สายตาอันแรงกล้าทิ่มแทงมายังไป๋เซี่ยเหอทันที
ฮั่วเยี่ยนไหวหรี่ตาลง แววตาเย็นเยียบโดยไม่รู้ตัว “เ้าเป็สตรีจริงๆ หรือ? นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเปลือยแผ่นหลังให้บุรุษแปลกหน้าดูเช่นนี้”
อารมณ์อันคุกรุ่นที่เกิดขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้นั้นทำให้ฮั่วเยียนไหวขาดสติ
สตรีตรงหน้านี้ได้สั่นคลอนความเข้าใจที่เขามีต่อสตรีใน่เวลาหลายปีที่ผ่านมา
นางไม่รู้ว่าคำว่าสงวนท่าทีเขียนอย่างไรด้วยซ้ำ!
“อย่าบอกนะว่าท่านเกิดความคิดไม่ดีกับแผ่นหลังเช่นนี้ได้”
นอกจากนี้ทั้งสองก็ ‘ร่วมเรียงเคียงหมอน’ กันมาแล้ว จะยังกลัวเื่พวกนี้อีกหรือ?
แม้ว่าตอนนั้นนางจะอยู่ในร่างจิ้งจอกก็ตาม
เพียงแต่ในฐานะที่นางเป็สตรีจากยุคปัจจุบัน ความคิดของนางจึงเปิดกว้างเล็กน้อย อีกทั้งตอนนี้นางยังเจ็บหลังอีกด้วย
“ฝีปากกล้านัก!”
ฮั่วเยี่ยนไหวไม่ได้พูดต่อให้มากความ เมื่อเห็นใบหน้าที่ขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ ของไป๋เซี่ยเหอ เขาก็รีบใช้ผ้าทำความสะอาดาแของนาง จากนั้นคิ้วก็ขมวดมุ่นจนกองรวมกัน
หากไม่ได้กลัวว่านางจะเสียเืมากจนต้องให้หลีเอ๋อร์หลั่งเือีก เขาก็คร้านที่จะสนใจนาง
“เนื้อตรงนี้ต้องเฉือนออก”
เศษเนื้อ เศษหิน และเศษผ้าจำนวนมากแห้งติดกัน ไม่มีทางเช็ดออกได้
หากมองแบบผิวเผินก็ดูเหมือนาแธรรมดา ทว่าหากพิจารณาให้ดีจะรู้ว่านี่คือาแที่สาหัสมาก นอกจากนี้ยังมีความเป็ไปได้อย่างยิ่งว่ามันจะทิ้งรอยแผลเป็ไว้ด้วย
สตรีไม่ได้มองว่าการมีผิวพรรณเรียบเนียนสำคัญกว่าชีวิตหรือไร?
สายตาของฮั่วเยี่ยนไหวจับจ้องไป๋เซี่ยเหอตลอดเวลา พยายามมองหาความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวในแววตาของนาง
“เฉือนเถิด”
นางตอบอย่างสงบนิ่ง ราวกับาแไม่ได้อยู่บนร่างของนางอย่างไรอย่างนั้น
โทสะของฮั่วเยี่ยนไหวปะทุขึ้นทันที ใบหน้าดูเ็าราวกับสามารถ่ชิงิญญาของผู้คนได้ “หากไม่สนใจชีวิตของตนเองก็ช่างเถิด แต่อย่าได้ทำร้ายผู้อื่นอีก”
ไป๋เซี่ยเหอรู้สึกสงสัย นางทำร้ายผู้ใดกัน?
ฮั่วเยี่ยนไหวไม่รอให้นางเข้าใจ ทันทีที่แสงอาทิตย์สาดส่อง เขาก็ลงมือเฉือนเนื้อที่แผ่นหลังของไป๋เซี่ยเหอทันที นางส่งเสียงออกมาคราหนึ่ง เหงื่อกาฬไหลริน
ไม่ว่าจะอคติกับนางเพียงใด ทว่าในเวลานี้ ฮั่วเยี่ยนไหวกลับรู้สึกนับถือนางเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง
ความเ็ปที่ถูกกริชเฉือนเนื้อนั้น แม้จะเป็บุรุษร่างใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะทานทนได้ ทว่านางกลับแค่นเสียงหนึ่งทีเท่านั้น
เมื่อฮั่วเยี่ยนไหวเห็นเช่นนั้น ก็ใส่ยาห้ามเืให้นางอย่างอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“จิ้งจอกน้อยอยู่ที่ใด?”
เขาถามขึ้นอย่างกะทันหัน ไป๋เซี่ยเหอที่กำลังกัดฟันข่มความเ็ปอยู่รู้สึกตื่นตระหนกทันที
ความกระวนกระวายใจผุดขึ้นมา
“จิ้งจอกอะไร? ข้าไม่รู้!” ดวงตาสุกใสของไป๋เซี่ยเหอดูล่อกแล่ก ชั่วขณะนั้นดวงตาของฮั่วเยี่ยนไหวมองเห็นภาพทับซ้อนเป็ภาพแววตาของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง
“ไป๋เซี่ยเหอ!” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็ดุดันทันที “ข้าไม่สนว่าเ้าจะมีความสัมพันธ์ใดกับจิ้งจอกน้อย แต่ตอนนี้มันเป็สัตว์เลี้ยงของข้า”
นางยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก
“นอกจากข้าแล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจทำร้ายมันได้”
ไป๋เซี่ยเหอทั้งอารมณ์ดีทั้งขบขัน นางจะทำร้ายตนเองได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าไป๋เซี่ยเหอเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ฮั่วเยี่ยนไหวก็โยนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเืในมือลงกับพื้นด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็โยนตลับยาตลับหนึ่งให้นาง
“สรรพคุณของยาตลับนี้ไม่ด้อยไปกว่าเืจิ้งจอก”
เขากระแทกเสียงเล็กน้อยก่อนจะจากไป
เขาไม่้าอยู่กับสตรีที่ไร้มโนธรรมผู้นี้อีกต่อไป
ไป๋เซี่ยเหอถือตลับยาไว้ในมือ เป็ยาขี้ผึ้งสีเขียวอ่อนที่ส่งกลิ่นหอมเจือจาง นอกจากนี้ ยังมีกลิ่นสะระแหน่แบบเดียวกับที่อยู่บนกายของบุรุษผู้นั้นลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่จมูกของนางด้วย
ประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ก่อนจากไปหมายความว่าอย่างไร?
เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?
หลังจากไป๋เซี่ยเหอจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว นางก็เก็บยาขี้ผึ้งด้วยความระมัดระวัง
แม้ว่าที่นี่จะเปลี่ยวร้าง ทว่าโชคดีที่นางเกิดความระแวดระวังในใจยามออกจากจวน จึงจดจำเส้นทางมาตลอดทาง หากต้องกลับไปก็ไม่ใช่เื่ยาก นอกจากนี้ แม้ว่ารถม้าจะชำรุด ทว่าม้ายังคงอยู่
สำหรับไป๋หว่านหนิงนั้น
นางเป็คนจ้างโจรพวกนั้นมาเอง นับได้ว่าต้องรับกรรมที่ตนเองก่อ
ถึงแม้ไป๋เซี่ยเหอจะช่วยไป๋หว่านหนิงได้ แต่นางก็ไม่คิดที่จะช่วย
นางไม่ได้เกิดมาพร้อมหลักการอย่างจงตอบแทนโทษด้วยคุณ!
ไป๋เซี่ยเหอฉีกม่านรถม้าแล้วนำมาห่มแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า ก่อนจะขี่ม้าจากไป
หลังจากนางจากไปได้ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา บุรุษชุดดำที่สวมหน้ากากเหยี่ยวสีเงินก็ขับรถม้าคันใหม่เอี่ยมเข้ามา
เขามองริมลำธารที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ก่อนที่ใบหน้าเยาว์วัยจะเผยความสงสัย
“ท่านอ๋องบอกว่าให้นำรถม้ามาส่งให้ถึงมือของสตรีที่รออยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ? ว่าแต่สตรีหายไปไหนเล่า?”
การกระทำของท่านอ๋องใน่นี้นับวันยิ่งแปลกประหลาด คงไม่ได้ถูกปีศาจจิ้งจอกสิงร่างหรอกกระมัง...
เมื่อไป๋เซี่ยเหอขี่ม้ากลับถึงจวนแม่ทัพก็เป็เวลาพลบค่ำแล้ว
แสงสายัณห์อาบย้อมท้องนภาครึ่งหนึ่งจนเป็สีเื
เมื่อไป๋เซี่ยเหอเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ นอกจากไป๋เหล่าฮูหยินกับไป๋เสียนอันแล้ว ยังมีสตรีอีกคนนั่งอยู่บนม้านั่งด้านข้าง
เป็น้องสามของนาง ไป๋ซูเหอ!
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน เครื่องหน้ายังไม่เติบโตเต็มที่ แม้ว่าจะเป็หนึ่งในสมาชิกจวนสกุลไป๋ แต่หน้าตาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก
ความงดงามของนางด้อยกว่าความงดงามอันอ่อนช้อยของไป๋หว่านหนิง และด้อยกว่าความงดงามที่ดุดันของไป๋เซี่ยเหอเช่นเดียวกัน ทว่ากลับไม่ได้อัปลักษณ์ เรียกได้ว่ามีรูปโฉมแบบบ้านๆ
“พี่ใหญ่?”
ไป๋ซูเหอเป็คนแรกที่เห็นไป๋เซี่ยเหอยืนอยู่หน้าประตู นางใเสียจนทำถ้วยชาในมือหล่นลงกับพื้น น้ำชาสาดกระเซ็นจนทำให้กระโปรงเปรอะเปื้อน
“เห็นข้าแล้วใมากหรือไร?”
เมื่อเห็นไป๋ซูเหอพยายามหลบเลี่ยงสายตาของตนเอง ไป๋เซี่ยเหอก็ยิ้มหยันอยู่ในใจ นางมีท่าทีเจ็บป่วยตรงไหนกัน?
เมื่อไป๋เหล่าฮูหยินเห็นท่าทางของทั้งสองคน จู่ๆ นางก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
“หนิงเอ๋อร์เล่า?”
ไป๋เสียนอันเอ่ยถามขึ้นอย่างสงบนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยร่องรอยการตำหนิไป๋เซี่ยเหอ นึกไม่ถึงว่าจะมาคารวะโดยไม่รอน้องสาว ไม่สมกับเป็พี่สาวคนโตเอาเสียเลย
ถึงแม้คนอื่นจะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าไป๋ซูเหอจะไม่รู้ได้หรือ?
แม้นางจะพักอยู่ที่วัดกับมารดา ทว่าย่อมมีอิสรภาพเต็มที่ นางเขียนจดหมายหาพี่รองอยู่บ่อยครั้ง เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เป็แผนการของพวกนางสองคน
ตอนนี้ผู้ที่กลับมาไม่ใช่พี่รอง ทว่าเป็พี่ใหญ่
เช่นนั้น...
ไป๋ซูเหอไม่กล้าคิดต่อ นางใจนหวาดผวา ส่วนฝ่ามือก็เย็นเยียบ “พี่รองเล่า? เหตุใดพี่รองถึงไม่กลับมากับท่าน? ท่านทำอะไรนาง?”
ทุกคนในจวนนี้ล้วนแต่ดูแคลนนาง มีเพียงพี่รองเท่านั้นที่สนใจนาง มีเพียงการเดินตามรอยเท้าของพี่รองเท่านั้นที่ทำให้นางเบิกบานใจ วันหน้านางย่อมได้ตบแต่งกับสามีที่ดี
หากไม่ทำเช่นนั้น ในจวนนี้ก็จะไม่มีผู้ใดห่วงใยนางเลยสักคน
ดวงตาของไป๋ซูเหอเปลี่ยนเป็สีแดงฉาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอย่างปิดไม่มิด นางพุ่งเข้าไปคว้าไหล่ของไป๋เซี่ยเหอแล้วเขย่าอย่างแรง เกรงว่านางคงจะลงมือทำเื่ร้ายแรงกว่านี้หากไม่มีผู้าุโอยู่ที่นี่
ทว่านางจะรู้ได้อย่างไรว่าไป๋เซี่ยเหอที่อยู่ตรงหน้านั้น ถูกสับเปลี่ยนจิติญญามาเนิ่นนานแล้ว
‘เพียะ!’
เสียงตบดังกึกก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่
ใบหน้าของไป๋ซูเหอบวมแดงทันที นางเงยหน้าสบตากับดวงตาอันแดงก่ำที่คลอไปด้วยน้ำตาของไป๋เซี่ยเหอ อีกฝ่ายกำลังใช้สายตากล่าวโทษมองนาง
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้