เ้านายคนก่อนของนางจางคือ อาจารย์ปู่ของนายอำเภอคนก่อนแห่งอำเภอฉางผิง นายอำเภอคนก่อนออกจากราชการกลับบ้านเกิดแล้ว เขาขอให้อาจารย์ปู่ของตนคอยอยู่ชี้แนะนายอำเภอห่าวเกี่ยวกับเื่ราวต่างๆ ระยะหนึ่ง อาจารย์ปู่จึงกลับช้าไปหลายเดือน เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเตรียมตัวเรียบร้อย สุดท้ายก็นำบ่าวไพร่ที่ไม่จำเป็ออกมาขาย
ครอบครัวของนางจางมีสี่คน นางไม่ใช่ทั้งคนในครอบครัวและไม่ใช่บ่าวเก่าแก่ เป็เพียงบ่าวที่อาจารย์ปู่ซื้อมาเมื่อสองปีก่อน จึงถูกนำมาขายทั้งหมด
อู่อวี๋เหนียน อายุสามสิบสามปี เป็สามีของนางจาง มีคิ้วหนาตาโต รูปร่างสูงแต่อ้วน และมีพละกำลังมาก
อู่ต้า อายุสิบหกปี เป็บุตรชายของนางจาง เขามีร่างกายสูงและอ้วนเหมือนกับอู่อวี๋เหนียน และได้รับถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์มาจากนางจาน จึงทั้งดำและมีหน้าตาที่น่าเกลียด แต่มือเท้าคล่องแคล่วและทำงานได้ดี
บุตรชายคนที่สองของนางจางคือ อู่เอ้อร์ ปีนี้อายุสิบสี่ ร่างกายผอมสูง ใบหน้าคล้ายอู่อวี๋เหนียน จึงมีเค้าความหล่อเหลาอยู่บ้าง นิสัยเปิดเผยร่าเริง รู้จักพูดจา ทำงานใช้แรงได้ดี แต่ทำได้ไม่เรียบร้อยนัก
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่กับบ้านอาจารย์ปู่ นางจางเคยเลี้ยงลูกให้อนุภรรยาของอาจารย์ปู่ ส่วนอู่อวี๋เหนียนและลูกๆ เป็แรงงานทำเครื่องกระเบื้องให้กับอาจารย์ปู่
นางจางและครอบครัวไม่อยากแยกจากกัน จึงขอร้องผู้ดูแลของอาจารย์ปู่ให้หาเ้านายดีๆ ให้พวกเขา
ผู้ดูแลก็เป็คนใจดี เพื่อให้ครอบครัวของนางจางสมปรารถนา จึงยอมเสี่ยงที่จะถูกอาจารย์ปู่ตำหนิ ลดราคาครอบครัวนางจางลง หลี่หรูอี้จ่ายเงินไปแปดตำลึงเพื่อซื้อครอบครัวนางจางกลับมา ราคาถูกกว่าราคาตลาดหนึ่งตำลึงกว่า
ครอบครัวนางจางเป็บ่าวไพร่ให้คนมีเงินมีอำนาจ ย่อมมีเสื้อผ้าและรองเท้าเป็ของตนเอง ทว่าอย่างอื่นมิได้มีมากไปกว่าบ่าวไพร่ที่ขายกันอยู่ในตลาด หลี่หรูอี้จึงจัดแจงเพียงที่พักและอาหารให้กับครอบครัวนางจางเท่านั้น
ครอบครัวนางจางเพิ่งมาถึงบ้านหลี่ก็เริ่มทำงานแล้ว
หลี่หรูอี้จัดให้นางจางเป็คนเลี้ยงทารกทั้งสอง ส่วนอู่อวี๋เหนียนและอู่ต้าคอยโม่ถั่วเหลืองอยู่ที่ห้องบด อู่เอ้อร์รับผิดชอบตักน้ำ ทำความสะอาดบ้าน ให้อาหารไก่และสุนัข ล้างถ้วยชามและงานเบ็ดเตล็ดอื่นๆ
นางจางเริ่มงานั้แ่เมื่อวันก่อนแล้ว นางต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาอุ้มทารกทั้งสองไปนอนที่ห้องเด็ก ตอนกลางคืนก็อุ่นนมแพะให้พวกเขากิน
เมื่อมีนางจางเข้ามา หม่าซื่อและอู่โก่วจื่อก็ไม่ได้มาที่บ้านหลี่ั้แ่เมื่อวานซืนแล้ว ตอนเย็นจ้าวซื่อก็ไม่ต้องคอยดูแลทารกทั้งสอง ทำให้นางได้นอนหลับพักผ่อนอย่างสบาย
วันนี้เป็วันที่สามแล้ว นางจางพาเด็กทั้งสองไปยังห้องเด็ก ตอนนี้กำลังอุ้มทารกอยู่ข้างจ้าวซื่อ
จ้าวซื่อลุกขึ้นนั่ง มองดูทารกน้อยที่กำลังหลับสนิท ตอนกลางวันนางให้นมลูกไปทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ใน่อยู่เดือน ร่างกายจึงยังอ่อนแอและอ่อนล้า นางโบกมือเบาๆ “อืม... เ้าพาเขาไปเถิด ตอนกลางคืนก็ลำบากเ้าแล้ว”
นางจางไม่ได้คิดว่าเป็งานที่หนักหนาเกินไป จึงพูดขึ้นว่า “คุณชายน้อยทั้งสองไม่ซนเลยเ้าค่ะ บ่าวไม่ลำบากและไม่เหนื่อยเลยเ้าค่ะ” นางใช้แขนทั้งสองข้างอุ้มทารกข้างละคน
หลี่ซานช่วยนางจางเปิดผ้าม่าน ไปส่งนางและทารกที่ห้องเด็ก
นางจางก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองหลี่ซานตรงๆ จนเมื่อหลี่ซานเดินออกไปแล้วจึงค่อยผ่อนคลายลงบ้าง
แม้นางจางจะมีหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ และยังทำหน้าที่ดูแลลูกของเ้านายที่บ้านอาจารย์ปู่ แต่อาจารย์ปู่ยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบนางทุกวิถีทาง ทำให้นางกังวลตลอดวัน
นางพอจะมองออกว่าหลี่ซานเป็คนดีคนหนึ่ง แต่นางยังคงหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เป็นิสัยที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่อยู่บ้านอาจารย์ปู่
หลี่ซานเดินกลับมาที่ห้องนอน เมื่อเห็นจ้าวซื่อกำลังลงจากเตียงมาแช่น้ำในถังไม้ ก็เดินเข้าไปสวมกอดนางที่ด้านหลัง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ซู่เหมย ลำบากเ้าแล้ว”
ั้แ่ภรรยาคลอดลูกจนกระทั่งวันนี้ ในห้องนอนจะต้องมีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว หลี่ซานจึงได้ใกล้ชิดภรรยาเสียที
จ้าวซื่อกล่าวยิ้มๆ “ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ตอนกลางคืนข้าก็ไม่ต้องดูแลลูกแล้ว ไม่ลำบากเลย”
หลี่ซานช่วยปรนนิบัติจ้าวซื่ออาบน้ำอย่างขยันขันแข็ง แล้วพาขึ้นเตียง ห่มผ้าให้นาง มองไปยังใบหน้าอ่อนโยนของจ้าวซื่อ จากนั้นจึงโน้มตัวลงหอมแก้มนางไปครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขามีความปรารถนาอยู่บ้าง ทว่ายังมีสติสัมปชัญญะ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ตอนนี้ต้องให้นางพักผ่อนร่างกายให้ดีก่อน
จ้าวซื่อกล่าวกับหลี่ซานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ซาน ท่านก็รีบไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถิด” ตอนนี้อยู่กันเพียงลำพัง สามีก็อารมณ์ดี ทว่าตอนกลางวันสามีกลับถอนหายใจไปหลายครั้ง
หลี่ซานใช้น้ำที่จ้าวซื่ออาบเมื่อครู่นี้มาล้างหน้าล้างเท้า จากนั้นจึงยกถังน้ำออกไปเท เพิ่งเปิดประตูห้องออกมาก็พบว่าอู่เอ้อร์ยืนอยู่ด้านนอก “ดึกแล้ว เหตุใดเ้าไม่นอน”
“ข้าน้อยจะไปเทน้ำให้นายท่านเองขอรับ” อู่เอ้อร์รับถังไม้มา เมื่อครู่เขาเป็คนยกถังไม้เข้ามาให้ ย่อมต้องรอนำถังไม้ออกไปด้วย บ้านเ้านายไม่ได้มีงานอะไรมากมายนักและไม่ได้ใช้เขาทำงานหนัก ทว่าเขาก็ไม่อาจเกียจคร้าน หากเกียจคร้านจนติดเป็นิสัยคงต้องถูกเ้านายเอาไปขายเป็แน่
เมื่อหลี่ซานกลับมาที่ห้องแล้วก็ถอนใจอีกครั้ง กล่าวเสียงอ่อนว่า “แม้แต่เทน้ำพวกเขาก็ไม่ปล่อยให้ข้าทำ”
ั้แ่อู่อวี๋เหนียนและครอบครัวมาอยู่ที่นี่ งานของหลี่ซานและหลี่สือก็ลดลงมาก น้อยลงจนกระทั่งหลี่ซานรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว คิดว่าตนเองเอาแต่รอกินข้าวเพียงอย่างเดียว
จ้าวซื่อง่วงมาก และนางก็ไม่อยากฟังหลี่ซานถอนใจใส่เช่นนี้ จึงนอนลงบนเตียงแล้วขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ก่อนที่จะยื่นหน้าออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เคยเห็นนายท่านบ้านใดเทน้ำด้วยตนเองบ้างเล่า? ท่านเป็นายท่าน ย่อมต้องมีท่าทางเช่นนายท่าน”
“นายท่าน? ข้าไม่ได้แก่ชราเพียงนั้น อีกอย่างเื่ยกน้ำ ทำความสะอาดพื้น ซักผ้า และงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ คนเพียงคนเดียวก็ทำได้” หลี่ซานเดินไปเป่าตะเกียงให้ดับเช่นเคย จากนั้นจึงถอดเสื้อแล้วอาศัยแสงจันทร์สลัวๆ เดินกลับมาที่เตียง ทอดกายนอนลงข้างภรรยา ท่ามกลางความมืดมิด พบว่าเขานอนเบิกตากว้าง ดวงตากลมโตเช่นลาที่ห้องบดบริเวณลานด้านหลังของบ้านหลี่ “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าไปสร้างกำแพงเมืองอยู่ที่เมืองเยี่ยน ต้องแบกหินเป็พันก้อนทุกวัน เพียงไม่นานก็เหงื่อออกท่วมตัว เช่นนั้นจึงจะเรียกว่าทำงาน”
จ้าวซื่อกระซิบข้างหูหลี่ซาน “ท่านไม่ต้องทำงานแล้วไม่ดีหรือ”
“ไม่ดี”
จ้าวซื่อรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ท่านชอบชีวิตที่ต้องลำบากจริงๆ ไม่เหมาะจะเป็นายท่าน”
“ั้แ่เกิดมาจนกระทั่งตอนนี้ ข้าก็ไม่เคยคิดอยากจะเป็นายท่าน” หลี่ซานกล่าวจบก็ยิ้มเล็กน้อย สองวันมานี้เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นเขาก็มีท่าทีเกรงอกเกรงใจกว่าเมื่อก่อนมาก ในคำพูดยังแฝงไปด้วยความเคารพนับถือ โดยเฉพาะตอนที่ทารกน้อยทั้งสองครบสามวัน เข้าพิธีอาบน้ำครั้งแรก บางคนถึงกับเรียกเขาว่า นายท่านหลี่ ในหมู่คนที่หนีภัยโรคระบาดมาด้วยกันเมื่อปีนั้น มีเพียงเขาที่กลายเป็นายท่านไปแล้ว และมีเพียงครอบครัวของเขาที่มีบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติ ทั้งยังมีถึงสี่คนอีกด้วย
“เอาล่ะ หรูอี้มีความสามารถมาก นางเป็คนทำให้บ้านเราดีขึ้นเพียงนี้ ข้ากับท่านก็ทำตามการจัดการของนาง มีความสุขกับชีวิตให้ดีก็พอ” จ้าวซื่อมีความสุขกับชีวิตที่บุตรีสุดที่รักมอบให้จริงๆ ตอนอยู่เดือนได้กินของดีๆ ได้ดื่มของดีๆ ทั้งยังมีบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติ ยามค่ำคืนก็ไม่ต้องตื่นมาดูแลลูก กระทั่งยามหลับฝันนางก็ยังยิ้มด้วยความดีอกดีใจ
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ฟังนางสักหน่อย” ในใจของหลี่ซานทราบดีว่าบุตรีสุดที่รักมีสมองอันชาญฉลาดแบบที่ไม่ธรรมดา หากฟังนางย่อมไม่ผิดพลาด ทว่าเพียงพริบตาเดียวที่บ้านก็มีคนเพิ่มมาแล้วอีกสี่คน ทั้งยังทำงานจนหมดเกลี้ยง ทำจนเขาไม่มีงานจะทำ แรงที่มีในกายไม่ได้ถูกนำไปใช้ เขารู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ
จ้าวซื่อยื่นมือออกไปลูบศีรษะหลี่ซาน “ท่านไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านไปหรอก ครอบครัวเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนเ้าค่ะ”
“พริบตาเดียวก็มีคนเพิ่มมาอีกหลายคน เพิ่มปากท้องมาอีกหลายปากท้อง ข้าจะไม่คิดฟุ้งซ่านได้หรือ” หลี่ซานได้แต่พร่ำบ่นกับจ้าวซื่อ
ทางด้านจ้าวซื่อคิดตกมากกว่าจึงกล่าวไปว่า “มีเงินก็ต้องใช้ชีวิตเช่นคนมีเงิน ไม่มีเงินก็ต้องใช้ชีวิตเช่นคนไม่มีเงิน หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยเอาพวกเขาไปขายเป็อย่างไร”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่ซานก็ขมวดคิ้ว “เ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว หากไม่ไหวก็เอาพวกเขาไปขาย”
อู่อวี๋เหนียนและลูกๆ กำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาภายในห้องนอน กำลังพูดคุยเกี่ยวกับการได้พบเ้านายดีๆ เช่นนี้ โดยไม่รู้เลยว่านายท่านของครอบครัวมีความคิดที่จะเอาพวกเขาไปขายแล้ว
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้