนี้จะเป็ปลอมตัวเป็บุรุษ แต่แท้จริงแล้วนางคือสตรี ทั่วร่างกายของนางไม่น่าจะมีส่วนไหนที่ดึงดูดสตรีได้เลยจริงๆ หว่านเอ๋อร์องค์หญิงผู้สง่างามแห่งเป่ยฉี บุรุษใดไม่เคยเหลียวแล แต่กลับมาชอบพอนางเช่นนั้นหรือ?
นางจับถ้วยชาเล่นปล่อยใจล่องลอยคิดอะไรไปเรื่อยๆ หนานสวินและฉีอวิ๋นมาถึงพร้อมกัน หนานสวินผลักประตูเข้ามาเห็นนางใจไม่อยู่กับเนื้อตัว ย้อนคิดดูสักครู่ก็รู้ว่าเป็เพราะเื่อะไร มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาอดรู้สึกขำไม่ได้
ฉีอวิ๋นเดินลอยชายกรายแขนเข้าไปในห้อง เห็นจวินหวงนั่งเอามือเท้าศีรษะเหม่อลอยจ้องออกไปนอกหน้าต่าง เรือนผมสยายลงมาประไหล่ สีหน้าดูซึมเซาอย่างบอกไม่ถูก
"เ้าเป็อะไรไป? เจอปัญหาเดือดร้อนอันใดหรือไม่" ฉีอวิ๋นถามด้วยความเป็ห่วง
"เกรงว่าจะเจอปัญหาหัวใจเสียมากกว่า" หนานสวินกล่าวขึ้นก่อนในขณะที่จวินหวงยังไม่ได้เอ่ยปาก สีหน้าของเขามีแววยั่วล้อเผยออกมาอย่างชัดเจน
ขณะที่จวินหวงมองไปตามต้นเสียง ก็เห็นหนานสวินยืนย้อนแสงสว่างที่ส่องลงมาด้านหลัง ความเยือกเย็นบนใบหน้าถูกความอ่อนโยนเข้าพื้นที่ รอยยิ้มที่ริมฝีปากกับดวงตาที่โชติ่เจิดจ้าทำให้นางไม่อาจละสายตาไปได้ ผู้คนต่างกล่าวขานกันมาโดยตลอด ว่าหนานสวินมีดวงตาคมกริบราวกับดวงตาพญาเหยี่ยว รอยยิ้มไม่เคยปรากฏ แต่นั่นก็เป็เพราะว่าคนเ่าั้ไม่เคยได้ัักับเขาเหมือนเช่นนางในตอนนี้ เขาก็เป็ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มสดใสเจิดจ้าคนหนึ่งเช่นกัน
นางมองอย่างตะลึงงัน ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาของหนานสวิน ความอบอุ่นอ่อนโยนอันลึกซึ้งไหลวนเวียนอยู่ในดวงตาของเขา
ฉีอวิ๋นยืนมองในฐานะคนนอก เห็นทั้งสองมองตากันราวกับว่าในโลกนี้มีพวกเขาอยู่แค่สองคนก็รู้สึกอิจฉาในใจเล็กน้อย แต่เขาเป็องค์ชาย องค์ชายจะมีใจริษยาผู้คนได้อย่างไร เขาสะบัดศีรษะพยายามกำจัดความคิดเลอะเลือนชั่ววูบของตนเองออกไปเสีย แล้วกระแอมเบาๆ ทำลายความเงียบภายในห้องลง
เสียงกระแอมดึงสติของจวินหวงกลับมาสู่โลกความจริงโดยฉับพลัน พวงแก้มของนางรู้สึกร้อนลวกแดงก่ำ รีบถอนสายตาจากหนานสวินอย่างลนลาน
หนานสวินผู้ซึ่งเคยผ่านการรบราฆ่าฟันมาหลายสนามรบ หนังหน้าของเขาย่อมหนากว่าจวินหวงมาก ท่าทีที่แสดงออกมาจึงดูเป็ธรรมชาติ เขาเบนสายตาไปมองที่อื่น สีหน้าของเขานิ่งเฉยไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
"เสด็จพี่ เื่ปัญหาหัวใจที่ท่านกล่าวถึงเมื่อครู่ คือปัญหาหัวใจอันใด?"
หนานสวินอมยิ้มมองไปที่จวินหวง เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นประกายความหวั่นไหวในแววตาของนางที่ให้ความรู้สึกราวกับคนที่กำลังนั่งเกร็งหลังตรง ในขณะที่นางรู้สึกเพียงว่าแววตาของหนานสวินเร่าร้อนเกินไป
หนานสวินเห็นนางมีท่าทางแบบนี้ก็อดรู้สึกขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจวินหวงคิดอย่างไร ตลอดมานางมักจะทำท่าเป็ผู้ใหญ่เกินตัว ราวกับว่านางสามารถเผชิญกับทุกเื่ในโลกนี้โดยปราศจากความตื่นตระหนกได้ ความสงบนิ่งในแววตาของนางยิ่งทำให้คนอ่านไม่ออก
แต่ท่าทางของนางในตอนนี้ ถึงจะเป็แบบที่สตรีควรจะเป็ ใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาฉ่ำพราวราวกับมีน้ำกลิ้ง เส้นผมยกสยายเบาๆ พลิ้วลม แม้ใบหน้าจะไร้เครื่องประทินผิวเช่นหญิงสาวทั่วไป แต่ดูเหมือนว่าหนานสวินจะสามารถจินตนาการถึงรูปลักษณ์ที่งดงามอย่างน่าทึ่งของนางในยามที่เป็สตรีได้
"สงสัยว่าเ้าจะเคยชินกับการเป็องค์ชายผู้ปลีกวิเวกไปแล้วจริงๆ ถึงได้ไม่รู้ว่าในวัง่นี้เกิดเื่สนุกอะไรขึ้นบ้าง" หนานสวินพูดพลางหัวเราะ
ฉีอวิ๋นยิ่งสงสัยมากขึ้น "ตัวข้าผู้เป็น้องหูตาคับแคบ ขอเสด็จพี่โปรดแถลงไขให้รู้แจ้ง"
หนานสวินมองไปที่จวินหวง นางจึงถลึงตาใส่เขากลับ พลางคิดในใจ
'เขาคงไม่ถึงกับรู้ว่าฉีเฉินมาหาข้าเพราะเื่นี้หรอกกระมัง?'
แต่แล้วคำพูดต่อมาของหนานสวินก็พิสูจน์ว่าทุกอย่างก็เป็ไปตามที่นางคาดไว้
"เมื่อหลายวันก่อนคุณชายเฟิงไปวัด ได้พบกับหว่านเอ๋อร์โดยบังเอิญ ไม่คิดว่าหว่านเอ๋อร์จะตกหลุมรักเขาั้แ่แรกพบ นางถึงกับไปขอร้องฉีเฉินให้ช่วยเป็พ่อสื่อให้อย่างเปิดเผย คุณชายเฟิงหนอคุณชายเฟิง รูปงามนำมาซึ่งปัญหาโดยแท้"
จวินหวงได้ยินหนานสวินกล่าวเช่นนั้น แก้มของนางก็ยิ่งแดงขึ้นอีก ถูกล้อจนไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไร ผ่านไปชั่วครู่พอหายจากอาการเก้อกระดากแล้ว จวินหวงก็มองไปที่หนานสวิน หัวคิ้วของนางขมวดยุ่ง "ท่านรู้ได้อย่างไร?"
ไม่รู้เพราะเหตุใดน้ำเสียงของนางกลับทำให้หนานสวินรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่าเขาไปทำเื่อะไรนอกกรอบมาเสียอย่างนั้น
"เฮอะ! เื่ราวในเมืองหลวงแห่งนี้มีเื่ไหนที่ข้าไม่รู้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นหว่านเอ๋อร์ต้องชอบเ้าจริงๆ แน่นอน นางไม่เพียงแต่ไปขอความช่วยเหลือจากฉีเฉินเท่านั้น ยังวิ่งแล่นมาถึงจวนของข้า ให้ข้าช่วยพูดกับเ้า ดังนั้นวันนี้ข้าก็ต้องถามเ้าตรงๆ เลยว่าเื่นี้เ้าตัดสินใจจะทำอย่างไร?"
ในคำพูดของหนานสวินเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนพร้อมประทุ จวินหวงมองเขาอย่างอึ้งๆ อาจจะเป็เพราะความสับสนในแววตาของนาง หนานสวินเห็นแล้วก็อดใจอ่อนยวบลงมาไม่ได้ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วหัวเราะเบาๆ
"คุณชายเฟิงเป็บุรุษที่มีความโดดเด่น ย่อมมีสตรีมาหลงรักเป็เื่ธรรมดา แต่ข้าสงสัยว่าคุณชายพึงใจสตรีแบบไหน?"
"ผู้น้อยมีปณิธานใหญ่แรงกล้า จะมีใจมาคิดถึงเื่รักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิงได้อย่างไร? ว่าแต่หวางเหย่เถิด ตอนนี้ก็ถึง่อายุที่สมควรจะแต่งงานได้แล้ว แต่เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินว่าหวางเหย่จะหาชายาผู้งามพร้อมมานั่งบัญชาการในจวนสักคนเลยเล่า?" จวินหวงกลับมาสดใสเหมือนเดิมอีกครั้ง รอยยิ้มงดงามเหมาะเจาะ คำพูดก็ผ่ากลางปล้องไม่มีอ้อมค้อมสักนิด
พอได้ยินพวกเขาสองคนโต้ตอบกัน เ้าอย่างนั้นข้าอย่างนี้ ในใจของฉีอวิ๋นยิ่งรู้สึกริษยา
"คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ของพวกท่านสองคนจะดีมากขนาดนี้ เดิมทีข้าคิดว่ายอดขุนพลอย่างเสด็จพี่จะเป็เสือยิ้มยาก ไม่คิดว่าท่านจะมีด้านนี้กับเขาด้วย"
"ที่ไหนกันเล่า ข้าก็เพียงพูดคุยสัพเพเหระกับคุณชายเฟิงเท่านั้นเอง เ้าก็อย่าไปคิดมาก" หนานสวินพูดส่งๆ แก้ผ้าเอาหน้ารอดไป
ฉีอวิ๋นหลุบสายตาลงมองชาเขียวในถ้วยบนโต๊ะ แววตาดิ่งลึกไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด จวินหวงเรียกเขาถึงสองสามครั้ง เขาก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง จนกระทั่งในที่สุดจวินหวงก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา เขาถึงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างอึ้งงัน ดวงตาฉายแววฉงน
"หวางเหย่มีเื่กังวลอะไรในใจหรือ?" พวงแก้มที่ฝาดแดงของจวินหวงเมื่อครู่หายไปแล้ว นางในเวลานี้มีเพียงความสุขุมเยือกเย็นจากภายในแผ่ซ่านออกมา ราวกับว่าเื่ราวนับหมื่นพันในโลกนี้ล้วนไม่นับว่าเป็สิ่งใดทั้งสิ้นสำหรับนาง
ฉีอวิ๋นยกมุมปากฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา จวินหวงกับฉีอวิ๋นรู้จักกันมานาน ย่อมเข้าใจความหมายในทุกการกระทำของเขา ฉีอวิ๋นมีท่าทางแบบนี้แสดงว่าเขามีเื่ราวในใจ แต่เขาไม่ยอมพูดออกมา ด้วยเกรงจะเป็ภาระให้ผู้อื่นต้องพลอยกังวลไปด้วย ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงเก็บความอึดอัดใจไว้คนเดียว
แต่จวินหวงมักจะไม่อ้อมค้อมกับคนที่นางไว้ใจ ท่าทีแบบนี้ของฉีอวิ๋นทำให้นางรู้สึกจนใจไม่รู้จะทำอย่างไรเท่านั้น "เฮ้อ... ฉีอวิ๋น เ้ามีเื่อันใดก็พูดออกมาเถอะ เก็บไว้ในใจก็ไม่มีประโยชน์ เหตุใดจึงไม่พูดออกมาให้พวกเราช่วยเ้าแก้ไขปัญหาล่ะ?
หลังจากที่ฉีอวิ๋นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมา เงยหน้าขึ้นมองจวินหวงแล้วกล่าวว่า "จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทั้งหมดที่ทำอยู่ในตอนนี้ล้วนไม่มีความหมายใดๆ เลย"
"ข้าในสายตาคนอื่นเป็เพียงแค่องค์ชายอ่อนแอขี้โรคไร้ความทะเยอทะยาน ไม่ออกไปติดต่อกับผู้คนภายนอก แม้แต่จวนของตัวเองก็ยังไม่มี แต่พี่รองล่ะ ตอนนี้เขามีคนเข้ามาใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจมากมายในราชสำนัก ได้แต่งงานกับหนานกู่เยว่เ้าหญิงแห่งหนานมู่ และเขายังเป็รัชทายาท ผลลัพธ์ของทุกสิ่งดูเหมือนจะถูกกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว" ฉีอวิ๋นยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าของตนเองยิ่งดูเลือนรางลงไปทุกที สิ่งนี้ทำให้จวินหวงรู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างยิ่ง
ที่นางอยากจะช่วยเหลือฉีอวิ๋นเป็เพราะว่าเขามีความเมตตากรุณาต่อไพร่ฟ้า ซึ่งเป็คุณสมบัติของการเป็กษัตริย์ที่หาได้ยากยิ่ง นอกจากนี้พวกเขาก็รู้จักกันมาก่อน หากวันหนึ่งนาง้าแก้แค้น นางยังต้องขอความช่วยเหลือจากเป่ยฉี แต่ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าฉีอวิ๋นต้องมีความ้าขึ้นเป็ฮ่องเต้ผู้ปกครองแว่นแคว้น ไม่ใช่เป็อย่างตอนนี้ ายังไม่จบแต่เขากลับทดท้อเสียแล้ว ทำให้จวินหวงผิดหวังยิ่งนัก
แต่จวินหวงก็ไม่ซ่อนเร้นความผิดหวังบนใบหน้าแม้แต่น้อย ความผิดหวังของนางประหนึ่งเข็มพิษที่ทิ่มแทงหัวใจของฉีอวิ๋นให้เ็ปทุกข์ทรมานแสนสาหัส
"หวางเหย่คิดจะยอมแพ้แล้วใช่หรือไม่?" จวินหวงเอ่ยปากถามอย่างเ็า
"ข้า..." ฉีอวิ๋นเป็ใบ้ไปชั่วขณะ
จวินหวงหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วพูดอย่างฉาดฉาน "ฉีอวิ๋น ตอนนี้ในราชสำนักฉีเฉินกำลังโดดเด่นเป็ที่จับตามองจริงๆ แต่มันก็เป็สิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เ้าต้องรู้ว่าตอนนี้เขาเป็รัชทายาท เป็รัชทายาทที่ฮ่องเต้เป็ผู้เลือก ผู้คนมากมายล้วนอยากจะประจบประแจงเขาทั้งสิ้น"
"พระพลานามัยของฮ่องเต้ในตอนนี้ก็ยังนับว่าแข็งแรงอยู่ ยังรีบไม่สละบัลลังก์ในเร็วๆ นี้แน่ ข้าว่าเ้าก็รู้ดีว่าโอรสที่ฮ่องเต้รักที่สุดก็คือรัชทายาทองค์ก่อน น่าเสียดายที่รัชทายาทมาด่วนสิ้นพระชนม์ไปกะทันหัน เื่นี้บั่นทอนพระราชหฤทัยของฮ่องเต้เป็อย่างมาก และเวลานี้หากฉีเฉินกระตือรือร้นมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดความระแวงสงสัยได้ ยิ่งไปกว่านั้นเื่ที่ฉีเฉินมีส่วนพัวพันกับการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาทองค์ก่อน เหตุใดฮ่องเต้จะไม่ทรงทราบ? เพียงแต่พระองค์ไม่ตรัสออกมาเท่านั้นเอง”
"ตอนนี้สิ่งที่หวางเหย่ต้องทำมีเพียงสิ่งเดียวคือ ไม่ต้องไปต่อสู้ใดๆ กับฉีเฉินทั้งสิ้น"
ฉีอวิ๋นขมวดคิ้วมองจวินหวงด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ แล้วถามขึ้น "เื่อะไร?"
จวินหวงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับวานรได้แก้วปานนั้น หนานสวินนั่งอยู่ด้านข้างไม่สอดปากแทรกขึ้นมาเลยแม้แต่คำเดียว คอยมองจวินหวงอยู่เงียบๆ รอฟังนางไขข้อสงสัยให้แก่ฉีอวิ๋น
หนานสวินเอียงศีรษะหันมามองจวินหวง ใบหน้าด้านข้างของนางดูนุ่มนวลและอ่อนโยน บางครั้งหนานสวินก็คิดถึงความงดงามของจวินหวงในยามที่นางแต่งกายแบบสตรี ถึงขั้นสาบานในใจว่า เขาจะต้องได้เห็นความงดงามแบบนั้นของนางอีกครั้งให้จงได้
