ผู้คนต่างมองไปที่ถูฟู แม้จะถูกพลังสะท้อนกลับมาแต่ก็ไม่มีใครดูถูกเขา เขาสามารถทำให้กลองาใบที่ 6 มีรอยแตกได้ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างมองไปที่ป้าเตาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น พวกเขา้าเห็นว่า ชายผู้สวมหน้ากากทองแดงเมื่อเทียบกับถูฟูแล้วจะเป็อย่างไร
ในตอนนี้เห็นเพียงป้าเตาที่ยืนอยู่หน้ากลองา ด้วยแววตานิ่งสงบและดูลึกซึ้ง ทันใดนั้นเจตจำนงมีดของป้าเตาจู่ๆ ก็พวยพุ่งออกมา
ผู้คนต่างประหลาดใจ เมื่อเห็นป้าเตาได้ก้าวออกมาและใช้กำปั้นโจมตีกลองาใบที่ 1
“ตูม!!!”
เกิดเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ทว่ากลองกลับไม่ได้ะเิออกมา กลองาใบนั้นตอนนี้ดูคล้ายกับเต้าหู้ซึ่งถูกตัดด้วยพลังของป้าเตา
จากนั้นกลองาใบที่ 2 ใบที่ 3 หรือแม้กระทั่งใบที่ 4 ก็ล้วนถูกป้าเตาโจมตีได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการกระทำของป้าเตาั้แ่ต้นจนจบนั้น ด้วยเพียงลมหายใจเดียวเท่านั้น
จนถึงกลองาใบที่ 5 ป้าเตาได้ยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อยแล้วฟันออกไป ทันใดนั้นตรงกลางของกลองาได้เกิดรอยแยกแล้วแตกออกเป็สองส่วน จากนั้นทั้งสองชิ้นส่วนก็กระเด็นปลิวออกไปทันที ถึงอย่างนั้นป้าเตาก็ยังคงดูผ่อนคลายและเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือป้าเตายังคงโจมตีต่อไป และตอนนี้ได้มาถึงด้านหน้ากลองาใบที่ 6 เขาฟาดฟันออกไปเหมือนก่อนหน้านี้
“ฟุ่บ!!!”
ด้วยเจตนามีดอันแหลมคมและเยือกเย็นไปถึงขั้วกระดูก ทำให้กลองาใบที่ 6 ยังคงถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย
จนกระทั่งตอนนี้ป้าเตาได้หยุดการเคลื่อนไหวลง และไม่ได้โจมตีกลองาใบที่ 7 ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจมัน เขาหันหลังไปอย่างเงียบเชียบและเดินไปยังทิศทางที่ผู้คนสำนักเทียนอี้รวมตัวกันอยู่
“เป็แค่เศษขยะ แต่กล้าหยิ่งผยองขนาดนี้”
น้ำเสียงไม่แยแสได้ออกจากปากของป้าเตาทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าเ้าหมอนี่จะกล้าดูถูกว่าถูฟูเป็เศษขยะ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับป้าเตาแล้ว ถูฟูนั้นยังอ่อนแอกว่ามาก
ใบหน้าของถูฟูตอนนี้ดูน่าเกลียดมาก ในอดีตตอนที่เขาอยู่นิกายหยุนไห่ เขาเป็ถึงศิษย์อัจฉริยะ แต่เมื่อไปอยู่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็ยังคงได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก แต่ตอนนี้เขากลับถูกผู้คนตราหน้าว่าเป็เศษขยะ อย่างไรก็ตามเขานั้นไร้ซึ่งหนทางที่จะปฏิเสธได้
เขาได้ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อทำให้กลองาใบที่ 6 เกิดรอยแตก แต่ป้าเตาสามารถทำให้มันมีรอยแตกได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าฝีมือของพวกเขาทั้งสองนั้นแตกต่างกันเกินไป
“ไม่เลว”
ต้วนหวู่หยายิ้มพลางกล่าวว่า “ยังมีใครแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้อีกไหม?”
ผู้คนต่างมองหน้ากันและมีคนบางส่วนไปลองฝีมือมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครแข็งแกร่งพอที่จะทำได้ ไม่ต้องพูดถึงกลองใบที่ 6 เลย
“หลิ้งหู เ้าแข็งแกร่งที่สุดในพวกเราที่มาในคราวนี้ เ้าไม่ไปฉีกหน้าพวกเขาล่ะ?”
ตอนนี้ทางด้านลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ถูฟูได้กล่าวกับหลิ้งหูเห่อซานที่อยู่ข้างๆ เมื่อก่อนพวกเขาเป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่เช่นเดียวกัน และตอนนี้ก็อยู่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่เหมือนกัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้จักกันเป็อย่างดี
หลิ้งหูเห่อซานส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วมองศิษย์ของนิกายหยุนไห่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและกล่าวว่า “คนที่ใส่เสื้อผ้าสีขาวนั่นมีนามว่าเวิ่นอ้าวเสวี่ย เป็ศิษย์อันดับ 3 ของสำนักเทียนอี้ แม้จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปวันๆ แต่พละกำลังก็ยังดูลึกลับ ไม่คิดเลยว่าคราวนี้เขาจะมาด้วย ข้าจึงไม่มั่นใจว่าจะชนะได้ไหม”
คำพูดของหลิ้งหูเห่อซานทำให้ถูฟูต้องประหลาดใจ เขาหันไปมองเวิ่นอ้าวเสวี่ยที่งดงามราวกับหญิงสาวผู้นั้น และเห็นว่าดวงตาคู่งามแปลกตาของเวิ่นอ้าวเสวี่ยก็มองมาทางเขาเช่นกัน ทำให้ถูฟูต้องกะพริบตาปริบๆ และไม่กล้ามองั์ตาของเขาโดยตรง
ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ที่มาในครั้งนี้ หลิ้งหูเห่อซานนั้นแข็งแกร่งที่สุด หากเขาบอกว่าจะลงมือ เวิ่นอ้าวเสวี่ยก็จะรีบออกไปทันที เมื่อถึงเวลานั้นหากหลิ้งหูเห่อซานพ่ายแพ้ ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยก็จะขายหน้าอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด หลิ้งหูเห่อซานจึงไม่อาจลงมือได้
“ศักดิ์ศรีนี้ข้าจะช่วยเ้ากู้คืนมาเอง” ขณะนั้นที่ด้านข้างผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ถัดไปจากที่นั่งหลักได้เอ่ยปากออกมา คนคนนี้ก็คือเยว่เทียนเฉิน
เยว่เทียนเฉินลุกขึ้นมองไปที่ต้วนหวู่หยาและต้วนซินเยี่ยที่อยู่ข้างๆ เขา แล้วกล่าวว่า “ฝ่าา สำหรับความปลอดภัยขององค์หญิงนั้น แน่นอนว่าควรให้ข้าทำหน้าที่เป็องครักษ์ เพราะนอกจากข้าแล้ว คนอื่นๆ ล้วนอ่อนแอและไม่มีคุณสมบัติกันทั้งนั้น”
เยว่เทียนเฉินกล่าวอย่างหยิ่งผยอง แต่ผู้คนกลับรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล
เยว่เทียนเฉิน เป็ผู้สืบทอดของตระกูลเยว่และยังมีสถานะที่สูงศักดิ์ นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ซึ่งแข็งแกร่งอย่างมาก ประกอบกับจิติญญานักรบที่น่าสะพรึงกลัวนั่น ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็ยังไม่กล้าขัดใจเขา และผู้ที่อ่อนแอกว่าเขาก็ต้องถูกเขากลั่นแกล้งเท่านั้น
ต้วนซินเยี่ยมองตาไม่กะพริบแล้วไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ต้วนหวู่หวากลับยิ้ม และกล่าวว่า “งั้นก็ดี มาดูกันว่าน้องเยว่จะทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้สักกี่ใบกัน”
เยว่เทียนเฉินพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังกลองาทันที แต่กลับมองไปทางผู้คนจากสำนักเทียนอี้ ซึ่งเป้าสายตาของเขาคือหลินเฟิง
“ผู้ที่เหมาะสมกับองค์หญิงนั้น ไม่ว่าจะเป็ทักษะยุทธ์ พร์ หรือต้นกำเนิด ทั้งหมดนี้ล้วนต้องไร้ที่ติ ส่วนผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยและอ่อนแอ แต่ยังคิดจะเอาชนะใจองค์หญิงเพื่อหวังยศศักดิ์ ช่างน่าขันสิ้นดี”
หลังจากกล่าวจบเยว่เทียนเฉินก็เดินไปหน้ากลองาทันที
ฝูงชนต่างจ้องมองหลินเฟิงด้วยสายตาแปลกๆ แม้เยว่เทียนเฉินจะไม่ได้เอ่ยนาม แต่เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเขาเอ่ยถึงหลินเฟิง
หลินเฟิงปรารถนาในตัวองค์หญิง?
สายตาของหลินเฟิงในตอนนี้ดูแข็งทื่อเล็กน้อย และมีสีหน้าที่เยือกเย็นอย่างมาก
สถานะของเขาต่ำต้อยไม่รู้ที่ต่ำที่สูง? แล้วยังปรารถนาในตัวองค์หญิง เพื่อหวังยศศักดิ์?
ขณะนั้นเยว่เทียนเฉินก็กล่าวว่า “วันนี้ข้าอยากจะร้องเพลงเพื่อองค์หญิง”
หลังจากกล่าวจบ ทันใดนั้นเสียงที่ลึกล้ำก็ได้ออกมาจากปากของเยว่เทียนเฉิน
“เสวี่ยเยว่อันไพศาล บุรุษจักต้องหวดกลอง”
“ตูม!!!”
เสียงะเิดังขึ้นพร้อมบทเพลงของเยว่เทียนเฉิน กลองาใบที่ 1 ได้สลายไปแล้ว
“ปณิธานของเหล่าผู้สวมเกราะเหล็กจักทะยานสู่ความยิ่งใหญ่”
“ตูม!!!”
สิ้นเสียงเพลงท่อนต่อมา เขาก็ทำลายกลองาใบที่ 2
“บุรุษผู้เืร้อน เหยียบย่ำแม่น้ำและูเานับหมื่นลี้...”
เสียงของเยว่เทียนเฉินดังก้อง เจตจำนงที่ดุเดือดและแข็งแกร่งได้ปะทุมากกว่าเดิม ทันใดนั้นทั้งสองฝ่ามือได้โจมตีออกไป จนกลองาใบที่ 4 และ 5 ถูกทำลายลงในพริบตา
น้ำเสียงของเยว่เทียนเฉินนั้น นอกจากจะไม่แ่ลงไปแล้ว ยังรื่นเริงมากขึ้นอีกด้วย
“การริเริ่มจักสำเร็จไปนับพันพันปี”
เยว่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าต่อเนื่อง ตัวเขานั้นคล้ายกับลำแสงที่เปล่งประกาย และมันได้ทำลายทุกสิ่งอย่าง ขณะนั้นได้มีเสียงะเิดังสนั่นไปทั่ว กลองาใบที่ 6 ได้แตกลงแล้ว
ในตอนนี้เห็นเพียงเยว่เทียนเฉินกระทืบพื้นราวกับคนบ้า จนพื้นโคลนสีเหลืองสาดกระเซ็นไปมา
เยว่เทียนเฉินเหวี่ยงหมัดไปที่กลองา
“เพียงแค่หญิงงามอวยพรจักต้องกลับมาพร้อมเกียรติยศ!”
เยว่เทียนเฉินยังคงร้องเพลงต่อไปพร้อมกับกลองาใบที่ 7 ได้ถูกทำลาย
“เสวี่ยเยว่อันไพศาล บุรุษจักต้องหวดกลอง ปณิธานของเหล่าผู้สวมเกราะเหล็กจักทะยานสู่ความยิ่งใหญ่”
“บุรุษผู้เืร้อน เหยียบย่ำแม่น้ำและูเานับหมื่นลี้ การริเริ่มจักสำเร็จไปนับพันพันปี เพียงแค่หญิงงามอวยพรจักต้องกลับมาพร้อมเกียรติยศ!”
ผู้คนต่างพึมพำกันออกมา ขณะมองไปยังร่างเงาที่หล่อเหลานั่นด้วยหัวใจที่สั่นระรัว เืในกายพลันพลุ่งพล่านและเร่าร้อนขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะเหล่าทหารเสวี่ยเยว่ สายตาของพวกเขาต่างเปล่งประกายราวกับว่าพวกเขาเป็ตัวละครหลักของบทเพลงนี้
“เยี่ยม!”
ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างส่งเสียงให้กำลังใจเยว่เทียนเฉิน แม้แต่ต้วนเทียนหลางก็ยังยิ้มพลางกล่าวว่า “สมแล้วที่เยว่เทียนเฉินเป็ผู้สืบทอดตระกูลเยว่ เขาเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน เพียงแค่ลมหายใจเดียว เขาก็สามารถร้องเพลงและยังทำลายกลองาใบที่ 7 ได้อีกด้วย คนเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก ช่างเหมาะสมกับองค์หญิงมาก”
เยว่เทียนเฉิน ใช้เพียงหนึ่งลมหายใจ เพื่อร้องเพลงและทำลายกลองาทั้งเจ็ดใบ เขาไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย มันต้องใช้พลังมากกว่าการโจมตีธรรมดา เพราะเขาหายใจเข้าเพียงครั้งเดียว
เยว่เทียนเฉินหันกลับไปและพยักหน้าให้ต้วนเทียนหลางเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่ต้วนซินเยี่ยและยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น แม้นางจะยิ้มตอบแต่สายตายังคงความเคร่งขรึม
“ไม่เลว” ต้วนหวู่หยายิ้มเล็กน้อย “ไม่คิดเลยว่าน้องเยว่ไม่เพียงมีพร์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังมากไปด้วยความสามารถ ช่างหาได้ยากนัก”
“ฝีมือของข้ายังนับว่าต่ำต้อย ฝ่าาชมข้ามากไปแล้ว” เยว่เทียนเฉินยิ้ม จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่หลินเฟิง บางทีในสายตาของเขา หลินเฟิงถือเป็คู่แข่งคนหนึ่ง
“ฝีมือก็ต่ำต้อย และยังไม่ได้เื่เหมือนขี้หมูขี้หมา”
ในขณะนั้นได้มีเสียงไม่แยแสดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทำให้ผู้คนต่างประหลาดใจ ไม่ได้เื่เหมือนขี้หมูขี้หมา?
จากนั้นทุกสายตาก็หันไปทางต้นเสียง ซึ่งคนคนนั้นก็คือหลินเฟิง
“เ้าหมอนี่ ช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก” ผู้คนต่างบ่นพึมพำ
ม่านตาของเยว่เทียนเฉินหดลงเล็กน้อย เขาจ้องมองหลินเฟิงอย่างเ็าและกล่าวว่า “ในเมื่อข้ามีฝีมือต่ำต้อย งั้นเ้าอยากลองดูไหมล่ะ?”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส ในทวีปเก้า์ บนเส้นทางแห่งนักรบนั้นยังมีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่มาก แต่ถ้าหากจะเทียบกับท่วงทำนอง หลินเฟิงก็ถือว่าเป็คนที่มีพร์มากคนหนึ่ง
หลินเฟิงลุกขึ้นและเดินออกไปช้าๆ จากนั้นก็มาถึงหน้ากลองา ซึ่งฉากนี้ได้ทำให้ผู้คนต่างประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะทำจริงๆ
ฝูงชนต่างรอคอย พวกเขาก็อยากเห็นว่าความแข็งแกร่งและพร์ของหลินเฟิงจะเหนือกว่าเยว่เทียนเฉินหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนไม่มีทางเป็ไปได้
ต้วนหวู่หยาและต้วนซินเยี่ยต่างมองหลินเฟิงด้วยสายตารอคอย เ้าหมอนี้ ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ถึงได้ทำเช่นนี้กัน
“ข้าก็อยากดูว่า เ้าจะสามารถทำให้กลองาทั้ง 7 ส่งเสียงออกมาได้สักกี่ใบ โดยที่เ้าร้องเพลงไปด้วย”
เยว่เทียนเฉินยิ้มเยาะอย่างเ็า หลินเฟิงไม่มีทางทำได้อย่างเขาแน่นอน มีแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้าเท่านั้น
หลินเฟิงหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นท่วงทำนองที่ไพเราะก็ออกมาจากปากของเขา ซึ่งท่วงทำนองนี้ได้ทำให้ผู้คนต่างหวั่นไหว
“ความเกรี้ยวโกรธจนเส้นผมชี้ชัน พิงระเบียงคราใด ฝนหนักจักต้องหยุด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้