เมื่อฟังถึงตรงนี้ แม้คำพูดต่อท้ายไม่ได้พูดออกมา คนทั้งหมดตรงนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
่ที่ผ่านมานี้สำนักเทียนซินและสำนักใหญ่อื่นๆ ปะทะกับเผ่าปีศาจอย่างกับน้ำและไฟ แต่ท่าทีของพรรคซิงหลัวออกจะแปลกไปเสียหน่อย ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจนี่เอง
ส่วนศิษย์หอจี๋เล่อที่ลอบฆ่าเขานั้น คงเป็สายสืบของพรรคซิงหลัวแน่
ที่เขารีบฆ่ามู่เซิงก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบก็เพราะว่า มู่เซิงจงใจพูดเสียงดังชัดเจน เกรงว่ารอบข้างจะมีคนอื่นอยู่ หากได้ยินแล้วนำไปแจ้งกับสำนักเทียนซินและสำนักชิงเฉิง พรรคซิงหลัวคงตกที่นั่งลำบากแย่
ดังนั้นเพื่อให้แผนใหญ่ของพรรคซิงหลัวสำเร็จลุล่วง ศิษย์ทุกคนของพรรคเซียวเหยวและหอจี๋เล่อต้องตายหมด
เมื่อศิษย์คนสุดท้ายของพรรคเซียวเหยวล้มลง ละแวกนั้นก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเืเข้มข้น คนที่ตายไปไม่มีศพไหนที่หลงเหลือใบหน้าเค้าเดิม
ตอนนี้เอง ก็มีคนชุดดำห้าคนปรากฏขึ้นข้างศพ
คนชุดดำนั้นรูปร่างสูงใหญ่ สูงราวสองถึงสามเมตรได้ ซิงสืออีที่แต่เดิมก็นับว่าสูงแล้ว อยู่กับพวกเขากลับกลายเป็เล็กลงทันตา
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไม่กี่คำ จู่ๆ คนชุดดำทั้งห้าก็นั่งลงข้างศพทั้งสิบเอ็ด มือดำคล้ำยื่นออกมาจากร่มผ้า คว้าศพร่างหนึ่งเข้าไปในชุดดำ จากนั้นเสียงเคี้ยวกรุบกรับก็ดังตามมา ราวกับกำลังเคี้ยวกระดูก เืสดๆ ไหลหยดย้อยลงบนเท้าพวกมัน และยังมีแขนขาดหล่นออกมาจากชุดดำนั้นด้วย…
“โอ้กกกก!!!”
มีใครบางคนสะอิดสะเอียนจนอ้วกออกมา และคนนั้น…
“ใคร!” ซิงสืออีสีหน้าเปลี่ยนชะงัด สายตาประกายคมกริบมองไปยังทิศทางที่มีเสียงอ้วก
ทิศทางนั้นบังเอิญคือทิศที่หลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่อยู่พอดี และคนที่อ้วกก็คือโหยวเสี่ยวโม่ คนชุดดำที่แทะกินร่างศพนั้นต่อหน้าต่อตาทำเขาสยองจนอ้วก ‘ไม่ง่ายเลย’ กว่าที่เขาจะปรับตัวกับภาพนองเืได้
คนที่ได้ยินเสียงไม่ใช่เพียงซิงสืออี แต่รวมไปถึงคนชุดดำทั้งห้าด้วย หยุดกินชะงัก บางตัวที่กำลังกินได้ครึ่งเดียวก็โยนร่างครึ่งท่อนทิ้ง
ศพบางรายถูกกินครึ่งท่อนบน บางรายครึ่งท่อนล่าง มีอีกที่เหลือเพียงแขนขาสี่ข้าง…
สภาพน่าสยดสยอง เืนองหยดติ๋งๆ สะอิดสะเอียนได้ใจ ลำไส้ใหญ่ขาวโพลน ไหนจะก้อนสมอง ไหลออกมากองเต็ม กระนั้นแล้ว…
“โอ้กกก…!!” โหยวเสี่ยวโม่กลั้นไม่ไหวอีกต่อไป กระเพาะที่ว่างเปล่าอ้วกออกมาเป็น้ำกรดแทน
เมื่อเขาส่งเสียง ซิงสืออีและพรรคพวกก็แน่ใจตำแหน่งของพวกเขาทันที และหาหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่เจอในเวลาอันรวดเร็ว หลิงเซียวเห็นว่าถูกพวกเขาหาเจอแล้ว จึงไม่ได้หลบซ่อนต่อ อุ้มโหยวเสี่ยวโม่ที่อาเจียนไม่หยุดไปพิงอยู่ตรงเถาวัลย์กิ่งใหญ่
ใบหน้าของหลิงเซียว พรรคพวกซิงสืออีนั้นรู้จักดี เมื่อเห็นเขา ท่าทีของซิงสืออีก็ฉงนขึ้นมา “หลินเซียวแห่งสำนักเทียนซิน?” พูดจบ สายตาคู่นั้นรีบสำรวจรอบข้างเพื่อดูว่ามีคนซ่อนตัวอยู่อีกบ้าง
แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจคือ นอกจากพวกเขาสองคน เขาไม่เห็นใครอื่นใดอีก ดูท่าแล้ว ละแวกนี้คงมีเพียงพวกเขาแค่สองคน แต่ซิงสืออีก็ไม่ได้โล่งใจเสียทีเดียว จ้องมองหลิงเซียวและโหยวเสี่ยวโม่ด้วยสายตาหวาดระแวง ทั้งยังแฝงไปด้วยความชั่วร้าย
หลิงเซียวปรายตามองพวกเขาท่าทียิ้มเยาะ พรรคซิงหลัวกับเผ่าปีศาจสมคบคิดกัน? นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากทีเดียว
แต่เมื่อคิดถึงการกระทำของพรรคซิงหลัวหลังๆ มานี้ ก็ชัดเจนว่ามีลับลมคมในอยู่ พรรคซิงหลัวนั้นมีความเป็ไปได้ว่าจะร่วมมือกับเผ่าปีศาจ เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะแกล้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น แต่เสียดายที่ไม่เป็ไปตามแผน
แล้วหลิงเซียวก็ก้มลงมองโหยวเสี่ยวโม่ที่ยังอาเจียนไม่หยุด พร้อมลูบหลังเขาเบาๆ “ศิษย์น้องเล็ก ไม่เป็อะไรใช่มั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ตอบเขา เพียงแต่ยื่นมือมาหน้าเขา แล้วดึงเสื้อ ดูเหมือนว่าเขาไม่เป็อะไรรึ? พระเ้า เขาพึ่งจะเคยเห็นตัวประหลาดกินคนเป็ครั้งแรกนะ
แน่นอนว่า เขาไม่ได้พึ่งเคยเห็นภาพนองเืเป็หนแรก ก่อนหน้านี้ที่ทุ่งกว้างเมืองฮุยจี๋ ก็เคยมีภาพแบบนี้เกิดขึ้น ตอนนั้นเขาเองก็ใไม่น้อย แต่นั่นใช้เวลาเพียงน้อยนิด และไม่มีตัวประหลาดกินคน
แม้ชาติที่แล้วเขาจะดูหนังสยองขวัญมาเยอะ ในนั้นก็พอมีพวกกินคนอยู่บ้าง แต่นั่นเป็เพียงการแสดง แล้วยังกั้นด้วยกระจกอีกชั้น รู้อยู่แก่ใจว่ามันปลอม เขาจะไปเคยเชยชมภาพจริงแบบนี้ตอนไหนกัน? ทั้งยังคนแสดงจริง สร้างความช็อกกับเขามากทีเดียว เขาไม่อาเจียนทั้งกระเพาะออกมาก็บุญแล้ว
หลิงเซียวยิ้มตาพริ้มเอ่ยกับเขา “ชินแล้วก็ดีขึ้นเอง”
ชินน้องแกสิ! โหยวเสี่ยวโม่เหลือกตามองบน คำนี้อีกแล้ว
“หลินเซียวยอดคนแห่งสำนักเทียนซินกลับมาอยู่นี่ลำพังคนเดียว? ฮ่าๆๆ ถือว่าเ้าโชคไม่ดี เห็นทีวันนี้จะมีลาภก้อนใหญ่ ข้าเ้าซะ สำนักเทียนซินก็เท่ากับเสียแขนไปข้างหนึ่ง เชื่อว่าท่านประมุขกับนายน้อยคงพอใจแน่”
ซิงสืออีสำรวจอยู่นาน ในที่สุดก็แน่ใจว่าละแวกนี้มีเพียงพวกเขา ไม่มีศิษย์สำนักเทียนซินคนอื่นอยู่แล้ว ถึงหัวเราะได้ใจออกมา แววตาชั่วร้ายเผยออกมา ราวกับกำลังเห็นภาพเ้าสำนักตกรางวัลอย่างงามให้เขาอยู่
อย่างที่รู้ แม้หลินเซียวแห่งสำนักเทียนซินจะมีพลังแค่ชั้นดวงดาวสองดาว แต่ปีนี้เขาอายุเพียงสามสิบปี อายุใกล้เคียงกับลั่วซูเหอแห่งสำนักชิงเฉิง คนทั่วไปอายุรุ่นนี้ มีน้อยนักที่จะไต่ถึงชั้นดวงดาว อย่างเช่นนายน้อยของพวกเขา ซิงเทียนเสีย
นายน้อยของพรรคซิงหลัวอายุสี่สิบเอ็ดปีแล้ว พลังของเขาเหนือกว่าหลินเซียวและลั่วซูเหอแค่สองดาว
แต่ว่า ตอนที่นายน้อยอายุสามสิบ พลังของเขาเป็เพียงดวงดาวหนึ่งดาว แม้ต่ำกว่าทั้งสองหนึ่งดาว แต่นายน้อยผู้ยโสรู้สึกว่านี่เป็ความน่าละอาย ดังนั้นจึงมองพวกเขาเป็ศัตรูมาตลอด
ประมุขของพวกเขาก็เห็นว่าหากปล่อยหลินเซียวกับลั่วซูเหอไว้แบบนี้ สักวันคงกลายเป็อุปสรรคใหญ่ของพรรคซิงหลัวแน่ ดังนั้นจึงออกคำสั่งไว้นานแล้วว่าแดน์วิมานเปิดขึ้นหนนี้ หากสบโอกาส จะฆ่าทั้งสองคนให้จงได้
ซิงสืออีคิดไม่ถึงว่า เขายังไม่ทันไปเสาะหาทั้งสองคน หนึ่งในนั้นก็กลับถวายตัวมาให้ถึงที่ อีกทั้งข้างกายหลินเซียวก็มีแค่คนเดียว ทั้งยังเป็นักหลอมโอสถตัวเล็กที่จะเป็ตัวถ่วงซะเปล่าๆ นี่ไม่เท่ากับ์กำลังช่วยเหลือเขาอยู่หรือ?
“ซิงสืออี ข้าจะเอาศพของหลินเซียว”
ขณะนี้เอง หนึ่งในคนชุดดำทั้งห้าก็เอ่ยขึ้น
เสียงของปีศาจตนนี้แหบพร่า คล้ายเสียงเครื่องจักรขึ้นสนิมที่พยายามขับเคลื่อน แฝงเร้นไปด้วยความดีใจอย่างอดใจรอไม่ไหว เหมือนว่าหลินเซียวเป็สิ่งของชิ้นหนึ่งเสียอย่างนั้น
ซิงสืออีหัวเราะลั่นทันที “ไม่มีปัญหา แต่หัวของเขาข้าต้องหิ้วกลับไปให้นายน้อยของข้า หากเขารู้ว่าหลินเซียวตายแล้ว ต้องดีใจเป็อย่างมากแน่”
“ถ้างั้น เ้าจะลงมือเอง หรือให้คนของข้าลงมือ?” คนชุดดำหัวเราะในลำคอ
“ข้าเอง กะอีแค่พลังชั้นดวงดาวสองดาว ข้าใช้นิ้วเดียวก็เอามันอยู่แล้ว” ซิงสืออีเอ่ยขึ้นด้วยความลำพอง ดวงตาส่อแววสังหาร ยกแขนขวาแล้วแกว่งดาบใหญ่ในมือ พร้อมกับสะบัดเืบนดาบออก
ขณะนั้นเอง หลิงเซียวที่คอยปลอบโหยวเสี่ยวโม่ก็ค่อยๆ หัวเราะขึ้น
เสียงหัวเราะของหลิงเซียวปนไปด้วยความอึดอัดใจ แต่ที่คนอื่นได้ยินนั้น กลับน่าประหลาดใจมากกว่า คนทั่วไปหากอยู่ภายใต้ความกดดันของชั้นเชิงพลังแบบนี้ ก็ต้องรีบหนีถึงจะถูก แต่พวกเขาไม่ได้หนี ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด
พรรคพวกซิงสืออีในที่สุดก็เริ่มรู้สึกถึงความขัดแย้งนี้ “เ้าหัวเราะอะไร?”
หลิงเซียวค่อยๆ เบาเสียงหัวเราะลง มองซิงสืออีท่าทางนึกสนุก จากนั้นก้มลงมองโหยวเสี่ยวโม่ที่จวนจะอาเจียนเสร็จ มือหนึ่งลูบผมนุ่มลื่นของเขาแล้วหัวเราะ “ศิษย์น้องเล็ก แม้ว่าศิษย์พี่จะรู้ลึกและเข้าใจเื่ที่เ้าพึ่งจะเคยเจอภาพสยดสยองเช่นนี้ แต่เ้าก็เห็นแล้วว่าพวกเขาล่วงรู้ความลับของพวกเราเข้า ดังนั้นศิษย์พี่ ‘จำใจ’ ต้องฆ่าพวกเขาต่อหน้าเ้า เ้าต้องเข้าใจศิษย์พี่นะ!”
โหยวเสี่ยวโม่กลอกตาบนใส่เขา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนพวกนี้รู้ความลับอะไรของพวกเขา? พูดมาสวยหรู ก็แค่อยากฆ่าคน ทำเป็หาข้ออ้างอะไรมากมาย
หลายวันติดต่อกันที่ต้องเจอภาพนองเืน่าสลด บวกกับวันนี้ที่ต้องเจอความสยดสยองนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าสู่เส้นทางของโรคจิตอย่างขัดขืนไม่ได้ ตอนนี้เขากระจ่างถึงคติข้อหนึ่งที่ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรน่าสยดสยองที่สุด มีแต่ที่น่าสยดสยองมากกว่าต่างหาก!
แต่ว่า พวกซิงสืออีที่ได้ยินหลิงเซียวพูดเช่นนี้ กลับรู้สึกว่ากำลังได้ยินเื่ตลกที่สุดในโลก
หลินเซียวคิดว่าลำพังตัวเองจะฆ่าคนทั้งหมดนี่ได้? นี่มันตลกสิ้นดี อีกอย่างเขาคำนวณจุดยืนของตัวเองผิดไปรึเปล่า คนที่กำลังจะถูกฆ่าปิดปาก คือพวกเขาถึงจะถูก
หลินเซียวล่วงรู้ความลับของพวกเขา รู้ว่าพรรคซิงหลัวสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ เพราะงั้นไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยเขากับนักหลอมโอสถนี่ไปแน่
หลิงเซียวลุกขึ้น ลูบหัวเขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องเล็ก เ้าอ้วกไปก่อน รอเ้าอ้วกเสร็จ ข้าก็คงเก็บพวกเขาเสร็จพอดี”
โหยวเสี่ยวโม่พูดไม่ออก ได้แต่เหลือกตาตอบเขาไป เขาคิดได้ว่าความโหดของหลิงเซียวไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด
จากนั้นเขาก็โดดลงจากเถาวัลย์ ชุดขาวปลิวไสวตามลม มุมปากยิ้มกริ่ม ดูสง่างามเช่นคุณชาย ใครจะคิดล่ะว่า เขาในตอนนี้คือกำลังจะไปฆ่าคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้