ซ่งหานเจียงกับเหวินยางยางเป็เพื่อนร่วมชั้นกันั้แ่ประถม กระทั่งซ่งหานเจียงย้ายไปชนบทถึงได้แยกห่างกัน ต่อมาพวกเขาสองคนก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน และยังเรียนวิชาเอกเดียวกันด้วย หลังจากนี้อีกสองปี พวกเขาทั้งสองคนก็ยังไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยกัน
ในชาติที่แล้ว ซย่านีได้ขอหย่ากับซ่งหานเจียงก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
ไม่ใช่ว่าซ่งหานเจียงทำเื่อะไรที่ผิดต่อเธอ แต่เป็เพราะซย่านีรู้สึกว่าเกิดเป็คน ไม่อาจทำตัวไร้จิตสำนึกได้
ในปีนั้นการที่ซ่งหานเจียงแต่งงานกับเธอ ทั้งหมดล้วนเป็ทางเลือกที่ถูกบีบบังคับ เป็ทางเลือกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ตอนนั้นเธอพลัดตกน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ได้ซ่งหานเจียงช่วยชีวิตเอาไว้ ทว่าครอบครัวของเธอกลับคิดว่าซ่งหานเจียงทำให้ความบริสุทธิ์ของเธอต้องด่างพร้อย จึง้าให้ซ่งหานเจียงรับผิดชอบ ซ่งหานเจียงเองก็อับจนหนทาง จึงทำได้แค่แต่งงานกับเธอแต่โดยดี
หลังจากที่พวกเขาสองคนแต่งงานกัน ทั้งสองคนก็ไม่เคยได้พูดจากันจริงๆ จังๆ สักครั้ง เธอไม่เข้าใจสิ่งที่ซ่งหานเจียงพูด ส่วนซ่งหานเจียงเองก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพูดเช่นกัน คนทั้งสองต่างก็ปฏิบัติต่อกันราวกับเป็คนแปลกหน้ามาตลอดหลายปี
ทว่าซย่านีเองก็ต้องยอมรับจากใจว่า ซ่งหานเจียงนั้น ดีกับเธอเท่าที่เขาจะทำได้แล้วจริงๆ ในปีนั้นยุวปัญญาชนถึงคราวต้องกลับบ้านอย่างเขา กลับไม่ทอดทิ้งเธอ แม้เธอจะถูกดูแคลนโดยไม่ตั้งใจ แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจเธอเลยสักนิด
เธอรู้สึกขอบคุณเขามากจริงๆ เพราะแบบนี้เธอจึงไม่อาจตำแหน่งภรรยาของเขาได้ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีคนในใจอยู่แล้ว
ดังนั้นในชาตินี้ เธอก็ยัง้าจะขอหย่ากับซ่งหานเจียงอยู่ดี
รอจนเธอหาเงินได้ มีบ้านสำหรับเลี้ยงดูเด็กๆ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น เธอจะขอหย่ากับซ่งหานเจียงทันที
“แม่ ย่าจะไล่พวกเราออกจากบ้านไหมคะ?”
ซ่งตงซวี่หลับไปแล้ว แต่ซ่งวั่งซูยังคงทำการบ้านอยู่ อาจเป็เพราะลูกสาวของเธอได้ยินเหตุการณ์ด้านนอก จึงมีท่าทางกังวลใจ
“ลูกทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ? กระเป๋านักเรียนล่ะ เตรียมหรือยัง?” ซย่านีเอ่ยถาม
ซ่งวั่งซูเอ่ยตอบผู้เป็แม่ “ทำเสร็จหมดแล้ว ส่วนกระเป๋าก็เตรียมไว้แล้วค่ะ”
ซย่านีช่วยห่มผ้าให้เหล่าลูกชายของเธอ พลางกล่าวว่า “งั้นก็รีบไปนอนได้แล้ว” เธอนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ลูกยังเด็กอยู่ อย่าคิดให้มากนักเลย วางใจเถอะ ต่อให้ย่าของลูกไม่ไล่พวกเราออกไป แม่ก็วางแผนจะย้ายออกจากที่นี่อยู่แล้ว”
ซ่งวั่งซูดวงตาเป็ประกาย ดูมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย “พวกเราจะย้ายไปไหนกันคะ?”
เธอไม่อยากอยู่ที่นี่มาแต่ไหนแต่ไร ทุกๆ วันซ่งเสี่ยวสยามักจะมองครอบครัวของพวกเธอด้วยสายตาราวกับพวกเธอกำลังขอข้าวกิน ทำให้เธอไม่อาจสู้หน้าได้ แต่ว่า... พวกเธอยังจะย้ายไปอยู่ที่ไหนได้อีก?
เมืองหลวงใหญ่โตขนาดนี้ พวกเธอเป็แค่คนต่างถิ่น นอกจากที่นี่แล้ว ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปอีก
หรือว่าจะย้ายกลับบ้านเกิด?
ซ่งวั่งซูพลันนึกในใจ ถ้าเป็แบบนั้นเธอยอมอยู่ที่บ้านหลังนี้ แล้วทนฟังคำเยาะเย้ยจากลูกพี่ลูกน้องของเธอยังดีเสียกว่า
“ยังไม่ได้คิดเลย” ซย่านียื่นมือออกไปช่วยลูกสาวถอดเสื้อบุนวม “รอแม่หาเงินได้แล้ว พวกเราก็ไปเช่าบ้านอยู่กัน... ลูกเห็นไหมว่าเดี๋ยวนี้ข้างนอกมีร้านแผงลอยเยอะขึ้นเรื่อยๆ เลย แม่เห็นว่าพวกเขาก็ทำเงินได้กำไรเหมือนกันนะ เพราะงั้นแม่เลยวางแผนจะลองตั้งแผงลอยขายของดู... ลูกคิดว่าอย่างไร?”
ครั้นพูดจบ ซย่านีก็สังเกตสีหน้าของลูกสาวโดยละเอียด
ซ่งวั่งซูนึกประหลาดใจในตอนแรก จากนั้นก็แสดงท่าทางไม่เห็นด้วยเล็กน้อย “ตั้งแผงลอยหรือคะ... แล้วแม่วางแผนจะไปตั้งที่ไหน?” เธอถามอย่างระมัดระวัง “จะมาขายที่หน้าประตูโรงเรียนของพวกเราหรือเปล่า?”
ในยุคสมัยนี้ คนที่ทำงานประจำมักจะดูถูกคนที่ตั้งแผงขายของ ซย่านีเดาว่าลูกสาวของเธอก็คงได้รับอิทธิพลจากชุดความคิดนี้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงต้องพูดกับลูกสาวให้ชัดเจนว่า “ที่หน้าโรงเรียนมีคนเยอะ ถือว่าเป็สถานที่ที่ดีในการตั้งแผงลอยจริงๆ ...เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ คนมากมายต่างก็คิดว่าการตั้งแผงลอยนั้นไม่ใช่อาชีพที่เชิดหน้าชูตาได้ คิดว่าเป็เื่น่าอายด้วยซ้ำ แล้วลูกล่ะ ลูกคิดแบบนี้ไหม?”
ซ่งวั่งซูถูกจี้ใจดำ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างลังเลว่า “เปล่านะคะ ตั้งแผงลอย...ก็...ดีแหละ”
ซย่านีลูบหัวลูกสาวพลางยิ้มและกล่าวว่า “ใช่ไหมล่ะ พวกเราสองแม่ลูกคิดแบบเดียวกันเลย แม่เองก็คิดว่าการตั้งแผงลอยขายของก็ไม่เลวเหมือนกัน พึ่งพาตัวเองเพื่อหาเงิน ไม่ได้ไปลักขโมยหรือแย่งชิงของผู้อื่นย่อมไม่ใช่เื่น่าอายอยู่แล้ว! ตรงกันข้ามเลย แม่กลับคิดว่าพวกที่ดูถูกคนตั้งแผงลอยขายของน่ะ สายตาคับแคบแถมไร้ปัญญาอีก...ถ้าลูกไม่เชื่อล่ะก็ รอพ่อของลูกกลับมาก่อน แล้วค่อยลองถามพ่อเขาดู แม่ว่าพ่อจะต้องสนับสนุนเื่ที่แม่จะตั้งแผงลอยขายของแน่ๆ”
ซ่งวั่งซูสายตาเลื่อนลอย “พ่อจะสนับสนุนหรือคะ?”
ซย่านีตอบอย่างหนักแน่น “แน่นอนอยู่แล้ว”
เนื่องจากเด็กๆ ต้องตื่นไปโรงเรียนในตอนเช้า ซย่านีจึงต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมาเตรียมอาหารให้พวกเด็กๆ
อากาศหนาวมาก ทำให้ซย่านีเดินไปพลางเป่าไล่ไอเย็นไปพลาง เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูห้องครัว เธอก็เจอกับหวังซิ่วอิงผู้เป็แม่สามีที่กำลังเดินออกมาจากห้องครัวพอดิบพอดี
หวังซิ่วอิงปิดประตูห้องครัว ไม่ยอมให้ซย่านีเข้าไป อีกทั้งยังมีสีหน้าระแวดระวังตัว “เธอมาทำอะไร? คิดว่าห้องครัวเป็ที่ที่เธอจะเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้งั้นหรือ?”
ซย่านีเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ตอนที่อยู่บ้านสามีในชาติก่อนนั้น แม้ภายในบ้านจะมีงานให้ทำเยอะแยะ แต่แม่สามีของเธอกลับไม่เคยปล่อยให้เธอยุ่มย่ามกับห้องครัวเลย คงคิดว่าเธอจะแอบมาขโมยกินข้าวล่ะสิ!
ซย่านีอดทนที่จะไม่กลอกตาใส่อีกฝ่าย “ฉันแค่มาดูว่าอาหารเช้าทำเสร็จหรือยัง”
หวังซิ่วอิงส่งเสียง ‘ฮึ’ หนึ่งที แล้วกลอกตามองซย่านี “มองอะไรฮะ! ถึงทำเสร็จแล้วก็ไม่มีส่วนของพวกเธอหรอก! เธอมีเงินแล้วไม่ใช่หรือ? ยังจะต้องมากินข้าวบ้านฉันอีกทำไม?”
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ถอนหายใจออกมา ยังเช้าอยู่เลย แถมวันนี้ยังมีเื่สำคัญต้องทำอีก เพราะฉะนั้น เธอไม่อยากที่จะต้องมานั่งทะเลาะกับหวังซิ่วอิง
ยังดีที่ในกระเป๋าของเธอมีเงินสิบกว่าหยวนที่เธอเก็บไว้จากเมื่อคืน จึงไม่ถึงขั้นที่จะต้องปล่อยให้พวกเด็กๆ ทนหิวในตอนเช้า
ซย่านีหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอน เพื่อปลุกลูกสองคนให้ลุกจากเตียง ตอนที่เดินเข้าไปในห้องก็พบว่าซ่งวั่งซูตื่นอยู่แล้ว
ซย่านีเอ่ยขึ้น “รีบลุกขึ้นเร็ว ปลุกน้องชายของลูกด้วย วันนี้พวกเราจะไม่กินข้าวที่บ้าน แต่จะออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน”
เด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งตื่นนอนยังคงมีสีหน้าง่วงงุนอยู่จางๆ จากนั้นเธอก็หันไปเขย่าตัวซ่งตงซวี่ “นี่ ตื่นได้แล้ว!”
อีกด้านหนึ่งซย่านีก็ก้มลงหยิบกระติกน้ำร้อนเพื่อชงนมให้ทารกน้อย
ซ่งซิงเหอกำลังหลับใหล พอััได้ว่ามีจุกนมมาจ่ออยู่ที่ปาก เขาก็งับจุกนมเข้าปาก แล้วเริ่มดูดนมเองตามธรรมชาติ เปลือกตาของเขายังปิดอยู่ แต่ปากของเขาก็ยังดูดนมเสียงดังจนหมดขวด
จากนั้นซย่านีก็อุ้มเขาขึ้นมาเพื่อปัสสาวะ เด็กน้อยกำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา พอปัสสาวะเสร็จไม่นาน เด็กน้อยก็ผล็อยหลับต่อ
ส่วนซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ก็แต่งตัวเสร็จพอดี
ซย่านีกวักมือเรียกซ่งวั่งซูให้เดินมาหาตน จากนั้นเธอก็หยิบหวีกับยางรัดผมขึ้นมาเพื่อถักเปียให้ลูกสาว
แม้ว่าซย่านีจะหน้าตาไม่ดี แต่ลูกสาวของเธอกลับเกิดมาหน้าตาสะสวย ใบหน้ารูปไข่ในวัยเท่านี้ยังดูมีน้ำมีนวล ั์ตาสีดำขลับกระจ่างใส จมูกเล็กดูประณีตแถมยังมีสันโด่ง...แต่ว่าสาวน้อยตรงหน้าเธอตัวผอมไปนิด ถ้าอ้วนขึ้นอีกหน่อยจะต้องดูดีขึ้นอย่างแน่นอน
ลูกสาวของเธอหน้าตางดงามขนาดนี้ ถ้าไม่แต่งตัวสักหน่อยก็คงเสียเปล่าแล้ว ทว่าซย่านีหันไปมองที่ลิ้นชักกลับไม่เจอเครื่องประดับใส่ผมสักชิ้น มีเพียงหนังยางรัดผมธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
โชคดีที่เธอมือไม้คล่องแคล่ว เพียงไม่นานก็ถักเปียสองเส้นที่ดูน่ารักสดใสให้กับซ่งวั่งซูได้สำเร็จ
“ดูสิ เป็ไงน่ารักไหมจ๊ะ?” ซย่านียื่นกระจกให้ซ่งวั่งซูส่องดู
ซ่งวั่งซูจ้องมองตัวเองในกระจกอย่างเหม่อลอย เธอไม่เคยเห็นทรงผมน่ารักขนาดนี้มาก่อนเลย! จากนั้นเธอก็หันกลับไปมองซย่านีด้วยสายตาประหลาดใจ “สวยมากเลยค่ะ! แม่คะ แม่ทำทรงนี้เป็ได้ยังไงกัน?”
ซย่านียิ้มเบาๆ พลางเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะลดสายตาลงแล้วมองตนเองในกระจก
ในกระจกนั้นสะท้อนภาพของหญิงสาวที่มีใบหน้าผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่โครง
เบ้าตาโบ๋ชัด โหนกแก้มยื่นออกมา คิ้วบางจนแทบมองไม่เห็น ิัทั้งคล้ำทั้งหยาบกร้าน...เธอเพิ่งจะอายุแค่ยี่สิบหกเท่านั้น แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูอิดโรย ทำให้เธอดูเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ
อันที่จริงหากลองเพ่งพินิจใบหน้าของเธออย่างละเอียดล่ะก็ จะพบว่าเครื่องหน้าของเธอนั้นไม่ได้แย่เลย และเธอยังมีดวงตากลมโตแถมยังมีตาสองชั้นอีก ส่วนจมูกก็โด่งเป็สัน เธอจำได้ว่าในชาติก่อนเคยมีคนพูดกับเธอว่า แค่เธออ้วนขึ้นอีกนิด ขาวขึ้นอีกหน่อย แล้วเสริมเติมแต่งเครื่องสำอางบ้างเล็กน้อย จะต้องเป็คนสวยคนหนึ่งแน่ๆ
พวกเขาต่างก็บอกว่าไม่มีหรอกผู้หญิงขี้เหร่ จะมีก็แต่ผู้หญิงี้เีเท่านั้น หากชาตินี้เธอดูแลตัวเองดีๆ ไม่แน่ว่า เธออาจจะเจอกับปาฏิหาริย์ก็ได้นะ?
อย่างไรเสีย เธอก็เป็ถึงแม่แท้ๆ เป็ผู้ให้กำเนิดสาวงามตัวน้อยอย่างซ่งวั่งซูเชียวนะ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้