“เสี่ยวกัวนี่ วันนี้ผมช่วยเขาขับรถ บนรถมีแต่เฟอร์นิเจอร์เขาขอแค่อย่างเดียวคือห้ามมีรอย นิดเดียวก็ไม่ได้ถ้ามีรอยอย่าว่าแต่เธอจ่ายไม่ไหวเลย ฉันเองก็จ่ายไม่ไหว” จางซีอวิ๋นพูดเสียงดัง
“พี่จาง ไม่เว่อร์อย่างที่อาจารย์จางบอกหรอกน่า พวกพี่ขับรถก็พอแล้วระวังหน่อยนึงนะแต่ก็ไม่ได้เป็ของมูลค่าสูงอะไร” กัวไฮว่ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ไอ้น้อง นายวางใจเถอะ คนพวกนี้ปลดทหารจากกองทัพมาแล้วรับประกันว่าทำงานสำเร็จแน่” จางโม่พูดยิ้มๆ “นี่พวกแก เดี๋ยวขนเฟอร์นิเจอร์บนรถไปในบ้านนะทุกคนระวังความปลอดภัยกันด้วย”
“รับประกันทำงานสำเร็จ” ชายหนุ่มสามสิบคนะโเสียงดังจากนั้นก็แบ่งเป็สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่บนรถ อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างรถ
“เ้าเจ็ด แกดูโต๊ะนี่ การแกะสลักนี่นี่เป็ตัวที่สวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นในรอบหลายปีมานี้เลยสวยกว่าตัวที่อยู่ในบ้านของเ้านายเราอีก” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างยิ้มแย้ม “วัสดุเป็ของดีแน่นอน ปริมาณแบบนี้”
“พี่ห้า เราระวังหน่อยเถอะ จะให้เกิดเื่กับเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด” เ้าเจ็ดพูดเบาๆ “พี่ห้า พี่ดูแท่นนั่นสิเดี๋ยวพวกเราทำงานเสร็จไปถามน้องคนนั้นดีกว่าว่างานแกะสลักพวกนี้เอามาจากไหนงดงามมากเลย”
กัวไฮว่ เจี่ยหยวน และพ่อลูกจางไม่ได้ว่างงานทั้งสี่คนย้ายเฟอร์นิเจอร์ไปวางไว้ในห้องทีละชิ้นๆของที่วางไปแล้วทุกชิ้นต่างก็เข้ากันกับการตกแต่งโดยรอบอย่างสมบูรณ์แบบทำเอาจางซีอวิ๋นมองแล้วเพลิดเพลินตา ประทับใจไม่มีเลือน
ทำงานกันไปสองชั่วโมง เฟอร์นิเจอร์บนรถก็ถูกย้ายลงมาหมดเหลือเพียงแค่ป้ายยาวป้ายหนึ่ง
“พี่จาง มานี่หน่อยสิครับ ป้ายนี่พวกเราแบกไม่ไหว” ชายหนุ่มที่เป็หัวหน้าของทั้งสามสิบคนเดินไปตรงหน้าจางโม่พร้อมทั้งพูดเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น ก็แค่ป้ายแผ่นเดียวไม่ใช่เหรอ ทำไมจะแบกไม่ได้” จางโม่ถามเบาๆ
“พี่จาง เมื่อกี้พวกเราลองยกป้ายนั่นแล้ว ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ป้ายนั่นพวกเราดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไรแต่รู้อย่างเดียว หนักมาก” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเบา
จางโม่ผงกศีรษะเบาๆเขาะโไปบนรถแล้วใช้มือผลักป้ายยาวประมาณสิบเมตรทว่าไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว
“ไม่น่าจะใช่โลหะนะ แต่ทำไมถึงได้หนักขนาดนี้” จางโม่พูดอย่างนิ่งอึ้ง “พวกเธอมาดูหน่อย อย่าให้ป้ายทับคนล่ะ ฉันจะไปถามกัวไฮว่ว่าใครเป็คนขนป้ายขึ้นไป”
“ป้ายที่พี่จางพูดน่ะนะ อันนั้นพี่ไม่ต้องขน เดี๋ยวผมจัดการเอง” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม เขาลืมเื่รูปไปเสียสนิทภายในน้ำเต้าเหล่าจวินมีไม้หานเถี่ยยาวประมาณยี่สิบเมตรอยู่ชิ้นหนึ่งของชิ้นนี้ไม่ใช่ของในแดนมนุษย์กัวไฮว่ดีใจอย่างสุดขีดเลยใช้กระบี่เฟยเจี้ยนตัดไม้หานเถี่ยออกมาทำป้ายคลินิกไม่แห่งนี้ป้ายที่มีน้ำหนักเกือบห้าพันกิโลกรัมจะให้ใช้แรงคนมายกทำไม่ได้แน่อย่าว่าเอามาห้อยไว้บนประตูเลย ถ้าตอนเอาเข้าไปในรถเขาไม่ร่ายมนตร์ไปรถไม่มีทางทนน้ำหนักได้แน่
“อย่างนี้นี่เอง งั้นพวกเราไม่ทำแล้ว” จางโม่พูดยิ้มๆ “พ่อครับ ทำงานเสร็จแล้ว งั้นคนของผมเลิกงานแล้วนะครับพ่อจะกลับไปกินข้าวที่บ้านกับผมไหม” จางโม่มองจางซีอวิ๋นพร้อมกับพูดขึ้น
“พาคนของแกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันต้องอยู่รอก่อน” จางซีอวิ๋นพูดอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าฉันจัดการเรียบร้อยแล้วจะไปหาแกที่บ้าน เสี่ยวเจี้ยนน่าจะอยู่ที่บ้านนะ”
“ได้ครับ งั้นผมให้เมียออกไปซื้อกับข้าว ให้ทำอาหารรอพ่อ” เมื่อจางโม่พูดเสร็จก็พาคนของตนกลับไป
“หกไม่รักษา ไม่รักษาคนไม่กตัญญู ไม่รักษาคนพูดปด ไม่รักษาคนไม่เคารพไม่รักษาคนชั่ว ไม่รักษาผู้ไม่ปรองดอง ไม่รักษาผู้ไม่อยากรักษา พ่อหนุ่มอย่าว่าอย่างอื่นเลย อักษรนี่ใครเป็คนเขียนเนี่ย บอกฉันหน่อยได้ไหมฉันจะไปกราบเขาสักหน่อย” จางซีอวิ๋นพูดยิ้มๆ “หกไม่รักษา ไม่รักษาผู้ไม่อยากรักษา ฮ่าๆ คลินิกไม่นี่น่าสนใจดีนี่ไม่ทราบว่าแพทย์ประจำคลินิกไม่นี่คือใครกัน”
“คุณอาจาง ขอบคุณที่ดูแลเื่ตกแต่งนะครับส่วนเื่ใครเขียนแล้วก็หมอของคลินิกนี้เป็ใคร ผมบอกอาได้แค่ว่าเป็คนคนเดียวกันถ้าอาอยากรู้ว่าเป็ใคร เสาร์หน้าเชิญมางานเปิดคลินิกนะครับ เดี๋ยวผมให้บัตรเชิญไป” กัวไฮว่พูดพลางส่งเช็คไปหนึ่งใบ “อาจางครับเอาทีละเื่นะ อย่ามัวแต่ได้เงินน้อย งานตกแต่งนี่ไม่ใช่ของอาแค่คนเดียวใครเขาก็มีลูกมียต้องเลี้ยงทั้งนั้นแหละ”
จางซีอวิ๋นผงกศีรษะพลางรับเช็คมา สิบล้าน เยอะกว่าที่ตกลงไว้แต่แรกว่าห้าล้านหนึ่งเท่าตัว ทว่าเมื่อมองท่าทางของกัวไฮว่แล้ว จางซีอวิ๋นก็ไม่ได้เกรงใจเขารับมาแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน
“พ่อหนุ่ม เสาร์หน้าฉันมาแน่ สองวันนี้ฉันก็ต้องมาเสี่ยวเจี่ยตกลงกับฉันไว้แล้วว่าจะให้ฉันถ่ายรูปให้” จางซีอวิ๋นพูดด้วยความยิ้มแย้ม
“ไม่มีปัญหาครับ ยังมีบางส่วนต้องเพิ่มเติมแก้ไขพอดีไว้ตอนนั้นผมจะปรึกษาอาจาง อาไม่ต้องทำแล้วล่ะครับ กลับไปหาหลานเถอะ ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เ้าสี่มือเติบจริงๆ เก้าอี้เตี้ยนี่ฉันไม่กล้านั่งเลย วัสดุนี่น่าจะเป็ไม้หวงฮวาหลีอายุเกินกว่าห้าสิบปีแกเอามาจากไหนเหรอ” เจี่ยหยวนพูดยิ้มๆเขากับกัวไฮว่นั่งอยู่ในคลินิกไม่สองคน
“เื่คลินิกนี่ขอบคุณพี่สองมากนะ อาจางคนนี้นี่ไม่เลวเลยต่อไปถ้าอยากขยายสาขายังต้องหาเขาอีก เหอะๆ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม “ก่อนเปิดกิจการเรียกพี่เย่ากับพี่เซิงมาหน่อย ผมอยากให้พวกพี่เซ็นสัญญาแบ่งหุ้นให้พวกพี่คนละสิบเปอร์เซ็นต์ ไว้ตอนนั้นคลินิกนี้ก็จะเป็ของพวกเราแล้วล่ะ”
“เ้าสามบอกว่าความสามารถการแพทย์แกเหนือฟ้าไม่มีที่เปรียบจริงหรือเปล่าเนี่ย ไว้เอาเข้าจริงอย่าเอาของพวกนี้ไปชดใช้ล่ะ” เจี่ยหยวนพูดอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าต้องชดใช้เงินจริงแล้วแกขาดเงินแกบอกพี่ได้เลยนะ เงินร้อยร้อยล้านของแกฉันไม่ได้แตะต้องแม้แต่นิดเดียวอย่าขายของในคลินิกเชียวนะ”
“ดูพี่สองพูดเข้า พอคลินิกไม่เปิดจะรักษาวันละสิบคนไว้วันเปิดคลินิกพี่ก็จะรู้เองว่าผมมีความสามารถอะไร ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“อย่าหาว่าฉันยุ่งเลยนะ ยังไงวันเปิดคลินิกแกก็ต้องจัดการเื่อาหารให้พี่ได้กินเหล้าเต็มอิ่มหน่อย” เจี่ยหยวนพูดยิ้มๆ
“ลองอันนี้ก่อน ดูว่ารสชาติเป็ยังไง” กัวไฮว่พูดพลางโยนเนื้อแห้งที่อยู่ในมือไปให้เจี่ยหยวนราวกับเล่นกล
“ให้ตาย อะไรเนี่ย แปลกๆ” เจี่ยหยวนถามด้วยความสงสัยจากนั้นก็นำเข้าไปในปาก “ให้ตาย เ้าสี่แกมีของดีอยู่เท่าไหร่กันแน่เนี่ย เอาออกมาให้หมดเลยเดี๋ยวพี่จะจัดการเื่เปิดคลินิกแกเอง รีบให้พี่กินเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอกินด้วยสิพี่สอง น้องสะใภ้พี่เหลือไว้ให้ผมแค่นี้เอง ให้พี่ไปหมดแล้ว” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ สิ่งที่ให้เจี่ยหยวนไปเมื่อสักครู่คือเนื้อัชิ้นหนึ่งก็บอกไปแล้วว่ามีเนื้อัเนื้อลาอันที่จริงพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเนื้อัอร่อยกว่าเนื้อลาเป็หมื่นเท่า
“ที่บ้านแกยังมีอีกใช่ไหม เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะกลับไปกินข้าวกับแกที่บ้านให้น้องสะใภ้ทำให้อีก” เจี่ยหยวนพูดะโเสียงดัง
“่นี้สภาพจิตใจน้องสะใภ้พี่ธรรมดาๆถ้าพี่ไม่กลัวมีดเล็กเธอเล่มนั้นล่ะก็ พี่ก็ไปกับผม” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ได้ งั้นก็รอคลินิกแกเปิดแล้วกัน” เจี่ยหยวนพูดด้วยเสียงดัง “ถ้าแกมีของอร่อยขนาดนั้น ต่อให้คลินิกแกไม่ขายยาไม่ได้ขายของกินก็ได้เงินเหมือนกันนะ”
“พี่สอง วันนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าพี่เป็พวกเห็นแก่กิน” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“การที่กินได้ก็คือความสุข บางคนอยากกินแต่ก็กินไม่ได้” เจี่ยหยวนพูดพลางเดินกระเพื่อมไขมันของตนเองออกไปจากคลินิก “วันเสาร์หน้า รีบถึงสักทีสิ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้