เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่และถามว่า “เสื้อผ้าชุดนี้ของข้าเป็เช่นไรบ้าง?”
อั้นเอ้อร์ไม่เข้าใจนักแต่ก็ตอบไปตามตรง “เหมาะสมกับนายท่านมากพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูจื่อเยี่ย้าถามเขาว่า ชุดนี้ช่วยขับให้เขาดูหล่อเหลามีเสน่ห์มากขึ้นหรือไม่?
แต่เมื่อคำพูดหยุดอยู่ที่ปาก จึงหยิบเกี๊ยวอีกหนึ่งชิ้นกินเข้าไป
ช่างเถิด พวกองครักษ์สายลับฝึกฝนแต่การเข่นฆ่า ถามพวกเขาไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี!
“ไปกันเถิด เราไปโรงเตี๊ยมกัน”
ขณะนี้หลิวเต้าเซียงเดินออกมาจากบ้านกัวซิวฝานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
กัวซิวฝานได้ยินว่าหลิวซานกุ้ยยังคงมีงานยุ่งอีกนานกว่าครึ่งเดือน จึงหยิบตำรา ‘มหาวิทยาลัย’ ที่เขาเขียนออกมาและขอให้หลิวเต้าเซียงช่วยนำไปให้หลิวซานกุ้ย
เขาบอกหลิวเต้าเซียงซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ถึงแม้หลิวซานกุ้ยจะยุ่งเพียงใดแต่ก็อย่าลืมการเล่าเรียน ให้เขาอ่านทบทวนตำราทุกคืน
การอ่านทบทวนมักได้ความรู้ใหม่ๆ เสมอ
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่ากัวซิวฝานคืออาจารย์ที่ดี
นางเดินไปที่โรงเตี๊ยมอย่างร่าเริง จำได้ว่าหมอจ้าวที่ซูจื่อเยี่ยพามาก็พักอยู่ที่นี่
เป็ไปตามคาด ครั้งนี้นางดวงดี ขณะที่เข้าไปในโรงเตี๊ยมก็เจอกับหมอหลวงจ้าวที่กำลังแบกกล่องยาจะออกไปข้างนอกพอดี
หมอหลวงจ้าวเห็นหลิวเต้าเซียงนานแล้ว เขาจงใจเลือกตำแหน่งชั้นสองของโรงเตี๊ยมฟู่กุ้ยเพื่อเฝ้าดู หากว่าหลิวเต้าเซียงยังไม่มา ท้องของเขาคงอิ่มน้ำชาจนอาจจะแตกได้
การแสร้งบังเอิญเจอนั้นยากเย็นเหลือเกิน!
“คุณหนูรองหลิว!” เขามองดูหลิวเต้าเซียงที่ยังคงเหลียวซ้ายแลขวา ส่งรอยยิ้มที่เป็มิตรออกมาแล้วโบกมือทักทาย
หลิวเต้าเซียงมองหาต้นเสียง “ท่านหมอ ท่านนี่เอง บังเอิญยิ่งนัก ข้ามาหาท่านพอดี”
นางได้บอกกล่าวความตั้งใจ จากนั้นหมอหลวงจ้าวก็เชิญเข้าไปที่พักของตน
หลิวเต้าเซียงจึงหยิบเกี๊ยวออกมาหนึ่งจาน “นี่เป็อาหารบ้านๆ ที่แม่ข้าทำ ตั้งใจส่งมาให้ท่านหมอได้ลิ้มรส”
“เกี๊ยว?” หมอหลวงจ้าวมีดวงตาเป็ประกาย ั้แ่เขาติดตามคุณชายซูจื่อเยี่ยมายังแดนใต้ ก็ไม่ได้กินเกี๊ยวที่อร่อยมานานแล้ว
ไม่รู้เป็เช่นไร เวลาที่กินเข้าไปก็มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปสักอย่าง
“อืม ไส้ดอกหยางไหว” หลิวเต้าเซียงยิ้มตาพริ้ม
หมอหลวงจ้าวลูบเคราและเอ่ย “คิดไม่ถึงว่า ฮูหยินหลิวสามช่างเป็คนที่มีสง่า”
เขาพินิจอยู่ไม่นานก่อนจะยื่นมือไปหยิบเกี๊ยวใส่เข้าปากหนึ่งชิ้น โดยไม่ลืมว่าซูจื่อเยี่ยบอกให้เขาต้องนําเกี๊ยวกลับไปด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาไปกี่ชิ้น
หมอหลวงจ้าวกินไปสามชิ้น และกินไม่ลงอีก
เขารู้อยู่แล้วว่าบรรพบุรุษตัวน้อยเชิญไปกินอาหาร อีกทั้งยังบอกให้เขาสั่งอย่างเต็มที่ คงไม่ได้หวังดีนัก
ตามคาด ไม่มีอาหารที่ได้มาโดยเปล่าๆ ในโลก
นี่ปะไร เกี๊ยวที่เขาได้มาอย่างยากเย็นก็รักษาไว้ไม่ได้
“เกี๊ยวดีมาก ข้าเพิ่งกินอาหารเช้า เดี๋ยวเก็บไว้ให้เสี่ยวเอ้อร์นำไปอุ่นให้ข้าตอนเที่ยง”
หลิวเต้าเซียงได้ยินคนชมฝีมือของมารดา จึงพยักหน้ารับอย่างระรื่น
“ใช่สิ ท่านหมอจ้าว ข้าขอสอบถามเื่หนึ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าคุณชายซูอยู่ที่ใด?”
หมอหลวงจ้าวคิดในใจ แม่สาวน้อย ข้ารอเ้ามานาน ในที่สุดก็ถามเสียที
“เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แต่พักอยู่ที่บ้านที่ไม่ไกลออกไปจากตำบล”
“แล้วจะทำอย่างไร? ข้ายังต้องส่งเกี๊ยวดอกหยางไหวให้เขาได้กินแบบสดใหม่ด้วย!” หลิวเต้าเซียงคิดๆ แล้วจึงเอ่ยอีก “ท่านหมอ ในเมื่อท่านรู้จักสถานที่แห่งนั้น แสดงว่าไปบ่อยครั้ง ช่วยข้าสักครั้งได้หรือไม่ ช่วยข้านำเกี๊ยวนี้ไปให้เขา”
หมอหลวงจ้าวไม่กล้าคิดแทนบรรพบุรุษตัวน้อยท่านนั้น จึงเอ่ย “ข้าได้นัดสหายที่อาศัยอยู่ในชิงโจว ไม่นานเขาก็จะมาแล้ว ไม่ได้เจอกันหลายปี ข้าอยากพูดคุยแบ่งปันเื่การแพทย์กับเขาสักหน่อย”
หลิวเต้าเซียงกังวลว่าจะทำอย่างไรดี บ้านนั้นเป็บ้านลักษณะไหน อยู่ที่แห่งใด นางก็ไม่รู้
“คุณหนูรองหลิว หรือไม่อย่างนั้น ข้าจะให้ลูกศิษย์ส่งเ้าไป”
หลิวเต้าเซียงย่อมเต็มใจอยู่แล้ว
สุดท้ายจิ้นเซี่ยวก็ไม่ได้ไปที่ปากทางตำบล ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะไปรับแม่สาวน้อยหลิวเต้าเซียง
ขณะนี้เขากำลังปรนนิบัติเ้านายอย่างยากลำบาก
จิ้นเซี่ยวมองไปที่เสื้อผ้า เข็มขัด หัวเข็มขัดหยก จี้หยกต่างๆ รวมถึงรองเท้าที่เปลี่ยนไปหลายสิบคู่ เขาใกล้จะร้องไห้ออกมา รู้สึกว่าเ้านายตนเองกับคำว่าบ้านั้นอยู่ไม่ห่างกันแล้ว
ส่วนซูจื่อเยี่ยกำลังยืนลังเลอยู่ ตนเองต้องแต่งกายอย่างไรเพื่อไปเจอแม่สาวน้อยที่ไร้หัวใจดี
ยามที่เขานึกถึงหลิวเต้าเซียงก็เต็มไปด้วยพลังชีวิต กระทั่งรับรู้ได้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นช่างดีเหลือเกิน
คำแนะนำของจิ้นเซี่ยวนั้นมีส่วนดี แต่ก็ยังไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเขาตอนนี้ได้
เมื่อใดก็ตามที่เขาใช้สายตาสะกิด จิ้นเซี่ยวก็มักจะกล่าวคำชมเชยอีกครั้ง ทั้งแยกคำบ้างล่ะ ซ้อนคำบ้างล่ะ กลับหัวท้ายและพูดสลับไปมาอยู่อย่างนั้น…
ทั้งที่บทกลอนพูดชมเชยในหัวก็ไม่ได้มีมากมาย แต่เขากลับพูดออกมาได้แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ซูจื่อเยี่ยก็ยังไม่พอใจนัก!
ในขณะนี้ เสียงของเกาจิ่วเหมือนเสียง์ที่ช่วยจิ้นเซี่ยวออกมาจากขุมนรกที่แผดเผา
เกาจิ่ว เ้าเป็ญาติของข้า!
ทันทีที่เกาจิ่วเข้ามา ก็เผชิญกับสายตาที่ซาบซึ้งท่วมท้นของจิ้นเซี่ยว
หัวใจของเขากระตุกและร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ข้าหัวหงอกหมดแล้ว สายตาของเ้าบ้าจิ้นเซี่ยวนี่มันอะไรกัน เร่าร้อนเกินไปแล้ว!
เกาจิ่วกระแอมไอขึ้นมาก่อน “นายท่าน หมอหลวงจ้าวให้คนมาส่งข่าว บอกว่าคุณหนูรองหลิวกำลังมุ่งหน้าสู่เรือนรับรอง”
เมื่อพูดจบ เขาก็แอบใช้สายตากวาดมองจิ้นเซี่ยว ปลายนิ้วจับแขนเสื้อเล็กน้อย เสื้อผ้าชุดนี้มารดาของเขาเย็บให้กับมือ คงดูเข้ารูปสินะ!
ซูจื่อเยี่ยได้ฟังก็พยักหน้า แล้วหยิบชุดสีหญ้าเขียวมาถาม “ชุดนี้ข้าใส่แล้วเป็อย่างไร?”
เกาจิ่วเหลือบมองเสื้อผ้าที่ถูกโยนทิ้งก่อนหน้านี้ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดสายตาของจิ้นเซี่ยวถึงได้เร่าร้อนเพียงนั้น
“นายท่าน กระหม่อมคิดว่านายท่านสวมชุดสีแดงแซมด้านสีทองกำลังเหมาะ”
“เพราะเหตุใด?” ซูจื่อเยี่ยคิดไม่ถึงว่าเกาจิ่วกลับชอบตัวสีแดง
เกาจิ่วไตร่ตรองสักพักและบอกกับเขา นายท่านยังอยู่ในวัยหนุ่ม เป็วัยที่กำลังรุ่งโรจน์ การสวมสีแดงนับว่าดูดีอย่างยิ่ง
แล้วยังกล่าวว่า หญิงเขียวชายแดง อีกทั้งคนรับใช้ยังบอกมาว่า วันนี้หลิวเต้าเซียงสวมชุดอ๋าวสีถั่วเขียวพอดี
คําพูดเหล่านี้สอดคล้องกับความคิดของซูจื่อเยี่ย
หลังจากแต่งกายเรียบร้อย ผมกลัดด้วยผ้าผูกสีขาวประดับหยก สวมชุดสีแดงมีลวดลายตรงขอบ รัดเอวด้วยเข็มขัดหนาลายเมฆสีดำสลับทอง และห้อยเอวด้วยัแกะสลักทรงกลมหนึ่งคู่
หากไม่มีซึ่งสาเหตุอันใด บุรุษย่อมมีหยกไว้ไม่ห่างกาย
ซูจื่อเยี่ยมีความชื่นชอบหยกเป็พิเศษ จึงมักจะห้อยตรงเอวหนึ่งชิ้นเสมอ
จนกระทั่งมีคนมารายงานว่ารถม้าของหมอหลวงจ้าวได้เข้ามาในบ้านแล้ว เขาจึงส่องกระจกเพื่อจัดเครื่องแต่งกายและทรงผมให้ดีอีกครั้ง
จากนั้นจึงเดินไปเตรียมตัวที่ห้องโถงพร้อมกับจิ้นเซี่ยว แต่ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปเอ่ยกับเกาจิ่ว “กลับไปได้!”
ความหมายคือ วันนี้ไม่มีงานที่ต้องเรียกใช้เกาจิ่วแล้ว
ขณะที่หลิวเต้าเซียงกำลังนั่งดื่มน้ำชารออยู่ในห้องโถง ไม่นานนักเงาร่างชุดสีแดงจากด้านนอกก็เดินเข้ามา
คนที่มานั้นยืนอยู่ในตำแหน่งที่ย้อนแสง ทำให้นางต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย ชุดสีแดงบนตัวเขาดูดีเป็พิเศษ หากจะกล่าวว่าเขานั้นดุจหยกไม้ที่เผชิญกับสายลม มีสง่าราศีและองอาจก็คงไม่เกินไป
“สีชุดนี้เหมาะกับเ้า”
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเผยประกายเป็ระลอก “เ้าสบายดีหรือ?”
“ดีเชียวล่ะ ใช่สิ แม่ข้าทำเกี๊ยวดอกหยางไหวมา ข้าตั้งใจเอามาให้เ้าชิมเลยนะ”
หลิวเต้าเซียงยังคงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่ใช่เพราะเขาคือบุตรแห่งอ๋องแล้วถึงจะทำดีเป็พิเศษ แต่นางยังคงสานสัมพันธ์มิตรภาพนี้ไว้
“โอ้ นี่เป็ครั้งแรกที่ได้เห็น”
ซูจื่อเยี่ยรับจานเล็กมาจากนางแล้วหยิบขึ้นมาชิมหนึ่งชิ้น เขารู้สึกว่ารสชาติหอมจาง ไม่เลี่ยนเกินไป เขาชื่นชอบเกี๊ยวดอกหยางไหวยิ่งนัก
“อาหารบ้านป่า มิอาจเข้าสู่บ้านเรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่า ก็เพียงเพื่อให้เ้าได้ลิ้มรสความอร่อย”
หลิวเต้าเซียงสนิทสนมกับเขา เวลาพูดจาก็มักจะตามใจ นางไม่มีทางเสแสร้ง
ซูจื่อเยี่ยนึกถึงคำพูดของจิ้นเซี่ยวที่เตือนว่า เด็กสาวตรงหน้าหลงใหลในเงินอย่างมาก จึงเอ่ย “ข้ารู้สึกว่ารสชาติไม่เลวทีเดียว ใช่สิ เหตุใดไม่ทำเกี๊ยวดอกหยางไหวมาขายในตำบลเล่า? น่าจะไม่เลว”
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เสียงนั้นดุจกระดิ่งที่ล่องลอยตามสายลม ไพเราะและกังวาน!
สะกิดเข้าที่หัวใจของซูจื่อเยี่ยทีละน้อย และกำลังเคาะอยู่ที่หน้าประตูหัวใจ
เขาอารมณ์ดีโดยไม่มีสาเหตุ แสงตะวันทะลุผ่านหน้าต่างและปกคลุมใบหน้าของเขาอย่างระยิบระยับ ขนตาเข้มของเขากำลังสั่นไหว ความเ็าในแววตาค่อยๆ หายไปและเปลี่ยนเป็อบอุ่น
จิ้นเซี่ยวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ถึงกับใ ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าเหตุใดเ้านายจึงให้ความสำคัญกับแม่สาวน้อยท่านนี้ยิ่งนัก
เพราะหลิวเต้าเซียงมีบางอย่างที่ซูจื่อเยี่ยไม่มี แต่ปรารถนาอยากได้สิ่งนี้
ซูจื่อเยี่ยมองใบหน้าเล็กๆ ของนางที่กำลังยิ้มสดใส ดวงตาฉ่ำวาวยิ่งดูเปล่งประกายสวยงาม จู่ๆ เขาก็อยากจะปกป้องนางไว้ ไม่ให้ความมืดมนมาทำลายรอยยิ้มนี้
“ลองกินขนมไป่เซียงเกา [1] นี่ดู”
หลิวเต้าเซียงที่เดิมทีกำลังยิ้มอยู่ จู่ๆ ก็ถูกเขาเอาขนมใส่ปากโดยไม่ทันตั้งตัว
แก้มที่ป่องออกมา ดวงตาฉ่ำน้ำที่กลมโต พร้อมกับผมที่มัดด้วยด้ายแดงเป็สองจุก มองอย่างไรก็น่าดูน่าชม
จู่ๆ ซูจื่อเยี่ยก็ยื่นหัตถ์มารของตนเองไปบีบแก้มของนาง และรีบดึงมือกลับก่อนที่หลิวเต้าเซียงจะไม่พอใจ
จากนั้นแสร้งทำเป็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นิ้วข้าเปื้อนขนม”
ดังนั้นก็เลยเช็ดใส่หน้านางอย่างนั้นหรือ?!
ช่างเป็ตรรกะผีจริงๆ!
หลิวเต้าเซียงทำปากเชิดและทำเสียงฮึ่ม จากนั้นหันไปอีกทาง สะบัดผมให้เขา
ผู้ชายคนนี้ไม่ควรทำดีด้วยเกินไป
มิฉะนั้นก็จะเหยียบจมูกขึ้นหน้า!
“เอาล่ะ อย่าโกรธสิ เ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าข้อเสนอของข้าเป็อย่างไร?” ขณะที่ซูจื่อเยี่ยเผชิญหน้ากับนาง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดแทนนางเสมอ
“ไม่เป็อย่างไร” หลิวเต้าเซียงเค้นคำพูดออกมาจากไรฟัน
ไม่ได้รู้เลยว่าดอกหยางไหวมีเพียงฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงฤดูใบไม้ผลิ…
ซูจื่อเยี่ยไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร แต่เขาเองก็ไม่อาจเสียหน้าเพื่อถามอีก
จิ้นเซี่ยวนั้นได้ทีออกตัว รีบแสร้งทำเป็ถามหลิวเต้าเซียง “คุณหนูรองได้โปรดบอกกล่าวสาเหตุ นายท่านของข้าเคยกินอาหารรสเลิศมากมาย เขาเองก็อยากช่วยเหลือคุณหนูรอง เพื่อให้ครอบครัวของคุณหนูรองหลิวดีขึ้น”
ตอนนี้ยังเช้าตรู่ แต่หลังจากที่หลิวเต้าเซียงฟังคำพูดของจิ้นเซี่ยวแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนและหงุดหงิด
ทั้งสองชาติของนางรวมกันอายุคงสามสิบกว่า แล้วนางจะเป็จริงเป็จังอะไรกับเด็กหนุ่มสิบกว่าขวบกัน?
ยิ่งมีชีวิตนานเท่าไรก็ยิ่งย้อนวัยเท่านั้น!
“ดอกหยางไหวออกแค่ในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น”
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย คนที่เก้อเขินกลับกลายเป็นายบ่าวคู่นี้แทน
นางจึงเอ่ยต่อ “ช่างเถิด หากข้าไม่บอก เ้าคงจะยังคิดหาวิธี ฉะนั้นข้าจะบอกเ้าก็ได้ ข้าได้ทำหนังสือกับเ้าของโรงเตี๊ยมฟู่กุ้ย ปีนี้ต้องขายไก่สองพันตัวกับไข่ แล้วยังมีหมูอีกสองร้อยตัว เื่เหล่านี้ก็มากเพียงพอสำหรับครอบครัวข้าแล้ว”
เมื่อนึกถึงเนื้อหมูในยุคนี้ ทั้งบริสุทธิ์และไร้สิ่งเจือปน หมูก็กินแต่ธัญญาหาร แล้วยิ่งกว่านั้น เนื้อหมูเวลาทำอาหารก็หอมเป็พิเศษ
-----
เชิงอรรถ
[1] ขนมไป่เซียงเกา 百香糕 คือขนมโบราณที่ทำจากเสาวรส ซึ่งเสาวรสในภาษาจีนคือ ไป่เซียงกั่ว 百香果

