แม้เย่รั่วสุ่ยจะบอกไว้แล้วว่าหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่อยู่ภายในเส้นทางเชื่อมต่อนี้ไม่มีิญญา ดังนั้นวิชาต่อสู้ร่างอสูรของเขาจึงไม่มีผล แต่เย่ชิงหานก็ยังไม่ถอดใจอยากจะทดลองดูให้เห็นด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันมือก็ไม่ได้อยู่เฉยแสงคมมีดพุ่งออกไปฟันใส่สัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านหน้าด้วย
เป็เช่นนั้นจริงๆ! แสงสีม่วงวาบผ่านหมอกควันสีดำปกคลุมสัตว์ประหลาดจระเข้เ่าั้ พวกมันไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ยังคงดวงตาแดงก่ำไปด้วยเืจ้องมองมาที่เย่ชิงหานอยู่เช่นเดิม
แต่ว่า...เย่ชิงหานกลับพบข้อดีอะไรบางอย่างเข้า หมอกควันสีดำเหล่านี้มีผลกระทบต่อการมองเห็นของพวกมัน แต่เย่ชิงหานที่อยู่ภายในหมอกควันสีดำซึ่งเป็พลังของตนเองแน่นอนว่าย่อมไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย
ปัง!
คมมีดฟันลงไปใส่สัตว์ประหลาดจระเข้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อมันได้ยินเสียงลมที่พุ่งเข้ามาจึงรีบเบี่ยงตัวหลบออกไปด้านข้าง คมมีดจึงไม่ได้โดนเป้าหมายเต็มๆ ฟันโดนแค่เพียงถากๆ ทำให้มันกระเด็นลอยออกไปเพียงเท่านั้น ส่วนอีกสามตัวที่เหลือดวงตาแดงก่ำสอดส่ายสายตามองหาไปทั่ว สุดท้ายพวกมันไม่สนใจต่อสิ่งใดอีกต่างรุมสาดกระหน่ำกรงเล็บทั้งหกข้างโจมตีใส่ไปยังตำแหน่งที่มาของเสียงอย่างมั่วซั่ว
“ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์!”
เย่ชิงหานในตอนนี้สบายขึ้นมาก ฝีเท้าเบาหวิวราวกับสายลมล่องลอยไปมาทำการหลบหลีกการโจมตีของสัตว์ประหลาดจระเข้ทั้งสามตัวได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมือข้างซ้ายควงสะบัดออกไปโจมตีเข้าใส่ลำตัวสัตว์ประหลาดจระเข้ตัวหนึ่ง
ปัง!
ตัวที่ถูกโจมตีล้มลงไปนอนกองกับพื้นอย่างเสียงดังสนั่นทำเอาผืนทรายสั่นะเืขึ้นมาพร้อมกับฝุ่นควันลอยคละคลุ้ง มันเขย่าหัวไปมาอยู่พักหนึ่งแล้วจึงมุดหายลงไปใต้พื้นทราย ชั่วพริบตาเดียวเหลือแค่ส่วนปลายหางขนาดใหญ่ที่กำลังส่ายไปมาให้เห็นแล้วก็เลือนหายไปภายใต้ผืนทรายสีเหลือง
ปังๆๆ!
เย่ชิงหานไม่เกรงใจแม้แต่น้อยรีบจัดการกับสัตว์ประหลาดจระเข้อีกสามตัวที่เหลือทันที สัตว์ประหลาดทั้งสามตัวแสดงออกอย่างน่าแปลกประหลาดใจ เมื่อถูกโจมตีโดนก็จะรีบหลบหนีไปในทันทีโดยไม่คิดที่อยากจะสู้ต่อ
ผ่านไปสักพักผืนทรายโดยรอบหลงเหลือเพียงเย่ชิงหานยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงคนเดียว
ฮู่ว...เย่ชิงหานปล่อยลมยาวทางปากออกมาคราหนึ่ง เ้าสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายจระเข้พวกนี้พลังป้องกันแข็งแกร่งเป็อย่างมาก ตนเองโจมตีถูกเต็มๆ อย่างรุนแรงในระยะประชิดถึงขนาดนั้น แต่ว่าแม้แต่เกล็ดของมันสักชิ้นยังไม่สามารถทำลายได้ คิดว่าพวกมันคงถูกพลังปราณรบกระแทกทำลายอวัยวะภายในจนได้รับาเ็ถึงได้รีบมุดลงพื้นทรายหนีไป
พลังโจมตีของตนเองคงต่ำเกินไปจริงๆ ที่สำคัญที่สุดคือเคล็ดวิชาต่อสู้ที่มีก็แค่ระดับพื้นๆ ทั่วไปที่คนของตระกูลเย่ทุกคนต่างก็เรียนรู้ได้คือ “เคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวง” เย่ชิงหานทอดถอนใจออกมาอย่างอับจนปัญญา เนื่องจากตนเองถูกมองว่าเป็ไอ้ขยะไร้พร์ั้แ่เด็กจึงไม่ได้ถูกให้ความสำคัญไม่มีโอกาสได้ฝึกเคล็ดวิชาระดับสูงเลย
แม้ว่าเคล็ดวิชาต่อสู้เจ็ดกระบวนท่าเย่หวงตามที่เล่าสืบต่อกันมาจะเป็สุดยอดเคล็ดวิชาที่ปฐมาจารย์บรรพบุรุษคิดค้นขึ้นมา หากฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสามารถผ่าูเาแยกปฐีได้ แต่เคล็ดวิชาชุดนี้กลับไม่มีใครที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับขั้นนั้นได้สักคนเดียว หรืออาจจะพูดได้ว่าคนของตระกูลต่างคิดกันว่าเคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงที่แท้จริงนั้นได้หายสาบสูญไปนานแล้ว ส่วนที่ใช้ฝึกกันอยู่ทุกวันนี้เป็เพียงของลอกเลียนแบบที่สร้างขึ้นมาทดแทนเพียงเท่านั้น
ก่อนที่จะเข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองทางตระกูลได้มอบตำราวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์ให้เขามาหนึ่งเล่มและบันทึกประสบการณ์การฝึกฝนอีกหลายเล่ม ตำราเ่าั้ก็มีเพียงแค่เคล็ดวิชาท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์ที่เอาไว้ใช้เอาตัวรอดและตำราการฝึกฝนพลังปราณรบ แต่ไม่มีตำราระดับสูงที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ใช้ในการโจมตีและใช้ในการป้องกันเลยแม้แต่เล่มเดียว
ั้แ่ที่ได้รับวิชาต่อสู้ร่างอสูรเนตรสยบิญญาเมื่อตอนที่อยู่เทือกเขารกร้าง นับั้แ่นั้นมาเขาก็ยังไม่ได้คิดอยากที่จะฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้อื่นๆ อีก คิดเพียงแค่รีบเร่งฝึกฝนเพื่อเพิ่มพลังฝีมือและพลังิญญาให้สูงขึ้นเพียงเท่านั้น
ในตอนนั้นเขาคิดว่าเอาเวลาที่ต้องใช้ในการฝึกเคล็ดวิชามาฝึกพลังปราณรบน่าจะดีกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามหลังจากรวมร่างสัตว์อสูรแล้วผู้ที่มีระดับพลังิญญาอยู่ในระดับขอบเขตเดียวกันกับเขา เขาล้วนสังหารได้ในพริบตา ส่วนพวกที่มีพลังิญญาสูงกว่าเขาต่อให้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ได้ดีเท่าไรก็คงไม่มีประโยชน์เพราะศัตรูยังสามารถสังหารเขาได้ในพริบตาอยู่ดี
ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังเป็อย่างมากที่ไม่ได้ถามพวกเย่สือซานและเย่ชิงอู่เกี่ยวกับเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูง หาไม่แล้วคงไม่ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าระดับพลังฝีมือตนเองสูงกว่าเ้าพวกสัตว์ประหลาดจระเข้เหล่านี้มากมาย แต่กลับต้องมาอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงแทบเอาตัวไม่รอดเช่นนี้
เย่ชิงหานตัดสินใจว่าจะต้องรีบหาปากทางเชื่อมมิติให้พบโดยเร็ว จากนั้นหยุดทำการฝึกฝนปีหนึ่งยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝึกฝนท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์และเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงให้พัฒนาขึ้นอีกขั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องฝึกฝนการปล่อยสนามพลังที่เป็ความสามารถของผู้มีพลังฝีมือในระดับขอบเขตจ้าวนักรบให้ได้ก่อน
หยุดพักอยู่ชั่วครู่เย่ชิงหานเริ่มเคลื่อนตัวรุดไปข้างหน้าอีกครั้ง ทิศทางที่มุ่งไปคือทางที่ภาพลวงตาปากทางเชื่อมมิติปรากฏออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ ชีวิตชาติที่แล้วเคยเรียนเกี่ยวกับภาพมิราจหรือภาพแสงทิวทัศน์ลวงตา ของสิ่งนี้เกิดจากแสงที่ตกกระทบวัตถุของจริงแล้วสะท้อนขึ้นมา ดังนั้นตำแหน่งที่แท้จริงของวัตถุที่แสงตกกระทบมีโอกาสสูงมากที่จะอยู่แนวเส้นตรงเบื้องหน้าของผู้ที่มองเห็นภาพมิราจ
ฟิ้วๆ!
เพียงแต่หลังจากที่เขาเดินมาได้หนึ่งชั่วโมง ชั้นผืนทรายสีเหลืองเบื้องหน้าปรากฏสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายจระเข้ขึ้นมาเป็จำนวนมากอีกครั้งแล้วโจมตีเข้าใส่เย่ชิงหานทันที
ฟิ้ว!
มีประสบการณ์ต่อสู้มาก่อนหน้านี้แล้ว เย่ชิงหานจึงไม่ได้เป็กังวลมากใช้พลังหลอนสั่นคลอนิญญาออกไปในทันที อาศัยหมอกควันสีดำบดบังการมองเห็นและการโจมตีของสัตว์ประหลาดจระเข้ จากนั้นรีบทำการโจมตีใส่พวกมันหลายตัวจนล่าถอยกลับไปแล้วตัวเขารีบรุดหน้าต่อไปอีกครั้ง
แต่ว่าทางที่เขาเดินผ่านมารู้สึกได้ว่าสัตว์ประหลาดจระเข้เข้ามาโจมตีเขายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จากแรกๆ ที่มีเพียงไม่กี่ตัวจนตอนนี้เพิ่มเป็สิบกว่าตัวแล้ว
เย่ชิงหานหลังจากโจมตีใส่สัตว์ประหลาดจระเข้ตัวสุดท้ายจนล่าถอยกลับไป มองดูร่างของตนเองแล้วจึงยิ้มอย่างเจื่อนๆ ออกมา เสื้อผ้าทั่วทั้งร่างฉีกขาดรุ่งริ่ง เืและาแปรากฏอยู่ทั่วร่าง าแที่ยังไม่หายดีจากการรักษาเมื่อสักครู่เปิดออกมาอีกครั้ง
ด้วยความจำใจเย่ชิงหายฉีกเสื้อผ้าตรงตำแหน่งที่ขาดรุ่งริ่งทิ้งไป จากนั้นหยิบเกราะหนังสีทองตัวหนึ่งที่อยู่ภายในห่อสัมภาระด้านหลังออกมา เกราะหนังตัวนี้เป็ของที่เขาขู่กรรโชกมาจากหมันก้านเมื่อตอนที่อยู่บนเกาะแห่งความมืดมิดในงานประลองาระหว่างเขตปกครอง เนื่องจากขนาดที่ใหญ่เกินไปจนกระทั่งถึงตอนนี้จึงไม่ได้นำมาสวมใส่ แต่ตอนนี้ไม่ใส่คงไม่ได้แล้ว
อืม! จะพูดว่าสวมใส่ก็คงไม่ได้เพราะมันดูไม่ต่างจากการใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่อร่างกายแล้วมัดด้วยสายเสื้ออย่างไรอย่างนั้น ลักษณะแม้จะมองดูแปลกประหลาดไปบ้างแต่ทำอย่างไรได้เพราะจำเป็ต้องใส่ แม้าแจะถูกรักษาจนกลับมาหายดีทุกครั้ง แต่เขาก็ยังเป็คนที่มีเืเนื้อเมื่อถูกโจมตีจนเกิดาแก็รู้สึกเ็ปอยู่เหมือนกัน
.................................
เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ภายในใจเย่ชิงหานมีความรู้สึกว่าใกล้ที่จะถึงที่หมายแล้ว แม้ว่าความรู้สึกนี้จะดูไร้เหตุผลไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือแต่เขาก็ยังเชื่อในความรู้สึก ทำการก้าวเดินต่อไป
ระยะเวลาที่สัตว์ประหลาดจระเข้ปรากฏตัวออกมายิ่งถี่มากขึ้นทุกที จำนวนที่ปรากฏออกมายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่หลังจากที่เย่ชิงหานใส่เกราะหนังแล้วพลังป้องกันเพิ่มขึ้นมาเป็อย่างมาก ตอนนี้ทำแค่เพียงปกป้องส่วนศีรษะก็พอส่วนที่เหลือล้วนอาศัยเกราะหนังและโล่พลังปราณรบต้านทานเอาไว้ เช่นนี้ทำให้สบายตัวขึ้นมากแต่พลังปราณรบและกำลังวังชาก็ถูกใช้ไปอย่างมากเช่นเดียวกัน
“ฮู่ว...”
เดินต่อมาอย่างยากลำบากอีกกว่าครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็พบเข้ากับบันไดและปากทางเชื่อมสีดำอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาแน่ใจอย่างที่สุดว่าครั้งนี้ไม่ใช้ภาพมิราจที่เกิดจากการแสงที่ตกกระทบวัตถุทำให้เกิดขึ้นแน่ และในเวลาเดียวกันเขาก็ทำการยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับชูนิ้วกลางคู่ออกมาทันที
“ไอ้บ้าเอ๊ย เล่นกันอย่างนี้เลยเชียวรึ?”
ห่างไกลออกไปมีบันไดและปากทางเข้าสีดำมืดสนิท และยังมีม่านพลังครอบโปร่งแสงที่พบเมื่อตอนอยู่เส้นทางเชื่อมหุ่นเชิดูเาอยู่ด้วย นี่จึงเป็เหตุผลว่าทำไมเย่ชิงหานถึงแน่ใจว่าสิ่งที่เห็นในตอนนี้ไม่ใช่มิราจอย่างแน่นอน เพราะมิราจก่อนหน้านี้ไม่มีม่านพลังครอบโปร่งแสงอยู่ด้วย
เพียงแต่...ด้านนอกม่านพลังนอกจากทรายสีเหลืองแล้วยังมีสัตว์ประหลาดจระเข้อีกนับไม่ถ้วน สัตว์ประหลาดจระเข้จำนวนนับไม่ถ้วนโอบล้อมวงแหวนแสงและม่านพลังเ่าั้ไว้อย่างมืดฟ้ามัวดินมองไปไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุด จากการคาดคะเนทางสายตาอย่างน้อยก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตัว...
ปากทางเชื่อมมิติหาเจอแล้ว เพียงแต่...จะผ่านไปอย่างไร?
สัตว์ประหลาดจระเข้จำนวนมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ พวกมันทำการโอบล้อมม่านพลังครอบไว้อย่างแ่า สมมติว่าต่อให้พวกมันไม่โจมตีใส่เขาและให้เขาเดินเบียดเข้าไปให้ถึงปากทางเชื่อมมิติให้ได้ อย่างน้อยก็คงต้องใช้แรงและความพยายามอย่างสุดชีวิตถึงจะหาทางผ่านพวกมันเข้าไปได้
เย่ชิงหานเอามือเกาหัวแกรกๆ สองตามองดูภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึงราวกับคนโง่...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้