เซี่ยเจิงสลับขวดน้ำแร่จากมือซ้ายมาถือไว้ที่มือขวา ต่อให้พูดออกมาแล้ว แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความอึดอัดใจมากอยู่ดี
ชวีเสี่ยวปอผงะไป เมื่อครู่นี้ตอนผลักมือของเซี่ยเจิงออกไปเขายังรู้สึกโมโหอยู่เลย ทว่าเมื่อมาครุ่นคิดในตอนนี้ นี่เขากำลัง...หึงอยู่เหรอ?
“ไปเถอะ” เซี่ยเจิงเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้ “เดี๋ยวพวกเขารอแย่แล้ว” หลังจากพูดจบก็เดินก้าวเท้ากลับไปทันที
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยว——” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไป เขาตั้งใจจะดึงแขนเซี่ยเจิงเอาไว้ แต่กลับจนปัญญาเพราะเซี่ยเจิงเดินเร็วมาก จึงดึงไว้ได้แค่เพียงแขนเสื้อของเขา ขณะเดียวกันเซี่ยเจิงที่ถูกดึงเอาไว้ก็หันกลับมาจ้องมองเขา
ผู้คนรอบข้างที่เดินผ่านไปผ่านมาล้วนหันมามองเขาด้วยความสนใจ ขณะนั้นชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางบ่นขึ้นว่า “มองอะไรกันฮะ” จากนั้นเขาก็แอบกดฝ่ามือของเซี่ยเจิงไปหนึ่งที พร้อมทั้งพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “นายมานี่หน่อย เราไปคุยกันตรงนั้นเถอะ”
ชวีเสี่ยวปอไม่เคยเห็นเซี่ยเจิงเป็แบบนี้มาก่อนเลย อารมณ์ของเซี่ยเจิงมักจะเป็เหมือนบ่อน้ำอันเงียบสงบที่ไม่อาจมองเห็นก้นลึกของบ่อน้ำได้ และถ้าหากโยนหินลงไปก้อนหนึ่งก็จะมีเพียงแค่ละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นท่าทางหึงหวงแปลกๆ ของเซี่ยเจิงในตอนนี้ จึงค่อนข้างต่างออกไปเป็อย่างมาก
แปลกมาก แปลกมากจริงๆ แต่เมื่อชวีเสี่ยวปอเรียกให้เขาเดินมา เซี่ยเจิงกลับทำตามแล้ว
ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปตรงๆ ว่า : “นี่นายหึงฉันกับซือจวิ้นเหรอ? ”
เซี่ยเจิงละสายตามองไปทางอื่น จากนั้นจึงรีบปฏิเสธขึ้นมาทันที : “เปล่า”
“ถ้างั้นก็ใช่แล้วละ” ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะหัวเราะขี้นมา เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ถ้าหากเขาเองหึงเพราะเื่นี้ก็คงยากที่จะยอมรับเหมือนกันนั่นแหละ
“ไม่ได้หึงแล้วทำไมนายไม่กล้ามองหน้าฉันล่ะ” ชวีเสี่ยวปอชะโงกศีรษะให้ใบหน้าของตัวเองไปอยู่ตรงหน้าของเซี่ยเจิง กะพริบตาจ้องมองเขาราวกับกำลังพยายามมองหาอะไรบางอย่างบนใบหน้าของเซี่ยเจิงอยู่ แล้วจึงพูดเสียงเบาขึ้นมาว่า : “ขี้น้อยใจไปได้”
เซี่ยเจิงจ้องเขาตาเขม็งทีหนึ่ง
ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปากขึ้นมาพลางอธิบายไปว่า : “ฉันไม่ได้คิดอะไรเยอะแยะขนาดนั้น ประเด็นคือเ้าเด็กสองคนเห็นฉันทำ” ขณะที่พูดชวีเสี่ยวปอก็ทำปากจู๋ขึ้นมาด้วย “แบบนี้ให้นาย ซือจวิ้นบอกว่าเขาสองคนฉลาดมาก ไม่แน่อาจจะเอากลับไปพูด ฉันเลยทำกับเขาไปด้วยทีหนึ่งก็แค่นั้น”
“ส่วนเื่ซือจวิ้นชอบดื่มอะไร...นั่นมันก็เพราะก่อนที่จะรู้จักนายพวกเราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเลยไง” ชวีเสี่ยวปอชูสามนิ้วขึ้นมาแนบข้างหู พร้อมทั้งพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่นกว่าปกติว่า : “ฉันสัญญาว่าหลังจากนี้ฉันจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาย เอาอย่างงี้ เดี๋ยวฉันจดไว้ในโน้ตเลย โอเคไหม? ”
ในที่สุดสีหน้าของเซี่ยเจิงก็ดูอบอุ่นขึ้นมาแล้ว
ความจริงการงี่เง่าในเื่แบบนี้ระหว่างที่คบกันมันค่อนข้างที่จะโง่เขลาอยู่พอสมควร เป็เื่ปกติที่ลูกผู้ชายสองคนจะไม่สนใจรายละเอียดเล็กน้อยอะไรเหล่านี้ แต่ความเ็ปที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาในหัวใจกลับพุ่งเข้าใส่จนทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกปวดหัววิงเวียงศีรษะไปหมด และทันทีที่คิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาก็ทำให้เขาไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นแล้ว
ถ้าหากชวีเสี่ยวปอไม่ได้ถามเขาว่า “นายหึงใช่ไหม? ” บางทีเซี่ยเจิงอาจจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้เลยว่าแท้จริงแล้วการกระทำเช่นนี้ของตัวเองคืออาการหึงหวง... เขารู้แค่ ตัวเขาสนใจว่าตัวเองเป็หนึ่งเดียวสำหรับอีกฝ่ายหรือเปล่า ซึ่งความจริงแล้วการเอาตัวเองมาเปรียบกับซือจวิ้นมันช่างไร้สาระเอาเสียมากๆ แต่มันไม่มีทางเลือก
เพราะเมื่อเด็กเรียนมีความรักก็จะโง่เขลาไปโดยปริยาย
หลังจากอึดอัดกันอยู่ครู่หนึ่งทั้งสองคนก็คืนดีกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเดินเข้าสวนสาธารณะไปโดยหยอกเย้าเตะกันไปหยิกกันมาตลอดทั้งทาง เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็เห็นซือจวิ้นกำลังนั่งกดโทรศัพท์มือถือเล่นอยู่ที่ม้านั่งยาวด้านข้าง ส่วนเด็กน้อยทั้งสองคนก็กำลังนั่งเล่นบนม้าหมุนอยู่อย่างสนุกสนาน เสียงเพลงกะพริบระยิบระยับเ้าดวงดาวน้อยที่ดังขึ้นล้วนไม่สามารถกลบเสียงหัวเราะของพวกเขาได้เลย
“นายสองคนช้ามาก” ซือจวิ้นขยับไปด้านข้างเพื่อให้เว้นที่ให้เขาสองคนนั่ง
………………………….
ทว่าม้านั่งตัวนั้นใหญ่ไม่พอ ชวีเสี่ยวปอจึงนั่งได้แค่คนเดียว เซี่ยเจิงไม่ได้นั่งแต่กลับเดินไปยังรั้วกั้นที่อยู่ด้านนอกของม้าหมุน ถือเครื่องดื่มเอาไว้รอให้เด็กน้อยทั้งสองคนลงมา
ชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้นจ้องมองไปทางนั้นพร้อมกัน มองเซี่ยเจิงทั้งป้อนน้ำทั้งเช็ดปากให้เด็กทั้งสองคนอย่างชำนาญ จนชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปทุบต้นขาของซือจวิ้นทีหนึ่ง “นี่เขาเป็น้องชายเซี่ยเจิงหรือเป็น้องชายนายกันแน่ฮะ? ”
“ให้ตายเถอะ ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน” ซือจวิ้นกัดฟัน ทำเสียงซี๊ดขึ้นมา “ฉันว่าเขาสองคนสนิทกับเซี่ยเจิงมากกว่าฉันอีกนะ”
ในขณะที่เขาสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เซี่ยเจิงก็เดินจูงเด็กน้อยทั้งสองคนเข้ามา เด็กน้อยที่กำลังรู้สึกสนุกสนานอยู่ดึงซือจวิ้น พลางพูดเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมาไม่หยุด : “จะเล่นอีก จะเล่นอีก !”
“ไปกัน” ซือจวิ้นไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ ราวกับที่ก้นถูกทากาวติดเอาไว้ เพราะกว่าจะลุกขึ้นมาได้ช่างยากลำบากซะเหลือเกิน “ยังอยากเล่นอะไรอีกเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลาย พวกเรามาเล่นให้สนุกสุดเหวี่ยงกันไปเลย วันนี้ใครพูดว่าเหนื่อยคนนั้นเป็ลูกหมา !”
พวกเด็กๆ ที่มีพลังอันเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ผ่านไปเพียงไม่นานก็วิ่งออกไปไกลลิบ ส่วนชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงก็ค่อยๆ เดินตามหลังมา ในฤดูหนาวเช่นนี้ ต้นไม้ใบหญ้าในสวนสาธารณะก็ล้วนร่วงโรยจนหมดเกลี้ยง อีกทั้งยังมีใบไม้บางส่วนที่ยังไม่ทันได้เก็บกวาด ทำให้เมื่อเหยียบไปบนนั้นจึงมีเสียงดังกรอบแกรบขึ้นมา
ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าเขาสามารถเดินต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ได้อีกไกลแสนไกล
ขอเพียงแค่มีเซี่ยเจิงอยู่เคียงข้างนั่นก็เพียงพอแล้ว
ในขณะนั้นมีคุณแม่วัยรุ่นคนหนึ่งจูงเด็กผู้หญิงตัวน้อยเดินผ่านเขาสองคนไป ชวีเสี่ยวปอจ้องมองไปยังลูกโป่งสพันจ์บ็อบที่อยู่ในมือของเด็กสาว จากนั้นจึงหันหน้าไปมองเซี่ยเจิง แล้วก็เป็อย่างที่คิดเซี่ยเจิงเองก็กำลังมองอยู่เหมือนกัน
“นี่ ฉันรู้สึกว่านายดูจะชอบเด็กมากเลยนะ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้ชอบ” เซี่ยเจิงส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งตอบเชิงปฏิเสธออกไป
“แต่นายดูอดทนกับน้องชายของซือจวิ้นได้ดีมากเลยนะ !” ชวีเสี่ยวปอคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงจะพูดเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “แต่เื่ที่ฉันไม่ชอบเด็กนี่เป็ความจริงนะ พอเจอกับพวกเด็กที่แสบมาก ฉันอยากจะตีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจริงๆ ”
“ฉันก็อยากตีเหมือนกัน แต่รู้สึกว่า” เซี่ยเจิงกลอกตาไปมา พร้อมทั้งหยุดเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดว่าจะอธิบายยังไงถึงจะตรงประเด็นที่สุด “พวกเด็กๆ ควรได้รับการปกป้องละมั้ง ตอนเด็กก็ควรจะเป็่เวลาที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่เหรอ? ”
อาจจะเป็เพราะในตอนที่เซี่ยเจิงพูดประโยคนี้เขาดูจริงจังเป็อย่างมาก หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอฟังจบจึงจำต้องครุ่นคิดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้... ที่เซี่ยเจิงใจดีกับพวกเด็กๆ มากเป็พิเศษ นั่นก็เป็เพราะชีวิตใน่วัยเด็กของเขาไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่
“อ๋า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที แต่ท่าทีที่นิ่งเงียบของเซี่ยเจิงทำให้เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
ขณะที่ตกอยู่ในความเงียบเขาก็ก้าวขาออกไปอีกครั้ง ชวีเสี่ยวปอคว้าข้อมือของเซี่ยเจิงเอาไว้ พลางพูดขึ้นว่า “ไป” จากนั้นจึงลากเขาให้เดินกลับไปยังทางที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่
“ปอเอ๋อร์? ” เซี่ยเจิงพลิกข้อมือขึ้นมาจับมือของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งดึงชวีเสี่ยวปอกลับเข้ามา “ทำอะไร? ”
“ไปนั่งม้าหมุน” ชวีเสี่ยวปอไม่ได้หันหน้ากลับมา “ตอนเด็กนายไม่เคยเล่นใช่หรือเปล่า? ”
เซี่ยเจิง : “......” แฟนฉันนี่ติงต๊องที่สุดในโลกเลยจริงๆ
แต่ก็น่ารักสุดๆ ไปเลย
แน่นอนว่าสุดท้ายก็ไม่ได้นั่ง เซี่ยเจิงบอกว่าเด็กที่นั่งอยู่บนม้าหมุนมีแต่อายุไม่เกินสิบขวบทั้งนั้นเลย ขณะเดียวกันชวีเสี่ยวปอเองก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
“เอาเถอะ” เซี่ยเจิงหยิกแก้มเขาไปทีหนึ่ง “จะนั่งไม่นั่งก็ไม่ได้เป็เื่ใหญ่อะไรไม่ใช่เหรอ? ตอนเด็กไม่เคยนั่ง ตอนนี้ไปนั่งก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่แล้วละ”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน !” ชวีเสี่ยวปอแย้งขึ้น ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “น่าสงสารจัง”
“ไม่เป็ไร” เซี่ยเจิงพูดแทรกเขาขึ้นมา พร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ใบหน้าอันเศร้าสร้อยของชวีเสี่ยวปอแสดงขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ราวกับเขารู้สึกเสียดายมากที่ไม่ได้นั่งม้าหมุน “ที่จริงเด็กที่ไม่เคยเล่นม้าหมุนก็มีเยอะแยะไป แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านี้ชดเชยด้วย”
“ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอลิ้มรสคำพูดสองประโยคนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่เสี้ยวนาที แล้วเขาก็รู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม