บทที่ 91 ละครฉากใหญ่ของอันฉิน
อันฉินคิดจะแต่งงานอยู่ในชนบท เธอไม่เคยคิดที่จะเขียนจดหมายบอกทางบ้านเลยสักนิด หากทางบ้านรู้เื่แต่งงานของเธอ มีหรือจะไม่ถลกหนังเธอออกมาเป็ชิ้นๆ?
แต่ไม่คิดเลยว่าแม่บังเกิดเกล้ากับพี่ชายจะนั่งรถไฟมางานแต่งของเธอ
แล้วสิ่งที่ทำให้ทุกคนรวมถึงเหอเสวี่ยฉินต้องตกตะลึงก็คือ หญิงชราจากเมืองหลวงคนนี้กลับหน้าด้านหน้าทนอย่างไม่น่าเชื่อ
แม่กับพี่ชายของอันฉินได้ยินว่าอันฉินหาคู่ครองเป็คนชนบท ตอนแรกก็โกรธมาก แต่ไม่รู้ว่าใครบอกว่าตอนนี้ชีวิตในชนบทดีกว่าในเมือง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเื่อาหาร
สองแม่ลูกปรึกษากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟมาหาอันฉิน อยากจะแต่งลูกสาวของตระกูลอันของพวกเขาไปนะเหรอ มันไม่ง่ายขนาดนั้น สินสอดต้องมี อาหารก็ขาดไม่ได้
เร่งรีบมาจนทันวันแต่งงานของอันฉินพอดี จนถึงหมู่บ้านผานสือ ไม่คิดเลยว่าคนชนบทจะรวยขนาดนี้!
แม้จะไม่มีสามหมุนหนึ่งดัง แต่มีขาโต๊ะสามสิบหกขา และยังมีจักรยานอีกด้วย!
พอแม่ของอันฉินเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าลูกสาวตัวเองสวมนาฬิกาข้อมืออยู่ด้วย! แม้จะไม่ใช่นาฬิกาลองจินส์ แต่การมีนาฬิกาข้อมือสักเรือนก็ถือว่าดีมากแล้ว!
โอ้ พระเ้าช่วย!
สองแม่ลูกสบตากัน ต่างก็เห็นความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอันฉินถึงยอมแต่งงานเข้ามาอยู่ในชนบท มันดีขนาดนี้เลยนี่ จะแต่งงานในเมืองทำไม เมืองจะมีขาโต๊ะสามสิบหกขาเหรอ? จะมีจักรยานและนาฬิกาข้อมือไหม?
ไม่มีแน่นอน!
การแต่งงานครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ แม่ของอันฉินคิดในใจ
ทุกคนตกตะลึง ไม่รู้ว่าหญิงชราที่มาใหม่คนนี้คือใคร จากนั้นก็เห็นสีหน้าของอันฉินซีดเผือดลงเล็กน้อย แล้วเธอก็ยิ้มอย่างอ่อนแรง “แม่ มาได้ยังไงคะ?”
“ถ้าพวกเราไม่มา แกคิดจะถูกคนเขาแต่งโดยไม่เอาสินสอดทองหมั้นอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?” แม่ของอันฉินกล่าวอย่างเ็า
ที่แท้ก็เป็แม่ของอันฉินที่มาจากเมืองหลวงนี่เอง
เหอเสวี่ยฉินจัดเสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อย แล้วยิ้มแย้มเข้าไปต้อนรับ “ญาติผู้ใหญ่มาแล้วนี่เอง ทำไมพวกคุณไม่บอกล่วงหน้าล่ะคะ พวกเราจะได้ไปรับ”
แต่เหอเสวี่ยฉินไม่นึกเลยว่าคนที่มาจากเมืองใหญ่ การด่าคนกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าป้าแก่ๆ ของพวกเขาเลยสักนิด?
เหอเสวี่ยฉินอ้างว่าตัวเองสูงส่งจึงด่าสู้แม่ของอันฉินไม่ได้ แต่ป้าแก่ๆ ทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอเป็คนประเภทเดียวกัน พอแม่ของอันฉินพูดออกมาคำแรก ป้าแก่ๆ ก็รู้ทันทีว่าเธอคิดอะไรอยู่
นี่ไม่ใช่แค่มาตักตวงผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ไม่เพียงแต่จะเอาสินสอดทองหมั้น แต่ยังเรียกร้องเกินจริง บอกว่าพี่ชายของอันฉินทำงานไกลเกินไปไม่มีจักรยาน อันฉินอยู่ในชนบทคงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร สู้ให้พวกเขาเข็นจักรยานกลับไปเลยดีกว่า
สีหน้านั้นแทบจะทำลายความเชื่อมั่นของสมาชิกในหมู่บ้านผานสือ พวกเขาคิดว่าป้าแก่ๆ หน้าด้านพอแล้ว แต่แม่ของอันฉินกลับหน้าด้านยิ่งกว่า
“จุ๊ๆ...” ลู่ซือหยวนนึกถึงภาพนั้นแล้วก็หัวเราะพลางลูบท้อง “อันฉินคนนั้นแทบจะคลั่งไปแล้ว แล้วก็ยังมีคุณนายของเราด้วย ตอนนี้คงนอนอยู่บนเตียงแล้ว”
เหอเสวี่ยฉินไม่เคยเสียหน้ามากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
“แล้วจักรยานถูกเข็นไปไหม?” สวี่จือจือถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีทางอยู่แล้วค่ะ” ลู่ซืออวี่ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบาๆ “ของใหญ่ขนาดนั้นเข็นยากจะตาย”
ดังนั้นแม่ของอันฉินจึงแย่งนาฬิกาข้อมือจากข้อมือของอันฉินไป
แน่นอนว่าอันฉินไม่ยอมให้ เธอยังต้องพึ่งพานาฬิกาเรือนนี้เพื่ออวดต่อหน้าสวี่จือจือในภายหลัง ดังนั้นสองแม่ลูกจึงเริ่มแย่งชิงนาฬิกาต่อหน้าผู้คนมากมาย สุดท้ายแม่ของอันฉินก็เหนือกว่า อันฉินทนความเ็ปไม่ไหว นาฬิกาจึงถูกดึงออกไป
“เธอไม่รู้หรอกว่ามีแม่ที่ใจร้ายขนาดนี้ได้ยังไง” ลู่ซือหยวนส่ายหน้า “ดึงอย่างแรงเลยนะ พอไม่ให้ก็กัด”
แขนของอันฉินถูกนาฬิกาขูดจนเป็รอยแผลใหญ่ เืไหลซิบๆ ดูน่ากลัวมาก
แค่นี้ยังไม่พอยัง้าสินสอดอีก ถ้าไม่ให้เงินก็อย่าหวังว่าจะได้แต่งอันฉิน
โจวเป่าเฉิงโกรธมาก “ไม่แต่งก็ไม่แต่ง”
เมื่อก่อนเขาคิดว่าอันฉินเป็คนเมืองหลวง ยังไงก็ต้องดีกว่าหวังซิ่วหลิงจากหมู่บ้านเป่ยสุ่ย
ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่เ็ป
หวังซิ่วหลิงมีชื่อเสียงไม่ดี แต่สุดท้ายก็ยกสินสอดให้เป็สินเดิมของสวี่จือจือ
แต่แม่ของอันฉินล่ะ?
ร้ายยิ่งกว่าตั๊กแตน ขี้เหนียวอะไร? ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมเสียอะไรเลย แต่ยังจะเข้ามาเกาะกินอีกด้วย
แม่ของอันฉินสำลัก เดิมทีคิดว่าอันฉินฝึกโจวเป่าเฉิงจนเชื่องแล้ว ถึงได้มีทั้งจักรยานและนาฬิกาข้อมือ ดูจากท่าทีของโจวเป่าเฉิงแล้วไม่เหมือนแกล้งทำ
หญิงชรากลอกตา ไม่ให้สินสอดก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องให้อาหารบ้างสิ?
“พี่สะใภ้แกตั้งท้องหลานของแก น่าสงสารเหลือเกิน ไม่มีข้าวกิน ผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดแล้ว” แม่ของอันฉินจับมือของอันฉินพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
ถ้าไม่ให้อาหาร พวกเขาก็จะไม่ไปไหน
สุดท้ายก็เป็ลู่หวยเหรินที่หน้าบึ้งตึงให้เงินไปยี่สิบหยวน กับคูปองอาหารทั่วประเทศอีกสองสามใบ เพื่อไล่คนไปให้พ้น
จะว่าไปเงินจำนวนนี้กับคูปองอาหารคงไม่สามารถตอบสนองความ้าของแม่ของอันฉินได้ แต่ก็รู้ว่าจะต้องรู้จักพอ ยังไงซะวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล
คำพูดเพียงคำเดียวทำเอาเหอเสวี่ยฉินโกรธจนล้มป่วยไปเลย
“นี่เป็ของที่จิ่งซานส่งกลับมา” สวี่จือจือฟังจบก็ยิ้ม ไม่อยากคุยเื่นี้ต่อจึงพูดว่า “เสี่ยวอวี่ พวกเรามาเร่งอ่านหนังสือพวกนี้กันใน่นี้ดีกว่า”
“แล้วก็ยังมีเสื้อผ้า...” สวี่จือจือลองทาบ “พี่ลองดูสิว่าเสื้อตัวนี้ใส่ได้ไหม?”
รูปร่างของเธอกับลู่ซืออวี่ใกล้เคียงกัน แต่ลู่ซือหยวนอวบกว่าเธอเล็กน้อย
“ฉันไม่เอาหรอก” ลู่ซือหยวนทำหน้าเ็าเลียนแบบลู่จิ่งซาน “เสื้อผ้าตัวนี้เอาไว้ให้ภรรยาผมใส่”
สวี่จือจือจะะโเข้าไปตีอีกฝ่าย
ลู่ซืออวี่ก็ไม่เอา “ฉันจะอ่านหนังสือค่ะ”
หนังสือที่ลู่จิ่งซานส่งกลับมาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะมีหนังสือเรียนของชั้นมัธยมปลาย แต่ยังมีเอกสารอ้างอิงอีกสองเล่ม และนิทานอีกสามเล่มด้วย ไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากที่ไหน?
ขณะที่พวกเธอสามคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็เห็นโจวเป่าเฉิงประคองอันฉินเดินผ่านหน้าประตูพอดี
แขนของอันฉินพันผ้าก๊อซไว้ น่าจะไปทำแผลที่สถานีอนามัยมา
พอเห็นสวี่จือจือ อันฉินก็ร้องออกมาเสียงหนึ่งแล้วพุ่งเข้ามา “สวี่จือจือ เธอมันหน้าไม่อาย เธอไม่อยากให้ฉันมีความสุขใช่ไหม? เธอเป็แม่หม้ายผัวทิ้งก็เลยอิจฉาฉัน ไม่อยากให้ฉันแต่งงานอย่างมีความสุขใช่ไหม? ทำไมเธอถึงใจดำขนาดนี้!”
เสียงของเธอดังมาก ไม่นานก็มีสมาชิกในหมู่บ้านมามุงดูกันมากมาย
เกิดอะไรขึ้น? ฟังดูเหมือนว่าเื่ราวในวันนี้จะเกี่ยวข้องกับสวี่จือจือด้วย?
“อันฉิน เธอเป็บ้าอะไรของเธอ?” ลู่ซือหยวนกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ฉันเป็บ้าเหรอ?” อันฉินชี้ไปที่สวี่จือจือพลางร้องไห้ “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ญาติพี่น้องของฉันจะรู้เื่ที่ฉันแต่งงานได้ยังไง? แล้วจะบังเอิญมาทันในวันนี้พอดีเลยได้ยังไง?”
จะถามว่าเธอรู้ได้ยังไง วันนี้สวี่จือจือไม่อยู่ในงานก็เป็เครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้ว และทั้งหมู่บ้านก็มีแต่อีกฝ่ายคนที่วิ่งไปอำเภอทุกวัน ไปส่งจดหมายที่ที่ทำการไปรษณีย์อะไรทำนองนั้น มันไม่ใช่เื่ง่ายดายเลยเหรอ?
“ยุวปัญญาชนอัน” สวี่จือจือเยาะเย้ยอย่างเ็า “เธอคงเป็โรคหวาดระแวงแล้วมั้ง?”
เธอว่างมากขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอยังไม่รู้เลยว่าบ้านของอันฉินอยู่ที่ไหน แล้วจะเขียนจดหมายได้ยังไง?
คิดมากไปแล้วมั้ง!
“เธอก็แค่อิจฉา อิจฉาที่ฉันมีผัว อิจฉาที่ผัวฉันอยู่กับฉันได้ทุกวัน” อันฉินชี้ไปที่สวี่จือจืออย่างดุดัน “แต่เธอจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็สาวบริสุทธิ์ ผัวของเธอไม่มีแม้แต่ข่าวคราว”
“อย่างนั้นเหรอ?”
.............................