เย่เฟิงขมวดคิ้วขณะมองสำรวจชุมชนมโหฬารที่อยู่ตรงหน้า “ข้าเดาว่าที่นี่น่าจะเป็ยอดฝีมือบางคนมาสร้างไว้ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไปจากที่นี่และปล่อยให้รกร้างเช่นนี้”
ชิงเซียงและหลันเซียงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นชิงเซียงพูดขึ้นว่า “หากเป็เช่นนี้จริง ๆ งั้นผลึกเจตจำนงแรกเริ่มก็อาจจะอยู่ในชุมชนนี้”
“ใช่ เป็ไปได้ว่ายอดฝีมือที่เคยอาศัยอยู่อาจจะทิ้งไว้ที่นี่” เย่เฟิงกล่าว ทั้งสามคนเริ่มวิเคราะห์ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจเข้าไปสำรวจชุมชนแห่งนี้ จากนั้นพวกเขาเดินเข้าชุมชนที่รกร้าง บนพื้นเต็มไปด้วยวัชพืช บางครั้งก็มีสัตว์อสูรตัวเล็กโผล่ออกมา เมื่อพวกเย่เฟิงเดินเข้ามาลึกเรื่อย ๆ บนพื้นก็เริ่มปรากฏโครงกระดูก ทั้งยังมีกลิ่นอายความตายแผ่ออกมา
“ทำไมที่นี่ถึงมีโครงกระดูก?” ชิงเซียงถามเย่เฟิงพลางขมวดคิ้ว ส่วนหลันเซียงกลับรู้สึกหวาดกลัว นางเดินไปข้างหน้าด้วยความหวาดระแวง
“ดูท่าที่นี่น่าจะเกิดการเข่นฆ่าขึ้นเมื่อหลายปีก่อน คนเหล่านี้จึงถูกฆ่าตายในสนามรบ” เย่เฟิงกล่าว
หลันเซียงกล่าว “งั้นพวกเราจะเข้าไปลึกกว่านี้ไหม?”
“แน่นอนสิ ที่นี่คงไม่ใช่เขตใจกลางของชุมชนนี้ หากผลึกเจตจำนงแรกเริ่มอยู่ในนี้ แต่พวกเราไม่เข้าไป ก็คงเสียดายน่าดู” ชิงเซียงกล่าว เมื่อเทียบกับหลันเซียง นิสัยของชิงเซียงจะกล้าหาญมากกว่า ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น ชิงเซียงก็เดินนำหน้าไปก่อนใคร พวกเย่เฟิงเดินผ่านอาคารก่อนสร้าง แต่กลับไม่เจออะไรที่เป็ประโยชน์ต่อพวกเขาเลย
ในขณะเดียวกันที่ไหนสักแห่งในูเา มีผู้ฝึกยุทธ์เข้ามาที่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง พวกเขามาจากกองกำลังต่าง ๆ ของจักรวรรดิจิ่วโยว และมีหลายคนเป็ผู้มากพร์และมีพลังต่อสู้แกร่งกล้า
ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มนั้นถือได้ว่ามีพลังดึงดูดร้ายกาจ มันดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์จากทั่วทั้งจักรวรรดิจิ่วโยว ทางกองกำลังจึงส่งผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 มายังอาณาจักรจ้าว แต่จักรวรรดิจิ่วโยวกว้างใหญ่ไพศาล มีอาณาเขตเป็ล้านลี้ ในนั้นมีกองกำลังเล็กใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์พันกว่าคนที่เข้ามายังมิติก้นบึ้งทะเลสาบจึงมีแต่อัจฉริยะมากฝีมือ แม้ผ่านมาหลายวัน แต่ก็ยังคงมีเหลือรอดประมาณ 300 กว่าคน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บัดนี้ผู้ฝึกยุทธ์ 300 กว่าคนนี้มาถึงเขตชุมชน บางคนเข้าไปในชุมชน บางคนก็อยู่บริเวณรอบนอกของชุมชน
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม บริเวณด้านหน้าของพวกเย่เฟิงก็ปรากฏตำหนักขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง พอมองดูก็จะเห็นว่าตำหนักราวกับูเาั์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นมีหมอกสีขาวห้อมล้อมไว้ พร้อมแสงประหลาดเปล่งประกายจาง ๆ ทั้งยังมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามแผ่ออกมา
“ตำหนักนี้โอ่อ่ามาก!” หลันเซียงอุทานด้วยความใขณะมองตำหนักใหญ่ที่อยู่ในหมอกเมฆ
“ขนาดของตำหนักแห่งนี้เทียบเท่ากับตำหนักหลักของวังหลวงจักรวรรดิจิ่วโยว เห็นชัดว่าเ้าของชุมชนมีฐานะสูงส่งเพียงใด” ชิงเซียงตกตะลึง นางเคยตามอาจารย์ไปที่วังหลวงของจักรวรรดิจิ่วโยวอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็วังหลวงที่ทำให้นางประทับใจอย่างมาก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความโอ่อ่าของตำหนักใหญ่นี้จะไม่ด้อยไปกว่าตำหนักหลักของจักรวรรดิจิ่วโยว กระทั่งมีความใกล้เคียงกันด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ทำให้ชิงเซียงตกตะลึงได้อย่างไร
ขณะเดียวกันมีผู้ฝึกยุทธ์มารวมตัวกันที่ไหนสักแห่งในชุมชน พวกเขามองตำหนักโอ่อ่าตรงหน้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ซึ่งในหมู่ผู้มายังมีมู่หรงเฟิง เขายังคงมีาแทั่วร่าง และสายตาที่เขามองเย่เฟิงก็เย็นะเืมาก
เมิ่งยวี่ฉิงมาถึงแล้วเช่นกัน แต่นางไม่ได้มาพร้อมกับมู่หรงเฟิง ยิ่งไม่ได้พบอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ นางเหลือบมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาขุ่นเคือง ดูเหมือนจะแฝงด้วยความไม่พอใจ
“ตำหนักใหญ่นี้ก็คือศูนย์กลางของมิติแห่งนี้ ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มอาจจะอยู่ในตำหนักนี้ก็ได้” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ซึ่งคำพูดของเขาตรงกับความคิดของใครหลาย ๆ คนในที่แห่งนั้น พวกเขาต่างก็รับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของตำหนักนี้ แววตาจึงทอประกายอย่างคาดหวัง
“ในเมื่อมาถึงที่นี่ เหตุใดพวกเราไม่เข้าไปสำรวจข้างในตำหนักเล่า?” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว จากนั้นผู้คนเริ่มเคลื่อนไหวโดยเดินขึ้นตามบันไดที่อยู่ด้านหน้าตำหนัก
“พวกเราก็ไปดูกันเถอะ” เย่เฟิงกล่าวกับชิงเซียงและหลันเซียง พวกนางพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นพวกเขาเดินขึ้นบันไดที่ปูด้วยหินสีขาว
“วูบ!” เมื่อหลาย ๆ คนเหยียบบันได พลันรู้สึกว่ามีพลังประหลาดเข้าปกคลุมร่างพวกเขา ราวกับเป็พลังวิถีฟ้าดิน เพียงแต่บันไดล้วนมีความแตกต่างของมัน เห็นชัดว่าชุมชนนี้ไม่ธรรมดา
“น่ามหัศจรรย์มาก!” เย่เฟิงตาเป็ประกายเมื่อััได้ว่าพลังประหลาดห่อหุ้มร่างตน พลังเช่นนี้อยู่ใกล้กับพลังวิถีฟ้าดิน ซึ่งมีประโยชน์ต่อเขาอย่างมากในการเรียนรู้อำนาจฟ้าดิน เมื่อัักับพลังนี้ ส่งผลให้ร่างกายของเย่เฟิงสอดคล้องกับฟ้าดินแห่งนี้ทันที ดังนั้นแม้เย่เฟิงจะเดินขึ้นบันได แต่ในความเป็จริง เขาได้ใช้จิตเรียนรู้พลังประหลาดที่มาจากฟ้าดินนั่นในระหว่างก้าวเดินด้วยเช่นกัน
ซึ่งบันไดแห่งนี้มีทั้งหมด 999 ขั้น เลขเก้าหมายถึงเลขสูงสุดในหมู่ตัวเลข ขณะเดียวกันยังหมายถึงสูงสุดของวิถี หากผ่านพ้นบันได 999 ขั้นนี้ไปก็จะได้เรียนรู้อำนาจฟ้าดิน
ไม่นานคนแรกที่ขึ้นบันไดครบทั้ง 999 ขั้นก็ปรากฏตัว เป็ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังชั้นยอดทางใต้ของจักรวรรดิจิ่วโยว เมื่อคนนั้นไปถึง้าสุดก็มองลงมาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง จากนั้นเขาผลักประตูตำหนักและเข้าไปข้างใน
“มีคนเข้าตำหนักแล้ว อย่าให้เขาได้โอกาสไปก่อน พวกเราต้องพยายามให้มากกว่านี้!” ผู้คนด้านล่างเห็นคนผู้นั้นไปถึง้าก่อนต่างก็เร่งฝีเท้าด้วยความร้อนใจ กระทั่งมีคนร้อนใจจนต้องใช้เคล็ดวิชาท่าร่าง ทว่าบนบันไดมีกฎต้องห้ามบางอย่าง ตอนที่คนนั้นทะยานร่างขึ้นฟ้า จู่ ๆ ก็ถูกพลังกดทับลงมาจนอัดกระแทกกับบันได ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงไม่กล้าใช้วิธีเหาะเหิน ทุกคนล้วนเดินขึ้นบันไดทีละก้าว ๆ จากนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ไปถึง้าสุดและเข้าตำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้านเย่เฟิง เขาคงที่ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ทุกย่างก้าวล้วนมีท่วงทำนองพิเศษ ราวกับสามารถเชื่อมโยงกับฟ้าดิน
“คุณชายเย่กำลังทำอะไรน่ะ?” หลันเซียงอดไม่ได้ที่จะถามเย่เฟิง
“เขากำลังเรียนรู้ผ่านขั้นบันได” ชิงเซียงอธิบายให้หลันเซียงฟัง
“แบบนี้ก็ได้หรือ!” หลันเซียงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาว หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายวัน นางก็ได้รู้จักนิสัยประหลาด ๆ ของเย่เฟิง แต่เรียนรู้ขณะเดินขึ้นบันได มันไม่แปลกพิลึกเกินไปหน่อยหรือ สภาวะการเรียนรู้ที่แปลกพิลึกของเย่เฟิงทำให้หลันเซียงต้องใอีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก พวกเย่เฟิงก็มาถึง้าสุดของบันได หลังจากผ่านการเรียนรู้ของบันได 999 ขั้น เย่เฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองมีความรู้ใหม่เกี่ยวกับพลังวิถีฟ้าดิน อีกอย่างอำนาจฟ้าดินของเขาก็บรรลุขั้นผันแปร่ปลายสูงสุด อีกเพียงนิดก็จะบรรลุขั้นกายา ถึงเวลานั้นเย่เฟิงจะมีพลังแห่งอำนาจสองอย่างที่บรรลุขั้นกายา พลังต่อสู้จักต้องยกระดับไปอีกขั้นจนเปลี่ยนไปน่ากลัวมากขึ้นหลายเท่า
ตอนนี้ลมปราณของเย่เฟิงคล้ายมีมหาศาล แต่แฝงด้วยความคลุมเครือ ดวงตาของเขายังล้ำลึกราวกับดวงดาวไร้ที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกเข้าใจได้ยาก
“คุณชายเย่ เมื่อครู่เ้าเรียนรู้อะไรหรือ?” หลันเซียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เกี่ยวกับพลังวิถีฟ้าดิน” เย่เฟิงตอบกลับ
“บันไดนี้ผสานด้วยพลังวิถีฟ้าดินงั้นหรือ? เหตุใดข้าถึงััไม่ได้?” หลันเซียงกล่าวด้วยความใพร้อมยกมือปิดปาก ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปจากเดิม ซึ่งหลันเซียงเชื่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเชื่อคำพูดของเย่เฟิง หลังจากเย่เฟิงพูดเช่นนี้ออกไป ผู้คนรอบข้างก็หันมามองเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูก คิดว่าเย่เฟิงพูดจาส่งเดช ตั้งใจเสแสร้งเพื่อได้รับความสนใจจากหลันเซียง
จากนั้นได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ผู้ที่มาจากอาณาจักรติดพรมแดนจะไปเข้าใจพลังวิถีฟ้าดินได้อย่างไร? ข้าว่าแกล้งทำเป็เข้าใจเสียมากกว่า!”
ผู้พูดมีนามว่าเกิ่งหัว เป็ศิษย์จากกองกำลังใหญ่ที่มีนามว่าสำนักเชียนสุ่ยที่อยู่ทางภาคตะวันตกของจักรวรรดิจิ่วโยว เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 และอำนาจบรรลุขั้นผันแปร ก่อนหน้านี้ที่อยู่ริมทะเลสาบมรกต เกิ่งหัวก็สังเกตถึงการมีตัวตนของเย่เฟิงแล้ว เขาไม่ชอบความแข็งแกร่งและความหยิ่งยโสของเย่เฟิง แต่เวลากระชั้นชิด จึงไม่ได้สั่งสอนเย่เฟิง
ตอนนี้เกิ่งหัวเห็นเย่เฟิงแสดงท่าทีเช่นนี้เพื่อหลอกหญิงสาว ทำให้เขาไม่ชอบใจ จึงกล่าวเหยียดหยามเย่เฟิงไปเช่นนั้น
“ใช่ หมอนี่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ไม่รู้ว่าเขารอดชีวิตมาถึงที่นี่ได้ยังไง ทั้งยังอยู่กับชิงเซียงและหลันเซียงแห่งเทียนเซียงหลินอีก ไม่รู้ว่าเขาทำบุญด้วยอะไร?” ผู้คนได้ยินคำพูดของเกิ่งหัวก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ ถึงอย่างไรในความประทับใจของพวกเขา เย่เฟิงก็เป็เพียงคนที่เอาชนะศิษย์สำนักหลิงไถขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ได้เท่านั้น ซึ่งไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ แต่ผู้ที่เขาเลื่อมใสศรัทธาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ถึง 6 แล้วจะเห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตาได้อย่างไร
“พวกเ้าจะไปรู้อะไร สติปัญญาของคุณชายเย่ไม่ใช่ที่คนอย่างพวกเ้าจะทัดเทียมได้” หลันเซียงได้ยินคนเ่าั้ด่าเย่เฟิงเสีย ๆ หาย ๆ ก็กล่าวเช่นนั้นด้วยโทสะ
“ข้าว่าแม่นางหลันถูกคนนี้ทำเสน่ห์ใส่แล้ว ก็แค่สวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 เขาจะไปรู้จักพลังวิถีฟ้าดินได้อย่างไร? ข้าอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 พลังแห่งอำนาจก็เพิ่งบรรลุขั้นผันแปร ส่วนเขา อาจจะยังไม่ได้ััธรณีประตูของพลังแห่งอำนาจด้วยซ้ำ!” เกิ่งหัวกล่าว
“เ้า...” หลันเซียงถึงกับพูดไม่ออก และไม่รู้ควรตอบกลับไปอย่างไรดี
“อย่าไปสนใจกบในกะลาพวกนี้เลย ไปกันเถอะ” เย่เฟิงกล่าวปลอบใจหลันเซียง ั้แ่ต้นจนตอนนี้เย่เฟิงก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองเกิ่งหัว เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาไปกับอีกฝ่าย
หลันเซียงพยักหน้า จากนั้นทั้งสามคนเดินเข้าไปในตำหนัก โดยไม่สนใจเก่งหัวและคนเ่าั้ที่พูดจาดูถูกเย่เฟิง
“สวะ เ้ากล้าดียังไงมาพูดจาเยี่ยงนี้กับข้า ไว้ข้าได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มเมื่อไร ข้าจะจัดการเ้าทีหลัง!” เกิ่งหัวเห็นเย่เฟิงไม่สนใจเขาก็แผดเสียงะโด้วยโทสะ
ส่วนคนเ่าั้ที่ไม่ชอบหน้าเย่เฟิงต่างก็เผยสีหน้าเย็นเยียบ พร้อมรู้สึกอิจฉาริษยาเย่เฟิง
