กู้เหยายิ้มพลางโบกมือทักทายกลับ ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยินซู่หลันกระซิบข้างหูว่า“คุณหนูสี่ พี่สะใภ้ท่านนี้ของนายหญิงบ่าวได้ยินว่าเป็ลูกสาวของตระกูลชาวเขา แต่การแต่งกายของนางดูไม่เหมือนเลยสักนิด”
เมื่อซู่หลันพูดเช่นนี้ กู้เหยาถึงลองสังเกตดูการแต่งตัวของอวิ๋นเหนียง นางสวมชุดฮั่นฝูเนื้อผ้าดูธรรมดา แต่ชุดของนางไม่ว่าจะเป็สีหรือลายปัก รวมถึงปิ่นไข่มุกบนศีรษะและต่างหูล้วนดูเหมาะสมเข้ากันดี “มีอะไรผิดหรือ?”
“เปล่าเ้าค่ะ นางเป็ถึงพี่สะใภ้ของนายหญิงและนายหญิงก็ชอบนางมาก บ่าวจะกล้าบอกว่าอะไรถูกหรือผิดได้ยังไง เพียงแต่รู้สึกว่าหญิงสาวในูเาคนหนึ่งกลับมีสายตาเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งเ้าค่ะ” ซู่หลันรีบเอ่ย
“ดูเหมือนจะใช่”
ขณะที่กู้เหยากับซู่หลันกำลังคุยกัน ทางด้านกู้เจิงกลับรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย อวิ๋นเหนียงพูดถึงท่านลุงอายุสี่สิบคนนั้นของนางอีกครั้ง
“อาเจิง หอสมุดนี้ใหญ่ขนาดนี้ ย่อม้าคนใช้แรงงานแน่ๆ ท่านลุงใหญ่ของข้าแม้จะอายุสี่สิบแล้ว แต่ยังมีพละกำลังมาก จะให้ตัดฟืนหรือทำอะไรย่อมทำได้ทุกอย่าง” อวิ๋นเหนียงกล่าว
เสิ่นกุ้ยไม่คิดว่าภรรยาจะกล้าพูดเื่นี้กับอาเจิง เื่ลุงใหญ่ของนางเคยเล่าให้ที่บ้านฟังก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่และเขาล้วนคิดว่าอาเจิงเพิ่งให้อวิ๋นเหนียงเข้าไปทำงานในหอสมุด คราวนี้นางยังจะคะยั้นคะยอให้กู้เจิงรับท่านลุงของนางเข้าไปทำงานอีกดูจะเป็การกระทำที่ไม่เหมาะสม
“อวิ๋นเหนียง อาเจิงกำลังยุ่งอยู่ เื่ลุงใหญ่ค่อยว่ากันทีหลัง” เสิ่นกุ้ยดึงแขนเสื้อภรรยาให้นางหยุดพูด
อวิ๋นเหนียงไม่ฟัง “อาเจิง ป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าแต่งเข้าบ้านได้ไม่กี่ปีก็ตายไป ปีก่อนท่านลุงของข้าแต่งภรรยาอีกคนอย่างยากลำบาก ท่านลุงใหญ่อยากเข้าเมืองมาทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว จะได้ทำให้ชีวิตความเป็อยู่ของภรรยาคนใหม่สะดวกสบายขึ้น หลายวันก่อนยังฝากคนส่งจดหมายมาให้ข้าช่วยหางานทำ เ้าดูสิ เ้าเปิดหอสมุดอีกสองแห่ง ต้องขาดคนแน่”
หม่าตงยิ้มพลางมองสีหน้าของนายหญิง เห็นนายหญิงลังเลเล็กน้อย เขาก็คิดว่านางน่าจะลำบากใจมากแน่ เขากำลังจะเข้าไปปฏิเสธแทน ก็ได้ยินนายหญิงพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ ครั้งก่อนข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ? ตราบใดที่มีตำแหน่งเหมาะสมกับลุงของท่าน ข้าจะต้องรับเขาแน่”
“นี่เ้าเคยคุยกับอาเจิงไปแล้วรอบหนึ่งหรือ?” เสิ่นกุ้ยมองภรรยาด้วยสายตาตำหนิ ทำไมภรรยาถึงไม่เคยบอกเื่นี้กับเขาเลย
อวิ๋นเหนียงกัดริมฝีปากเบาๆ สายตาของคนรอบข้างจับจ้องมาที่นาง นางอดรู้สึกขายหน้าไม่ได้ นางคิดว่าการที่มีคนมากมายและเสิ่นกุ้ยก็อยู่ที่นี่ด้วย คงจะทำให้กู้เจิงยอมตกลง แต่คิดไม่ถึงว่ากู้เจิงจะไม่ไว้หน้าเช่นนี้
กู้เจิงเห็นอวิ๋นเหนียงสีหน้าไม่ค่อยดี จึงรีบเอ่ยว่า “การเปิดหอสมุดยังอีกนาน เื่รับสมัครคนเป็หน้าที่ของลุงหม่า ถึงตอนนั้นข้าจะให้ลุงหม่าดูว่ามีงานที่เหมาะสมกับลุงใหญ่ของพี่สะใภ้อวิ๋นหรือไม่”
“ใช่ๆ” ลุงหม่าตงปั้นยิ้ม “อวิ๋นเหนียง ท่านวางใจเถอะ ข้าจะคอยดูให้”
อวิ๋นเหนียงพยักหน้ารับ นางยังจะพูดอะไรได้อีกเล่า
บรรยากาศอึดอัดคลี่คลายลง ใกล้จะได้เวลาเวลาอาหารกลางวันแล้ว กู้เจิงจึงคิดจะกลับไปทานอาหาร
ยามที่ออกจากหอสมุด บนรถม้าเฟิงไหลก็พูดเสียงเบากับกู้เจิง “พี่สะใภ้ของท่านผู้นี้ ความคิดความอ่านไม่แน่ว่าจะบริสุทธิ์นักเ้าค่ะ”
กู้เจิงอึ้งไป ความคิดความอ่านไม่บริสุทธิ์งั้นหรือ? ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง สาวน้อยที่ออกมาจากูเาจะมีความคิดซับซ้อนได้อย่างไร? นางคิดว่าท่านลุงคนนั้นกับอวิ๋นเหนียงคงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก ดังนั้นอวิ๋นเหนียงจึงอยากหางานให้เขากระมัง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน กู้เหยาที่เพิ่งจะก้าวขาลงจากรถม้าถึงกับชะงักและอุทานออกมา “แม่เฒ่าฉิน?”
แม่เฒ่าฉินทำความเคารพกู้เจิงและกู้เหยา
“แม่เฒ่าฉิน ข้าไม่กลับบ้าน” กู้เหยาคิดว่าแม่เฒ่าฉินมาพานางกลับบ้าน
แม่เฒ่าฉินมองคุณหนูสี่อย่างจนปัญญา “คุณหนูสี่อยากพักอยู่นานแค่ไหนก็อยู่ได้ การมาครั้งนี้บ่าวมาหาคุณหนูใหญ่เ้าค่ะ”
กู้เหยาอมยิ้นยินดีที่ได้ยินว่าไม่ได้มาพานางกลับไป
“เป็เื่เกี่ยวกับซู่เหนียงใช่ไหม?”
แม่เฒ่าฉินพยักหน้า นางประคองแขนกู้เจิงเข้าไปในจวน พลางเหลือบตามองเฟิงไหลที่เดินตามติดกู้เจิง พลางครุ่นคิดว่าข้างกายคุณหนูใหญ่มีสาวใช้เช่นนี้เพิ่มมาั้แ่เมื่อไร “สิบกว่าวันมาแล้ว ทางต้าหลี่ตามหาหวังซู่เหนียงโดยไร้ซึ่งวี่แววใดๆ และไม่คิดจะตามหาต่อแล้ว แต่นายหญิงขอให้คุณหนูโปรดวางใจ นายหญิงได้ให้ลูกน้องเก่าของท่านโหวให้ตามหาเป็การส่วนตัวแล้วเ้าค่ะ”
“ขอบคุณท่านแม่ที่เป็ห่วงซู่เหนียง อีกไม่กี่วัน ข้าจะกลับจวนเพื่อไปคารวะขอบคุณท่านแม่” กู้เจิงประทับใจ ใต้หล้านี้นายหญิงอย่างเว่ยซื่อนับว่าหาได้ยากยิ่ง
เห็นสีหน้าระทมทุกข์ของคุณหนูใหญ่ แม่เฒ่าฉินก็ได้แต่ทอดถอนใจ นางไม่เข้าใจว่าคนตัวเป็ๆ คนหนึ่ง จู่ๆ ดันหายตัวไปได้อย่างไร พยายามตามหาเท่าไหร่แล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
กู้เจิงกินอาหารเที่ยงได้ไม่กี่คำก็บอกว่าเหนื่อย้าไปพัก กู้เหยาทราบข่าวของหวังซู่เหนียงก็หมดความอยากอาหารเช่นกัน นางคิดจะเข้าวังเพื่อไปหาองค์หญิงสิบเอ็ด
ในเรือนกู้เจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย* ใต้ระเบียงไม้ นางทอดสายตามองท้องฟ้าพลางคิดถึงซู่เหนียง ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็หันไปมองเฟิงไหลที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เ้าก็นั่งเถอะ ยืนอยู่แบบนี้ ข้าไม่ชิน”
(*เป็ที่นั่งทรงยาว มีที่พักแขนด้านหนึ่งสูงกว่าอีกด้าน)
เฟิงไหลคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา หากเป็ในยามรุ่งเช้าหรือกลางคืนจะค่อนข้างเย็นสบาย แต่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ในยามบ่ายสายลมเลยระคายผิวเล็กน้อย ความง่วงค่อยๆ มาเยือน กู้เจิงสะลึมสะลือ
ท่ามกลางม่านหมอกอันเลือนราง นางเหมือนจะมองเห็นหวังซู่เหนียง ในมือถือจอบอันเล็ก หลบเลี่ยงสาวใช้และเดินไปใต้ต้นกุ้ยฮวาอย่างเงียบเชียบ นางหันมองรอบด้านอย่างลับๆ ล่อๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนก็ใช้จอบอันขุดใต้ต้นกุ้ยฮวาอย่างเอาเป็เอาตาย
กู้เจิงมองแล้วขบขัน คิดไม่ถึงว่าท่าทางลับๆ ล่อๆ ของซู่เหนียงจะน่ารักยิ่งนัก ไม่รู้ว่านางกำลังขุดอะไรอยู่ แต่แล้วนางก็พลันนึกขึ้นได้ว่าซู่เหนียงเคยบอกว่า นางฝังไหจำนวนหนึ่งไว้ใต้ต้นไม้ ในไหมีของมีค่าที่นางขโมยมาจากท่านพ่อ
นางได้ยินหวังซู่เหนียงพึมพำกับตัวเอง “นังเด็กคนนี้ จะหนีไปก็ไม่รู้จักบอกข้าสักคำ ถ้าไม่ใช่เพราะชุนหงแอบมาบอกข้า ข้าคงไม่รู้เื่รู้ราว” ไม่นานไหหลายใบก็ปรากฏขึ้นแก่สายตา หวังซู่เหนียงเปิดฝาออก นางหยิบของบางอย่างออกมาจากด้านใน มีทั้งหมึก จานฝนหมึก ภาพวาด และเครื่องประดับจำพวกหยกไข่มุก นางหยิบของใส่ในถุงผ้าที่เตรียมไว้
หวังซู่เหนียงพึมพำกับตัวเองพลางผูกถุงผ้า “ยัยเด็กเหลือขอ ข้าลำบากแทบตายกว่าจะให้นางเข้าจวนตวนอ๋องได้ นางกลับคิดแต่จะหนี งั้นข้าจะต้องเหนื่อยหาทางให้นางเข้าไปทำไมกัน? เฮ้อ อยากจะหนีก็ไปเถอะ แต่ก็ควรต้องวางแผนสำหรับตัวเองสักหน่อย แล้วนี่อะไร กลับหนีไปมือเปล่าซะอย่างนั้น? นางเป็คนที่ข้าให้กำเนิดแน่ใช่ไหม?”
กู้เจิง “...” เด็กเหลือขอที่ซู่เหนียงพูดถึง ทำไมฟังแล้วเหมือนนางเช่นนี้นะ?
บัดนี้ หวังซู่เหนียงแอบมาจนถึงบริเวณเรือนหลังของจวนกู้ที่มีวัชพืชขึ้นมากมาย นางแหวกเปิดวัชพืชออก ข้างในมีรูสุนัขอยู่ กู้เจิงเห็นซู่เหนียงกำลังปีนออกมาจากรูสุนัขนั่น
กู้เจิงสบถในใจ จวนกู้ยังมีรูสุนัขแบบนี้อยู่อีกหรือ?
ภาพพลันเปลี่ยนไป กู้เจิงเห็นหวังซู่เหนียงปรากฏตัวอยู่นอกเมือง ไม่นาน รถม้าคันหนึ่งก็วิ่งออกมาจากตัวเมือง สารถีแต่งกายด้วยชุดคนเลี้ยงม้า เขาสวมปีกหมวกต่ำ ทำให้คนมองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน เมื่อชายคนนั้นเห็นหวังซู่เหนียง เขาก็รีบให้หยุดรถม้าอย่างกะทันหัน น้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้น “ซู่เหนียง?”
เสียงนี้? กู้เจิงตะลึงงัน เป็เสียงของนาง ยามชายคนนั้นถอดหมวกออกและเผยใบหน้าอ่อนหวานออกมา ไม่ใช่นางแล้วจะเป็ใครกัน?
“เ้าเด็กชั่ว” หวังซู่เหนียงไม่พูดพร่ำทำเพลงนางเดินไปตีกู้เจิง
“ซู่เหนียง มีอะไรคุยกันดีๆ โอ๊ย เจ็บนะ” กู้เจิงรีบหลบ พลางเอ่ยว่า “ชุนหงคงบอกท่านเื่ที่ข้ากำลังจะหนีไปกระมัง? คุยกับนางเสร็จข้าก็เกิดเสียใจขึ้นมา”
“ถ้าไม่ใช่เพราะชุนหงรีบมาบอกข้าว่าเ้าจะจากไปเช่นนี้ พวกเราสองแม่ลูกคงไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิต” จู่ๆ หวังซู่เหนียงก็สะอึกสะอื้น ก่อนจะโยนห่อผ้าที่สะพายไว้บนหลังเข้าไปในรถม้า “ในนี้มีของมีค่าอยู่บ้าง เ้าเอาไป มันจะทำให้เ้าไม่ต้องกังวลเื่อาหารการกินไปตลอดชีวิต”
กู้เจิงเห็นตัวเองน้ำตาคลอเบ้า นางเข้าใจความคิดของตัวนางคนนี้ หวังซู่เหนียงเป็คนเดียวที่นางเป็ห่วง หากไปกล่าวคำอำลา เกรงว่าคงไม่ได้หนีไป “ซู่เหนียง ท่านก็ไปกับข้าเถอะ”
หวังซู่เหนียงดีใจ “แม่รอเ้าพูดประโยคนี้อยู่นะ” ว่าแล้วนางก็ถกแขนเสื้อให้กู้เจิงดูอย่างตื่นเต้น “เ้าดูสิ แม่เปลี่ยนมาใส่กำไลทองแล้ว”
กู้เจิง “...” แขนข้างหนึ่งของซู่เหนียงมีกำไลทองอยู่เต็มแขน
หลังจากหวังซู่เหนียงก้าวขึ้นรถม้า สองแม่ลูกก็ควบม้าจากไปอย่างเบิกบานใจ ในใจของกู้เจิงมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก