นางเซี่ยเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน หากเมิ่งอู่ไม่กอดนางไว้ นางคงต้องพุ่งเข้าไปเตะอินเหิงด้วยสองเท้า
เมิ่งอู่ดึงตัวนางเซี่ยออกมาพลางปลอบโยนพลาง "ท่านแม่ ท่านแม่ ช่างเถิดๆ เห็นแก่ที่เขาาเ็ อย่าไปโต้เถียงกับเขาเลยเ้าค่ะ”
ไม่ง่ายเลย เมิ่งอู่ปลอบนางเซี่ยที่นั่งม้านั่งห่างจากอินเหิงนิดหน่อย
เมิ่งอู่ครุ่นคิดเอ่ยว่า “ข้าคิดว่า นี่อาจเป็วิธีหาเงินที่ดีก็ได้”
“อาอู่!” นางเซี่ยะเิโทสะ
เมิ่งอู่รีบอธิบายอย่างไว “ท่านแม่ ท่านฟังข้าให้จบก่อน ข้าหมายถึงให้อาเหิงไปขาย!”
อินเหิง “...”
ในที่สุดนางเซี่ยก็ใจเย็นลงเล็กน้อย
เมิ่งอู่กล่าวต่อ “อาเหิงหน้าตาดีที่สุด หากพาเขาออกไปให้คนในหมู่บ้านดู บรรดาสตรีทั้งสาวใหญ่สาวน้อยต้องมองจนตาค้างเป็แน่ ข้าจะเก็บเงินค่ามองจากพวกนางครั้งละหนึ่งเหรียญทองแดง แต่ถ้าจับต้องคิดครั้งละสองเหรียญทองแดง”
อินเหิงชำเลืองมองนางด้วยสายตาไร้เดียงสาและไร้พิษภัย “อาอู่ ข้าราคาถูกเช่นนี้เชียวหรือ?”
หัวใจของเมิ่งอู่พลันสั่นไหว ทนไม่ได้ที่จะต้องตัดใจอยู่บ้าง
นางเซี่ยรีบปฏิเสธตรงๆ “ไม่ได้! หากผู้อื่นรู้ว่าในเรือนมีบุรุษผู้นี้ จากนี้ไปเ้าจะใช้ชีวิตอย่างไร!”
เมิ่งอู่ลูบคางแล้วกล่าว “อืม ดูเหมือนการขายตัวคงไม่ได้ผล”
อินเหิงจึงค่อยๆ อธิบาย “ที่ข้ากล่าวถึงคือการขายโสม [1]”
นางเซี่ยชะงักไปชั่วขณะ เมิ่งอู่พลันแจ่มแจ้งทันใด
จริงสิ เมิ่งอู่มักขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเป็ประจำ นางเชี่ยวชาญเื่สมุนไพรยามาก หากเก็บโสมหรือสมุนไพรล้ำค่าอื่นๆ บนเขามาได้ ก็สามารถนำไปขายแลกเงินได้มิใช่หรือ!
เมิ่งอู่ยิ้มเอ่ย “หากเ้าไม่พูดถึง ข้าคงไม่ได้นึกถึงจุดนี้ วิธีนี้ดีมากจริงๆ!” พลันนั้นนางก็รู้แจ้ง แทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปจูบอินเหิงสักครา แต่เมื่อเหลียวมองกลับไปเห็นสายตาดุร้ายของนางเซี่ย นางจึงอดกลั้นไว้แล้วกล่าว “เช่นนั้นตกลงตามนี้ วันพรุ่งข้าจะขึ้นเขาไปเสี่ยงโชค”
วันต่อมาเมิ่งอู่ตื่นแต่เช้ามืด เพิ่งรุ่งสาง นางก็แบกตะกร้าใบหนึ่งไว้บนหลังเตรียมขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร
ก่อนออกเดินทาง นางเคี่ยวยาที่อินเหิงต้องกินไว้บนเตาก่อนแล้ว โดยมีนางเซี่ยช่วยดูไฟให้
อินเหิงเรียกนางผ่านม่าน “อาอู่ จะออกไปแล้วหรือ?”
เมิ่งอู่ตาสว่าง เงยหน้ามองขอบฟ้าที่เริ่มมีแสงอรุณทาบทอคลุมเครือ ดวงตะวันยังไม่โผล่ออกมา แต่มีแนวโน้มที่จะทะลุทะลวงนภาแล้ว เมฆาที่มีแสงเรืองรองถูกแผดเผาจนแดง
นางตอบ “อืม”
อินเหิงถาม “จะกลับมาเมื่อใด?”
เมิ่งอู่กล่าว “ยังไม่แน่ใจ วันนี้อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย”
ในเมื่อตั้งใจจะไปหาสมุนไพรล้ำค่าโดยเฉพาะ ก็ต้องเดินทางเข้าูเาลึก จะกลับเมื่อใดย่อมยากที่จะบอก
เสียงของอินเหิงนุ่มนวลอ่อนโยนอักโข “หากครอบครัวของลุงใหญ่เ้าถือโอกาสที่เ้าไม่อยู่มาสร้างปัญหาที่เรือน ท่านแม่ของเ้าอาจรับมือไม่ไหว”
เมิ่งอู่ชะงักชั่วขณะ นี่เป็เื่ที่นางเป็กังวลอยู่บ้างเช่นกัน
นางเซี่ยย่อมไม่ใช่คู่ต่อกรของนางเหอหรือนางเย่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร่วมมือกันของคนทั้งครอบครัว แม้จะกำชับนางเซี่ยให้ปิดประตูลานเรือนให้ดี แต่คนเรือนนั้นอาจหาวิธีบีบบังคับให้นางเซี่ยเปิดประตูให้ก็เป็ได้
เวลานี้อินเหิงจึงกล่าว “มิใช่ว่าใกล้ๆ เรือนมีป่าไผ่อยู่หรือ อาอู่ไปตัดไผ่กลับมาก่อนเถิด”
เมิ่งอู่จึงวางตะกร้าสะพายหลังลง ยามนี้ไม่รีบร้อน ขอเพียงรับประกันความปลอดภัยให้ที่บ้านก่อน นางถึงจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรยาได้อย่างสบายใจ
นางทำตามที่อินเหิงกล่าว เดินไปตัดไม้ไผ่สดๆ จากป่าไผ่ใกล้เรือนกลับมา
ไม้ไผ่เหล่านี้เหลาง่าย เมิ่งอู่ใช้มีดเลื่อยเฉียงเป็กรวยแหลมทีละลำ แล้วนำไปปักริมรั้วรอบลานเรือน จากนั้นคลุมด้วยหญ้าแห้ง
ส่วนประตูใหญ่ เมิ่งอู่เพิ่มสลักสองอัน และหากับดักหนูสองอันออกมาจากในเรือน ใช้หญ้าแห้งปกปิด ซ่อนไว้ในจุดที่คนเหยียบง่ายแต่สังเกตเห็นยาก
เรือนของเมิ่งอู่ซอมซ่อคร่ำคร่าถึงเพียงนี้ การที่นางนำหญ้าแห้งมาปิดหลังคา จึงไม่ทำให้คนสงสัยแม้แต่น้อย
รอกระทั่งจัดการเื่เหล่านี้เรียบร้อย เมิ่งอู่ก็กำชับนางเซี่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามเปิดประตูให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะครอบครัวของลุงใหญ่
เมิ่งอู่บอกนางว่า หากเปิดประตูก็อาจมีคนพบว่าในเรือนยังมีบุรุษอีกคน กอปรกับบทเรียนที่ได้รับจากนางเหอคราก่อน ไม่ว่าจะเป็กรณีใดผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายมากทั้งสิ้น
นางเซี่ยทำท่าทางหนักแน่น เอ่ยว่า “อาอู่วางใจได้ ครั้งนี้ข้าจะไม่เปิดประตูอีกแล้ว”
เมิ่งอู่กล่าว “หากพวกเขาด่าทอ ก็ปล่อยให้พวกเขาด่าไป อย่าใส่ใจ ประเดี๋ยวข้าจะจัดการพวกเขาเองในภายหลังเ้าค่ะ”
นางเซี่ยพยักหน้า
เมิ่งอู่ตบเสื้อผ้า ก่อนเดินเข้าเรือนเพื่อหยิบตะกร้าสะพายหลัง เวลานี้แสงกลางนภาสว่างแล้ว ตะวันเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าออกมาเสี้ยวหนึ่ง แสงสูรย์สาดส่องไปทั่วผืนดิน ทุกสิ่งทุกอย่างเปล่งประกายวิบวับสีทองแดงชั้นหนึ่ง
ทว่าเมื่อเมิ่งอู่เดินเข้าเรือน เห็นอินเหิงนั่งพิงผนัง เขากำลังดัดไม้ไผ่ในมือที่ยาวครึ่งจั้งให้โค้งงอ นางอดตะลึงงันไม่ได้
ถ้าจะพูดให้ถูกสิ่งที่อินเหิงถืออยู่ไม่ใช่แค่ท่อนไผ่ธรรมดา แต่เป็คันธนูไม้ไผ่ที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ เขาขัดคันธนูจนเรียบเนียน มีเศษขี้เลื่อยร่วงหล่นประปรายตามชายเสื้อของเขาและบนพื้นข้างๆ
ไม้ไผ่ที่เพิ่งตัดกลับมาส่งกลิ่นหอมสดชื่น
เมื่อเมิ่งอู่เข้ามา เขาก็ไม่สนใจมองนางแม้เพียงผาดหนึ่ง เพียงลดสายตาลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ หลังยืนยันว่าส่วนโค้งได้รูปสมบูรณ์แบบแล้ว เขาจึงสวมเชือกป่าน
คันธนูถูกดึงจนตึง ไม้ไผ่มีความเหนียวยืดหยุ่นโดยธรรมชาติ จึงกลายเป็ธนูไม้ไผ่ที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง
ถัดมาเป็กระบอกไม้ไผ่ที่ตัดเป็วงกลมอย่างประณีต ภายในบรรจุลูกธนูไม้ไผ่ไว้จำนวนหนึ่ง
ลูกธนูไม้ไผ่เ่าั้ล้วนถูกเขาเหลาทั้งหมดพร้อมใช้งาน
เมิ่งอู่เพิ่งตระหนักว่า ยามนางออกไปจัดการเื่ต่างๆ ในลานเรือน นางทิ้งมีดตัดไม้ไผ่ไว้ในห้อง และเหลือไม้ไผ่อีกครึ่งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าพอกลับเข้ามา อินเหิงก็ทำธนูให้นางหนึ่งชุด
แสงอรุณรุ่งโรจน์ส่องต้องรูม่านตาของเขาเล็กน้อย ดูเ็าสองส่วนเช่นเคย แต่กลับมีเสน่ห์น่าหลงใหล
เมิ่งอู่เหลียวมองมือของเขาที่พันผ้าพันแผลเอาไว้ ผ้าพันแผลพันปิดาแบนฝ่ามือ เผยให้เห็นแค่นิ้วเรียวงาม
นิ้วมือนั้นลูบไล้ไปตามพื้นผิวไม้ไผ่สีเขียว ขาวผ่องอย่างแท้จริง ทั้งเรียวทั้งทรงพลัง
เมิ่งอู่ผู้หลงใหลในรูปโฉมพลันรู้สึกว่าบุรุษรูปงามผู้นี้ไร้ที่ติ ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าและมือ แม้แต่เรือนผมก็ยังงามกว่าผู้อื่น!
ผู้ใดบอกว่าเขาไร้ประโยชน์ ธนูไม้ไผ่ที่เขาทำออกมาใช้ประโยชน์ได้มากทีเดียว!
แม้อินเหิงไม่ได้มอง เขาก็รู้ว่าเมิ่งอู่ยืนจ้องเขาตรงๆ อยู่เหนือศีรษะดั่งพยัคฆ์เฝ้าดูเหยื่อ [2]
เขาปรับแต่งคันธนูไม้ไผ่อีกครั้ง ใช้มือดึงเชือกที่ทำเป็สายธนู ทดสอบความแข็งแกร่งแล้วกล่าวเสียงอบอุ่นทุ้มต่ำว่า “หากขึ้นเขาแล้วเจอสัตว์ร้าย จะใช้เคียวเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ได้ อาอู่ เ้าใช้ธนูเป็หรือไม่?”
เมิ่งอู่เดินเข้ามารับคันธนูจากมือเขา ก่อนดึงลูกศรออกจากกระบอกหนึ่งดอก วางทาบสายธนู แล้วดึงสายธนูจนตึง แขนเหยียดตรง นิ้วมือคลายออก ลูกศรพุ่งออกจากสายตรงไปยังประตูลานเรือนด้านนอก ลูกศรสั่นไหวเบาๆ
เมิ่งอู่ยกมุมปากแล้วยิ้มคลุมเครือ วงหน้าเปล่งประกายมีชีวิตชีวาแข็งแรง ชวนให้คนจ้องมองไม่วางตายิ่งกว่า่เวลาไหนๆ
นางชม “อาเหิง เ้าเก่งจริงๆ”
อินเหิงหรี่ตา แสงอรุณที่ทาบทอแยกดวงตาสีทองจางแต่สะดุดตาออกเป็สองส่วน “ข้าเพียงพยายามทำสิ่งนี้ขึ้นมา แต่ผู้ที่ทำให้มันเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงก็คืออาอู่”
………..
[1] คำว่าเซิน (参) ที่แปลว่าโสม พ้องเสียงกับคำว่าเซิน (身) ที่แปลว่า ตัว หรือร่างกาย
[2] หมายถึง จ้องมองด้วยความโลภ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้