น่าแปลกที่ผู้คนรอบข้างไม่แปลกใจกับสถานการณ์นี้
อี้จื่ออีโน้มตัวมาที่ข้างหูเขาก่อนยิ้ม “นี่คือเ้าสำนักลู่แห่งสำนักป้าเทียนบนดอยฉีหนานในสี่ขุนเขาเจ็ดดอย…พวกเขายังมีชื่อเสียงในด้านการอัญเชิญ... แน่นอนว่าสิ่งที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่าก็คือ...ความไร้ยางอาย”
หลินอวิ๋นระบายยิ้มหลังได้ยิน
อี้จื่ออีกล่าว “สำนักของพวกเขาใกล้กับจงหลีซานมากที่สุด ส่วนจงหลีซาน...ข้าไม่รู้จะพูดว่าพวกเขาเป็ศัตรูหรือผู้ไล่ตาม หากจงหลีซานทำอะไร พวกเขาจะทำตามด้วยกำลังทั้งหมดที่มี...หากทำไม่ได้ก็จะระงับความขี้โม้คุยโวไป...”
หลินอวิ๋นปิดปาก พยายามกลั้นยิ้มสุดชีวิต
อี้จื่ออีส่ายศีรษะเล็กน้อยยามแสดงความคิดเห็น “นับเป็ดอกไม้พิสดารท่ามกลางสี่ขุนเขาเจ็ดดอย”
ดอกไม้พิสดารช่างหยิ่งยโสอย่างไม่รู้สึกรู้สา ถามคนผู้นั้นที่อัญเชิญมายังค่ายกล “ผู้ที่อัญเชิญมาเป็ผู้ใด? บอกนามของเ้ามาสิ”
“แค่กๆๆ...” คนรอบข้างต่างทนไม่ได้จึงส่งเสียงไอปลอมๆ ออกมา
ท้ายที่สุดแล้ว โลกมนุษย์กับปรโลกล้วนแล้วแต่เป็ ‘โลกเบื้องล่าง’ ที่เรียกรวมกันว่า์ เมื่อตายไป มนุษย์ย่อมกลายเป็ผี และผีจะไปสู่ยมโลก ไม่มีเหตุผลใดที่คนเป็มีเกียรติมากกว่าคนตาย ดังนั้นเมื่อผู้บำเพ็ญทุกคนในโลกมนุษย์อัญเชิญผีหรือเทพ โดยสถานการณ์ปกติจะต้องสุภาพ หนึ่งเรียกว่า ‘เซียนซือ’ และอีกหนึ่งเรียกว่า ‘เซียนจวิน’ การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเป็สิ่งที่ดีสำหรับสองฝ่าย...เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าสถานะของตนสูงส่งกว่าอีกฝ่ายมากโข จึงรังเกียจที่จะปฏิบัติตามมารยาทเช่นนี้
หลังจากหลินอวิ๋นคิดว่าิญญาที่อัญเชิญมาโกรธจัด รอโอกาสที่จะสร้างปัญหา ร่างกำยำในเงาดำผู้นั้นกลับแนะนำตนด้วยความเคารพ “ภายใต้บังคับบัญชาของเป่าซู่เจาเฉิงเจินจวินแห่งปรโลก นามซั่วเจิน”
ทันทีที่ถ้อยคำถูกกล่าวออกมา ในที่แห่งนั้นพลันเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ หลังจากตกตะลึงไปนานกลับมีใครบางคนพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “เขาพูดว่า...ใครนะ?”
ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็เป็ชาวสำนักเต๋า นามของาาเปี้ยนเฉิงแห่งวังที่หกในสิบยมราชยังคงดังราวกับฟ้าฟาดเข้าที่หู ไม่มีใครไม่รู้จัก การอัญเชิญจากสิ่งของเช่นนี้ กลับกลายเป็ขุนนางผีที่รู้จักกันดีภายใต้สิบยมราชได้จริงเชียว!
เ้าสำนักป้าเทียนดูเหมือนจะคาดหวังถึง่เวลาแห่งความเงียบงันนี้ เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ในเมื่อท่านตอบรับการอัญเชิญ ขอบังอาจถามใต้เท้า ท่านอาจทราบว่าผีตนนี้มาจากแห่งหนใด?” เขาชี้ให้ซั่วเจินมองิญญาร้ายที่ถูกคนของไป๋เจ๋อจวินหาหนทางกักขังไว้
หลังจากซั่วเจินมองอย่างละเอียดกลับรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นหลับตาแล้วบีบนิ้วเป็เวลานาน ก่อนลืมตาขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกัดฟันมองิญญาร้ายตนนั้น “ไม่ผิดแน่! ผีตนนี้อาศัยอยู่ในเมืองอี้หลีแห่งปรโลก!”
ทุกคนเงียบงันจนไม่อาจเงียบสงัดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว มีเพียงเ้าสำนักป้าเทียนกล่าวด้วยความใ “แท้จริงแล้วเป็เช่นนี้หรือ?! เช่นนี้เครื่องหมายทั้งหมดบนร่างของผีตนนี้ย่อมเป็ของจริง...”
“เอ่อ...” หลินอวิ๋นกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ ส่งเสียงขัดจังหวะแค่เพียงครึ่งคำ จากนั้นจึงกลั้นเอาไว้ ด้วยฐานะผู้ฝึกฝนธรรมดาในชนบท อีกฝ่ายเป็ถึงเ้าสำนักที่มี ‘มีอำนาจสูงส่ง’... ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงตาของตนที่จะวิจารณ์ อย่างไรก็ตาม หนีรั่วหลีซึ่งมีใบหน้ามืดมด หนีอิ๋นเสวี่ยผู้ซึ่งสั่นสะท้านจนเงียบไป และไป๋เจ๋อจวินซึ่งมีสีหน้ายากที่จะแยกแยะกลับค่อยๆ มองมาที่เขา
ไป๋เจ๋อจวินยิ้มให้เขาอย่างใจดี “คุณชายหลิน...” หลินอวิ๋นยืดหลังในทันที ใช้เวลานานก่อนที่จะชี้ที่ปลายจมูกตนเองอย่างไม่มั่นใจ แล้วมองตรงไปที่ไป๋เจ๋อจวินราวกับยืนยันว่ากำลังคุยกับเขา ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “คุณชายหลินมีอะไรจะพูด เชิญ”
ภายใต้สายตาของผู้คนนับร้อย หลินอวิ๋นลูบจมูกของตนเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความลำบากใจนัก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ตามข่าวลือที่ว่าฉิงชางจวินไม่ได้หายตัวไปเมื่อสองร้อยปีก่อน หากแต่อยู่ที่บ้านเกิดของเขามากว่าร้อยปี...นี่ดูเหมือนจะขัดกับคำที่ว่า ‘สาบสูญไร้ร่องรอย’ ไปหน่อยหรือไม่? หากเขากลับมายังโลกจะโง่เขลาวิ่งกลับบ้านเกิดรอให้ศัตรูมาจับหรือ?”
เ้าสำนักป้าเทียนตกตะลึง ทุกคนยังคงนิ่งเงียบพลางเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนเสียงหัวเราะจะดังมาจากทางด้านไป๋เจ๋อจวิน ส่วนสวี่ฮ่วนเจ๋อปิดปากหัวเราะจนตัวสั่น หนีอิ๋นเสวี่ยเองก็กลอกตา กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ละครปาหี่ที่แม่น้ำและทะเลสาบ”
เ้าสำนักป้าเทียนจ้องมองเขา “เ้าพูดว่าอะไรนะ?!”
เดิมทีเป็ผู้น้อยอย่างอิ๋นเสวี่ย อีกฝ่ายเป็เ้าสำนักที่แก่กว่าไม่น้อย คำพูดนี้ค่อนข้างหยาบคายนัก แต่คราวนี้หนีรั่วหลีซึ่งเป็ศิษย์พี่กลับไม่ได้ห้ามแต่ก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าดูเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มมองไปที่เ้าสำนักป้าเทียนพร้อมกล่าว “เ้าสำนักลู่ต้องคิดให้ชัดเจนในใจ”
เ้าสำนักลู่แห่งสำนักป้าเทียนเอ่ย “เ้า! อาศัยอะไรถึงพูดเช่นนี้?”
ชาวสำนักเต๋าที่เหลือในสนามยังคงอยู่ในเมฆหมอก ไป๋เจ๋อจวินกระแอมไอเบาๆ แล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “เ้าสำนักลู่...”
เ้าสำนักลู่ระงับโทสะ รีบหันไปมองและพยักหน้าด้วยความเคารพ “ไป๋เจ๋อจวิน”
ไป๋เจ๋อจวินดูอึดอัดใจเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบสิ่งที่คล้ายลูกปัดมุกแก้วสีดำออกมาจากแขนเสื้อ “สิ่งนี้ เรียกว่ามุกเสวียนหลิง”
เ้าสำนักลู่ “เอ่อ...อืม” แล้วอย่างไรเล่า?
“หากสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์แปลงกายเป็มนุษย์ ยามเข้าใกล้มุกนี้จะมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันและความลึกล้ำของพลัง” ไป๋เจ๋อจวินหมุนลูกปัดมุกแก้วในมือเบาๆ แล้วนำมันเข้าไปใกล้ทิศทางของซั่วเจินที่อัญเชิญมาโดยเ้าสำนักลู่ หลังจากนั้นมุกสว่างขึ้น มีแสงจางๆ ออกมา
เ้าสำนักลู่กลืนน้ำลาย ใบหน้าดูงุนงงเล็กน้อย
ไป๋เจ๋อจวินถอนหายใจ เกรงว่าจะไม่สามารถอธิบายให้อีกฝ่ายอย่างชัดเจนได้โดยง่าย เขาจึงนำมุกเสวียนหลิงเข้าไปใกล้กับิญญาร้ายต้องสงสัยซึ่งถูกขังไว้ตนนั้น และแล้วมุกก็ส่องแสงสีขาวเจิดจ้าในทันที
ฉับพลัน เ้าสำนักลู่กลับหน้าแดงภายใต้แสงสีขาวเจิดจ้า
ผู้คนกว่าร้อยคนจากสำนักเต๋ายังคงนิ่งเงียบ ตกตะลึงตลอดทั้งคืน หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เสียงหัวเราะจึงดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เ้าสำนักลู่มีเหงื่อเย็นไหลออกมา รู้สึกจนมุมเป็อย่างยิ่ง หลังจากยึดมั่นอยู่พักหนึ่งเขาทนไม่ไหว พาลูกศิษย์หนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน แม้แต่ขุนนางผีในค่ายกลก็สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างไม่เหลือร่องรอย
เื่น่าขบขันจบลง ชาวสำนักเต๋าครึกครื้นกันเป็เวลานาน พวกเขาค่อยๆ หุบยิ้มกลับสู่ความสงบ
จนกระทั่งรุ่งเช้ายังไม่มีความคืบหน้าอยู่ดี ่ที่ไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ ไปหารือเกี่ยวกับนโยบายต่อไป หลินอวิ๋นขวางอี้จื่ออีที่กำลังจะจากไป
“คุณชายอี้ ข้ามีเื่รบกวนท่านบางอย่าง รบกวนช่วยข้าดูแลไป้เอ๋อร์สองสามวันอีกครา ข้า ข้ามีธุระบางอย่างจำเป็ต้องจากไปหนึ่งวัน...”
“นักพรตหลิน ท่านจะไปที่ใด?”
หลินอวิ๋นยิ้ม “นับว่าเป็...ทำธุระส่วนตัว”
อี้จื่ออีจึงไม่ถามต่อ
.............................
มีแสงสว่างวาบของิญญา ร่างของหลินอวิ๋นปรากฏขึ้นบนถนนที่ห่างไกลและรกร้างของเมืองจิ่นโจว ทันทีที่ปรากฏตัว เขาถอนหายใจแล้วพึมพำกับตนเอง “เคล็ดวิชาระดับสูง วิชาเคลื่อนย้าย...ดูเหมือนว่าควรใช้เท่าที่จำเป็”
เคล็ดวิชาระดับสูงใช้พลังทางจิติญญาจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นโซ่วหลิงกับจิ่นโจวอยู่ห่างกันพันลี้ การเคลื่อนย้ายพันลี้เช่นนี้เกือบทำให้พลังิญญาของหลินอวิ๋นหมดไป หากเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับไป้เอ๋อร์ จำเป็ต้องเร่งรีบ เขาคงไม่ตัดสินใจเช่นนี้
โดยปกติแล้วจิ่นโจวนั้นเทียบไม่ได้กับโซ่วหลิงอันเป็พระนคร เมืองนี้เล็กกว่ามากนักและมีคนน้อย เมื่อเห็นว่าฟ้ายังไม่มืด ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะทําสิ่งต่างๆ ในเวลานี้ เขาเพียงเดินอย่างสบายใจไปตามทาง หลังจากนั้นไปดูหน้าร้านของร้านค้าฝั่งตะวันออกและตะวันตก ไม่ลืมที่จะซื้อขนมขึ้นชื่อของท้องถิ่น จากนั้นชิมเองสักหน่อย ที่เหลือสอดเข้าไว้ในแขนเสื้อเพื่อนำกลับไปให้ศิษย์น้อยของตน หลังจากฟ้ามืด จึงขัดขวางผู้คนที่สัญจรไปมาแล้วถาม “ขออภัย ขอถามสักหน่อย...ศาลเ้าที่ใกล้ที่สุดไปอย่างไร?”
ผู้คนสัญจรชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เขามองเห็นว่าศาลเ้าตั้งอยู่ติดกับถนนที่ไม่ห่างไกลจนเกินไป มีผู้คนผ่านไปเป็ครั้งคราว เมื่อดูจากธูปนับว่าเจริญรุ่งเรือง
หลินอวิ๋นถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่า่เวลานี้ยังคงไม่เหมาะสม
เขาถือโอกาสที่ไม่มีใครสนใจะโขึ้นไปนั่งบนต้นหลิวต้นใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากศาลเ้า ขณะที่กำลังแกว่งเท้า ทันในนั้นกลับนึกอะไรได้จึงส่งเสียง “อา” รีบะโลงมาอีก ขณะที่รีบออกไปยังสถานที่ปลอดคน เขาจับดาบที่เอวเล่มนั้นอย่างแ่า
เมื่อเลี้ยวไปมุมถนน เขาหยิบดาบเหล็กสีนิลออกมา จากนั้นยกขึ้นในอากาศแล้วพูดกับมัน “เกือบลืมไปแล้ว... สถานที่ที่ข้าจะไปไม่เหมาะกับเ้าในยามนี้...ทําให้ท่านผู้เฒ่าน้อยเนื้อต่ำใจต้องอยู่คนเดียวไปก่อน วางใจเถิด...ข้าจะพาเ้าไปหาสถานที่ที่ดี สระน้ำใสหอมหวานไร้ก้นบึ้ง!!! เช่นนั้นเ้ากับเพื่อนของเ้าก็สามารถเล่นได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวข้าทำธุระเสร็จจะกลับมาหาเ้าอีกครั้ง เชื่อฟังด้วยล่ะ...”
ก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะสั่นไหว เขาโยนมันอย่างสบายๆ ดาบเหล็กสีนิลเล่มนั้นส่งเสียงดัง ‘ตุบ’แล้วตกลงไปในสระซึ่งเต็มไปด้วยเต่าตะพาบที่ถูกปล่อยโดยผู้ศรัทธา ดาบเหล็กสีนิลจมลงสู่ก้นบึ้งอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย ทําให้เต่าตะพาบในสระเกิดความโกลาหล
ด้านหลังของศาลเ้าแห่งนั้นเป็วัดจินเชวียเทียนจวิน เทพที่ประดิษฐานอยู่ในนั้นคือเสวียนชางเทียนจวินแห่งวังจินเชวียผู้นั้น สูงส่งที่สุดในสามโลก และยังเป็เทพเ้าแห่งสายเืิญญาที่บริสุทธิ์ในเผ่าเทพาเพียงองค์เดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
หลินอวิ๋นมองไปที่วัดอันงดงามอย่างเงียบงัน
เขาถอนหายใจเป็เวลานาน รอจนกว่าเวลาใกล้จะหมดจึงเดินกลับไปที่หน้าศาลเ้าเล็กๆ ที่เดิมซึ่งเคยเห็นก่อนหน้านี้
เมื่อกางเขตอาคม เฝ้ารอให้เขตอาคมกางเรียบร้อย เขากระแอมออกมาพลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยดี แม้ว่าจะดูธรรมดาแต่ก็พอใช้ได้ หลังจากทุกอย่างพร้อม เขากระทืบเท้าลงบนพื้นก่อนะโเสียงดัง “ปฐี! ปฐี...”
ในไม่ช้า แสงสว่างวาบกะพริบที่หน้าศาลเ้าเล็ก ชายชราตัวเตี้ยผู้มีเคราขาวแต่งกายด้วยอาภรณ์มุกหรูหราก็ปรากฏ
หลินอวิ๋นยิ้มแล้วพูดในใจ ‘ไม่เสียทีที่เป็ผืนดินหน้าวัดเทียนจวินจริงเชียว ธูปที่นี่มากมายนัก แม้แต่เซียนปฐียังไม่ต้องกังวลเื่เงินทอง!’
ผู้เฒ่าปฐียืดเอว ขยี้ตา แล้วหันไปถามคนที่มา “ผู้ใดเรียกข้า?” เขาพูดจบกลับถูกแสงรัศมีบาดตาจนเกือบตาบอด หลังจากเห็นหลินอวิ๋นก็ตกตะลึงไปทันทีก่อนหมอบลงกับพื้น “ไม่ทราบว่าเป็เซียนจวินจากแห่งใด ชายชราตอบรับบกพร่องเสียแล้ว...ขอเซียนจวินโปรดให้อภัย เซียนจวินโปรดให้อภัยเถิด!”
หลินอวิ๋นมีความรู้สึกบางอย่างผสมปนเปอยู่ในใจพักหนึ่ง ทั้งดีใจ ประหลาดใจและทุกข์ใจ อย่างไรก็ตาม เวลานี้เขาทำได้เพียงระงับอารมณ์อันซับซ้อน ส่งยิ้มให้ผู้เฒ่า “ไม่จำเป็ต้องสุภาพ...ข้าน้อยมาในวันนี้ อันที่จริงกลับมีเื่ต้องรบกวนผู้เฒ่า”
ผู้เฒ่าปฐีไม่กล้าลุกขึ้น รีบตอบกลับ “เซียนจวินนั้นสุภาพ เซียนจวินนั้นสุภาพเกินไปแล้ว! ท่านรับสั่งมาได้ทุกเมื่อ”
หลินอวิ๋นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งยองลงไป จากนั้นหยิบเศษกระดาษออกมาจากอกของตน ยื่นให้เขา “ในเมื่อท่านคือปฐีของที่แห่งนี้ คิดว่าท่านต้องรู้ชะตากรรมของมนุษย์ที่นี่ใช่หรือไม่? ปาจื้อ1 นี้ เป็คนทางตอนล่างของแม่น้ำในจิ่นโจว...แม้ว่าข้าจะคำนวณชะตากรรมของเขาได้คร่าวๆ แต่ท้ายที่สุดยังต้องขอให้ท่านช่วยยืนยันสักหน่อย...ท่านดูสิ...”
แม้ว่าโชคชะตาของมนุษย์จะเป็ของ์ แต่อีกฝ่ายมาจากแดน์ เมื่อเห็นว่ารัศมีเซียนที่ปกป้องร่างกายนั้นแข็งแกร่งยิ่ง จึงเทียบไม่ได้กับเซียนทั่วไป ผู้เฒ่ารับมาด้วยความเคารพ ไม่กล้าปัดออกเพียงสักส่วน ทว่าหลังเขาดูปาจื้อบนกระดาษ กลับตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา “เอ๋?!!”
หลินอวิ๋นรีบถาม “เป็อย่างไร? ปาจื้อนี้มีอะไรไม่เหมาะสมตรงไหนหรือไม่? หรือผู้เฒ่าปฐีมีถ้อยคำที่ยากจะพูด?”
ผู้เฒ่าปฐีมองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน หลังจากพิจารณาคำพูดของเขาเป็เวลานานจึงถามอย่างระมัดระวัง “เซียนจวิน...ไม่ได้มาจาก์หรอกหรือ?”
ถูกเปิดโปงอย่างนั้นหรือ?! หลินอวิ๋นรู้สึกว่าการหายใจของเขาติดขัดอยู่พักหนึ่ง
------------------------
[1] ปาจื้อ หมายถึง การดูดวงแบบจีน โดยใช้ตัวอักษรแทนสัญลักษณ์วันเดือนปีเกิด