หลินฟู่อินยิ้มอย่างมีนัย “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่ถึงเวลาเ้าจะรู้เอง”
หลินเฟินและหลินฟางมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา พวกนางเชื่อใจหลินฟู่อินอยู่แล้ว และหลินเฟินก็กล่าวว่า “เห็นพ่อแม่พวกข้าพูดถึงถั่วปากอ้าตากแห้งแล้ว ข้าเลยนึกสงสัย หากทำถั่วปากอ้าตากแห้งให้สดได้ เช่นนั้นแล้วถั่วเขียว ถั่วเหลือง พวกนี้ทำไม่ได้หรือ?”
แม้คนพูดจะไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังนั้นคิด หลินฟู่อินตาเป็ประกาย ปรบมือก่อนจะหรี่ตาลงแล้วกล่าว “จริงด้วย ข้าลืมเื่พวกนี้ไปได้ยังไง พี่อาเฟินช่างฉลาดนักเ้าค่ะ!”
อีกทั้งถั่วเขียวและถั่วเหลืองยังสามารถเอาไปทำถั่วงอกต่อได้อีกด้วย!
เมล็ดถั่วเอาไปแช่น้ำเพื่อรักษาความสดได้ และยังงอกออกมาเป็ถั่วงอกได้ในฤดูหนาว เป็ผักที่ดีมากอีกอย่างเลย!
“ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ พี่อาเฟิน พี่อาฟาง สมุนไพรหน้าร้อนและใบไม้ร่วงในเขตหมู่บ้านเราก็ถูกเก็บไปเกือบหมดแล้ว ให้พวกท่านไปตัดอ้ายเฉ่าทิ้งไว้แล้วไม่ต้องเก็บกลับมาเสีย เพื่อรอปีหน้า” หลินฟู่อินครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหลินเฟินหลินฟางด้วยดวงตากระจ่างใส “่ทำไร่เองก็กำลังจะหมดลงแล้ว ผักบางชนิดก็ต้องไปเก็บ เราจะไปเก็บถั่วเขียว ถั่วเหลือง และเมล็ดถั่วอื่นๆ มาไว้ด้วย แต่แค่ห้องเก็บของที่บ้านคงไม่พอ เราต้องขนไปเก็บที่บ้านในเมืองด้วย”
หลินเฟินเห็นหลินฟู่อินเห็นด้วยกับความคิดของนางแล้วก็ยังมึนงงอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น หลินฟู่อินจึงยิ้มออกมา
“แต่เก็บเยอะขนาดนั้น หากเราขาดทุนขึ้นมาในอนาคตเล่า?” หลินฟางนิ่วหน้า เอ่ยถามอย่างเป็กังวล
หลินฟู่อินโบกมือ “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เรามีเส้นสายที่แน่นแฟ้นกับภัตตาคารหลิวจี้แล้ว ซึ่งร้านอาหารต่างก็อยากทำอาหารที่สดใหม่ เพราะมันจะช่วยให้พ่อครัวของพวกเขามีอำนาจมากขึ้น ทั้งอาหารก็จะหรูหราขึ้นอีก หากไร้ข้าว ไร้อาหารสดแล้ว วัตถุดิบอื่นก็ไร้ค่า และหากข้าหาวัตถุดิบนอกฤดูกาลไปให้พวกเขาได้ พวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยไปแน่!
และอีกเื่ที่หลินฟู่อินไม่ได้บอก ก็คือเพราะแคว้นต้าเว่ยไม่ได้ให้ความสนใจกับถั่วมากนัก อย่างดีก็มีปลูกเป็หย่อมๆ อยู่ในสวน ราคามันจึงต่ำ แต่หลินฟู่อินก็ไม่ได้คิดจะเก็บไว้เยอะ ดังนั้นแล้วมันจึงไม่แพงมากขนาดนั้น
เมื่อเห็นความมั่นใจของหลินฟู่อิน หลินเฟินและคนอื่นๆ จึงสบายใจขึ้นมา
“พี่อาเฟินและพี่อาฟางไปช่วยข้าเก็บในวันพรุ่งนี้” ยิ่งหลินฟู่อินคิด แผนนี้ก็ยิ่งดูจะไปได้สวย
อย่างไรเสีย สมุนไพรป่าใกล้ๆ หมู่บ้านหูลู่ก็ถูกเก็บไปเกือบหมดแล้ว เมล็ดพันธุ์บางชนิดถูกเหลือทิ้งไว้เพื่อปีหน้า บางชนิดก็ไม่มีประโยชน์จนกว่าจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ก็มีแต่จะตายเพราะอากาศหนาว
ดังนั้นแล้วการทำเงินเพื่อให้บ้านอยู่รอดได้ตลอดฤดูหนาวจึงเป็สิ่งสำคัญ และควรจะเป็อะไรที่ทำได้ง่าย เพื่อที่คนอย่างหลินเฟินจะได้มีช่องทางทำเงินได้ในฤดูหนาว
“ดีเลย อย่างนั้นก็ไปหาเก็บถั่วพวกนั้นในหมู่บ้านกัน หากเจอสมุนไพรเข้าก็เก็บกลับมาด้วย” หลินเฟินพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
หลินฟู่อินพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงหันไปมองหลินซานหลางเพื่อกล่าว “พี่ซานหลาง พรุ่งนี้ข้ากับท่านจะเข้าเมืองกัน ข้าจะไปภัตตาคารหลิวจี้เพื่อไปพบเถ้าแก่หลิว แล้วขอยืมเกวียนมาขนไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนไปยังบ้านในเมือง ห้องเก็บของจะได้มีที่สำหรับไข่รอบที่สาม”
เสียงผู้คนเบาบางลง หลินฟู่อินเลิกคิ้วแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง จึงได้เห็นว่ามันมืดแล้ว นางจึงเข้าไปยังห้องตัวเองแล้วหยิบเอาพวงเหรียญทองแดงออกมาสิบพวง
เหรียญทองแดงของแคว้นต้าเว่ยหนึ่งร้อยเหรียญถูกเชื่อมไว้ด้วยกันด้วยเชือกเส้นหนึ่ง จากนั้นหลินฟู่อินจึงยื่นให้หลินเฟินไปห้าพวง “พี่อาเฟิน นี่เอาไว้เป็ค่าใช้จ่ายในการหาซื้อถั่วของท่านและพี่อาฟาง ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกท่านจะเก็บมาได้เท่าไรเพราะข้าเองก็ไม่รู้ราคา ส่วนนั้นให้พวกท่านไปถามจากท่านลุงสองและป้าสอง จากนั้นให้พวกท่านตัดสินใจกันเอง แล้วตอนข้าเข้าเมืองไปกับพี่ซานหลางพรุ่งนี้ ข้าจะไปแลกเงินเพิ่มที่ธนาคาร”
ทุกเมืองในแคว้นต้าเว่ยมีธนาคารอยู่ แต่เดิมแล้วมันถูกก่อตั้งโดยเหล่าพ่อค้าหลวง แต่เพราะมีพระราชโองการมาจากองค์หญิงของต้าเว่ย ทำให้เหล่าพ่อค้าหลวงไม่มีสิทธ์ตั้งธนาคารในต้าเว่ยอีก ทั้งธนาคารที่ตั้งไปแล้วก็ตกไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงครัวเรือนแทน
การนำก้อนเงินไปแลกเป็ทองแดงเช่นที่หลินฟู่อินจะทำนี้ไม่จำเป็ต้องเสียภาษี แต่หากแลกทองแดงเป็ก้อนเงินแล้วต้องเสีย การแลกก้อนเงินเป็ตั๋วแลกเงินเองก็เสียภาษี แต่ถูกมาก
ทั้งนี้ ไม่ว่ามันจะเป็การเปลี่ยนทองแดงเป็ก้อนเงิน หรือก้อนเงินเป็ตั๋วแลกเงินต่างก็มีค่าธรรมเนียมที่หนึ่งอีแปะต่อร้อยตำลึง ดังนั้นแล้วพวกพ่อค้าและบ้านที่มีเงินเหลือจึงยอมที่จะไปแลกกัน เพราะก้อนเงินและตั๋วแลกเงินนั้นย่อมดีกว่าูเาแท่งเหรียญทองแดงในโกดัง
ทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่หลี่ฮูหยินสอนหลินฟู่อินมา เป็ผลให้หลินฟู่อินเกิดความสนใจในตัวองค์หญิงขึ้นมาเป็อย่างมาก และแน่นอนว่าความนับถือเองก็เอ่อล้น แต่ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็เื่ไกลตัวจากนางที่เป็เพียงสาวชาวบ้านในเมืองชายขอบไปมาก…
หลินเฟิน หลินฟาง และหลินซานหลางพากันกลับบ้านไปพร้อมความตื่นเต้นในอก และหลังจากที่หลินฟู่อินไปดูเ้าตัวน้อยที่กำลังหลับสนิทอีกครั้ง นางจึงไปล้างตัวแล้วกลับมานอน
เช้าวันถัดมา หลินฟู่อินก็ตื่นเพราะเสียงฝีเท่าจากในโถง
จากที่มองดูไกลๆ คงเป็หลานของฉินหมัวมัวที่มาถึงแต่เช้า
หลินฟู่อินรีบลุกขึ้นไปล้างหน้า เมื่อเตรียมตัวเสร็จจึงออกมายังโถงเพื่อสนทนากับหลานของฉินหมัวมัว
ฉินหมัวมัวเล่าเื่ของนางไว้แล้ว และย่าหลี่เองก็รู้แล้ว
“แม่นางหลิน นามของข้าคือฉินเหมย ป้าของข้าขอให้ข้ามายังหมู่บ้านหูลู่แห่งนี้เพื่อตามหาท่าน เพราะนางบอกว่าท่านมีน้องชายและน้องสาวที่้าคนดูแลอยู่” ทันทีที่หลินฟู่อินเข้ามาในโถง หลานสาวของฉินหมัวมัวก็ลุกขึ้นแล้วแนะนำตัวเองทันที
ฉินเหมยมีอายุราวสามสิบเอ็ดไม่เกินสามสิบสอง ร่างกายไม่ใหญ่ไม่เล็ก สวมชุดหน้าร้อนสีฟ้า ทำผมทรงซาลาเปาหนึ่งลูกอยู่หลังศีรษะพร้อมประดับด้วยปิ่นเงินที่เสียบทะลุก้อนผม ใบหน้าดูอ่อนโยนและสะอาดสะอ้าน
หลินฟู่อินยิ้มออกมา แล้วจึงเชิญให้นางนั่งลง “ข้าคือหลินฟู่อิน ปีนี้มีอายุสิบสาม ดังนั้นแล้วข้าจะขอเรียกท่านว่าแม่นมฉินนะเ้าคะ
ฉินเหมยตกลงในทันที
นางเป็หนี้บุญคุณต่อความอ่อนโยนของป้าสามของนางเป็อย่างมาก มากจนชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่วันชดใช้ได้หมด อีกทั้งนางยังขอให้มาเป็แม่นมให้คนอื่นเช่นนี้อีก ต่อให้นางถูกปฏิบัติเยี่ยงทาส นางก็มิคิดจะปริปากบ่นแน่!
“เช่นนั้นแล้ว แม่นมฉิน บ้านเรามีเด็กเล็กอยู่สองคน ถึงย่าหลี่จะช่วยได้ แต่มันก็ยังเป็งานหนัก ดังนั้นแล้วข้าจะให้ค่าจ้างท่านเดือนละห้าตำลึง” หลินฟู่อินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉินเหมยได้ยินว่านางจะจ่ายให้ห้าตำลึงก็ตะลึงไป นางคิดไม่ถึงว่าเ้าบ้านตัวน้อยผู้นี้จะใจกว้างถึงเพียงนั้น ในตอนที่ท่านป้าแนะนำให้นางมาหาหลินฟู่อิน นางก็เล่าถึงความประทับใจที่มีต่อหลินฟู่อินด้วย
ดังนั้นฉินเหมยจึงตั้งความหวังกับหลินฟู่อินไว้สูง แต่ขนาดนี้มันก็เกินกว่าที่คาดคิดไปมาก
เมื่อครู่นี้นางแอบสังเกตดูแล้ว แม้บ้านหลังนี้จะไม่เล็กสำหรับหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้ แต่ก็มีเงินมากพอที่จะจ้างแม่นมได้ แต่ความใจกว้างระดับนี้ก็เป็ผลให้นางสติหลุดไปนาน
“แม่นมฉินจะช่วยข้าดูแลน้องชายและน้องสาว ข้าไม่ปฏิบัติแย่ๆ ต่อท่านแน่ อีกทั้งข้าจะมีอั่งเปาให้ในตอนสิ้นปี และมีเงินพิเศษให้ทุกเก้าเดือน จะมีชุดให้สำหรับทุกฤดู ท่านแค่ช่วยข้าเลี้ยงน้องๆ ก็พอ” หลินฟู่อินกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม
ฉินเหมยได้ยินแล้ว แต่สมองยังคงแน่นิ่ง ทั้งนางยังมิกล้าดูแคลนเด็กสาวตรงหน้านี้ด้วย เพราะนี่ไม่ใช่ความใจกว้าง แต่เป็คำขู่ว่าขอเพียงเลี้ยงดูเด็กๆ ให้นางเป็อย่างดี นางก็ไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดอีก
แต่หากเลี้ยงได้ไม่ดีหรืออู้งาน ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสุขสบาย อย่างไรเสียตอนนี้นางก็แบกรับชื่อเสียงของป้าสามของนางเอาไว้บนบ่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่ย่าหลี่คอยมองอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม…