เช้าตรู่ สามวันถัดมา
ขบวนราชองครักษ์ นางกำนัล และขันทีของแคว้นจิวอวี่ ต่างมาคอยท่าอยู่ที่นอกตำหนักแล้ว
กู่อวี่เสวียนพร้อมเหล่าขุนนาง พากันมารอส่งองค์ชายสามในนามของแคว้นฉีหลาน
พิธีการทั้งหมดเสร็จสิ้นลงแล้ว ทุกคนเพียงรอให้พระราชอาคันตุกะขึ้นรถม้าด้วยความนอบน้อม
มู่หรงจิ่งหลียืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนัก จับจ้องไปยังทางแยกบนถนนอย่างใจจดใจจ่อ รีรอที่จะขึ้นรถม้าอยู่เป็เวลานาน จนองครักษ์จำต้องก้าวไปเอ่ยเตือนเบาๆ “องค์ชาย ได้เวลาเดินทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ขาดคำ ก็มีเสียงรถม้าดังขึ้น องค์ชายสามรู้สึกยินดีนัก แต่เมื่อพบว่าเป็รถม้าของโจวชิงหวา ดวงตาของเขาพลันหม่นแสง
พอรถม้าจอดสนิท โจวชิงหวาก็ะโลงมา แล้วเอื้อมมือไปรั้งม่าน เพื่อให้หนีเจียเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในออกมาได้สะดวก
ตอนนั้นเอง ดวงตาของมู่หรงจิ่งหลีก็เปล่งประกายเจิดจ้า เขารีบสาวเท้าไปข้างหน้า เพื่อยื่นมือไปช่วยพยุงหญิงสาวลงมาอย่างสุภาพ
ส่วนกู่อวี่เสวียน ก็หันไปทักทายโจวชิงหวา
คนของแคว้นฉีหลานและแคว้นจิวอวี่ มองพวกเขาทั้งสี่ด้วยสายตาหลากหลาย
มู่หรงจิ่งหลีโน้มตัวไปใกล้หนีเจียเอ๋อร์เล็กน้อย เพื่อกระซิบถ้อยคำ “ข้าจะรอเ้าเสมอ เมื่อใดที่เป็อิสระ ข้าจะกลับมาหาเ้าโดยเร็วที่สุด!”
แต่หญิงสาวกลับถอยเท้าไปครึ่งก้าวด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนโค้งคำนับอีกฝ่ายท่ามกลางสายตาผู้คน ซ้ำยังพูดเสียงเรียบว่า “องค์ชายสาม ขอให้พระองค์เดินทางโดยสวัสดิภาพเพคะ”
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง มีแต่ความเฉยชาไร้ความรู้สึก ไม่มีแม้กระทั่งความเป็มิตร
มู่หรงจิ่งหลีจึงไม่อาจซุกซ่อนสีหน้าน้อยใจได้ ใบหน้าเขามีแต่รอยยิ้มฝืดฝืน แม้เื่นี้จะทำให้หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าเจ็บสั้นดีกว่าปวดนาน ในเมื่อตนไม่อาจตอบสนองความรู้สึกของเขา ก็ไม่สมควรจะให้ความหวัง
คณะทูตของแคว้นจิวอวี่ค่อยๆ เคลื่อนขบวนจากไป
กู่อวี่เสวียนบอกให้ขุนนางที่อยู่กับตนถอยห่าง พลางดึงโจวชิงหวาแยกไปอีกทาง ปล่อยให้หนีเจียเอ๋อร์ยืนอยู่เช่นนั้น
นางพยายามฉุดรั้งชายหนุ่มไปยังบริเวณลับสายตาผู้คน จากนั้นก็ทำท่าอ้ำอึ้ง ลังเลใจจนยากจะเอื้อนเอ่ย
โจวชิงหวาจึงถามอย่างเร่งเร้า “องค์หญิง ท่านมีธุระอันใดหรือไม่? หากไม่มี ข้าน้อยขอตัวลา”
“เดี๋ยว ข้ามีเื่จะบอกเ้า” หญิงสาวถอนหายใจ เลิกสงวนท่าที รวบรวมความกล้า แล้วโพล่งขึ้นว่า “ชิงหวา ข้าพึงใจในตัวเ้า เหตุใดเ้าไม่ไปขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพี่เล่า?”
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง และปฏิเสธอย่างสุภาพ “ขอบคุณในความเมตตาขององค์หญิง แต่ชิงหวาสถานะต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับท่าน!”
ดวงตาของกู่อวี่เสวียนแดงก่ำ ขณะเอ่ยถาม “เพราะข้าไม่คู่ควรกับเ้า หรือเ้าไม่พึงใจข้า?”
โจวชิงหวาทำอะไรไม่ถูก “ข้า... ข้าหาได้มีใจให้ท่าน”
องค์หญิงน้ำตาไหลพราก แม้มีความในใจจะกล่าว ก็จำต้องกล้ำกลืนคำพูด เนื่องจากพบว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปด้านข้าง ซึ่งมีหนีเจียเอ๋อร์ยืนอยู่ไม่ไกล
สายตาของเขาช่างอบอุ่น ราวกับน้ำค้างแข็งต้องแสงตะวันจนหลอมละลาย ทั้งยังเอ่ยว่า “ในชีวิตนี้ คนที่กระหม่อมรักมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
กู่อวี่เสวียนกัดริมฝีปาก เบือนหน้าหนี แล้ววิ่งออกไปทั้งน้ำตา
ด้านหนีเจียเอ๋อร์ เมื่อเห็นองค์หญิงวิ่งผ่านหน้าไป ก็เริ่มคาดเดาบางอย่างได้ ยิ่งเห็นโจวชิงหวาเดินตามมา ก็ยิ่งมั่นใจ จึงพูดหยั่งเชิงอีกฝ่าย “แม้องค์หญิงใหญ่จะซุกซนเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ใจจริงแล้ว นางเป็คนไม่เลวเลย เหตุใดถึงปฏิเสธเล่า?”
ชายหนุ่มมองมาด้วยสายตาลึกซึ้ง ดวงตาเรียวยาวหลุบลง “เพราะข้ามีคนในใจแล้ว”
หญิงสาวเบิกตากว้าง พลางถามอย่างประหลาดใจ “เป็หญิงสาวคนใดหรือ ที่สามารถเอาชนะองค์หญิงใหญ่ได้?”
โจวชิงหวาเกี่ยวปอยผมซึ่งตกลงมาปรกหน้าผากของนาง ไปทัดไว้ให้ที่หลังใบหู พร้อมยกยิ้มบางๆ แทนคำตอบ
ไม่ว่าหนีเจียเอ๋อร์จะรบเร้าถามสักกี่ครั้งก็ไร้ผล นางจึงได้แต่ยอมแพ้ และก้าวขึ้นรถม้าไปด้วยกันเท่านั้น
ภายในรถม้าอันกว้างขวาง ชายหนุ่มนอนตะแคงข้าง จับจ้องไปยังอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตา
หญิงสาวทนสายตาของเขาไม่ไหว ด้วยรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นางจึงขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า “จะถามอะไรก็ว่ามา แต่ช่วยเลิกมองข้าด้วยสายตาแบบนี้เสียทีเถิด!”
โจวชิงหวาลุกขึ้น ก่อนขยับเข้ามาใกล้อย่างกระตือรือร้น “เมื่อสามวันก่อน มู่หรงจิ่งหลีพูดอะไรกับเ้า?”
พอลมหายใจอุ่นๆ รินรดแก้ม หนีเจียเอ๋อร์ก็หน้าแดงซ่าน ทว่าก็ยังตอบแต่โดยดี “เขาขอให้ข้ากลับไปยังแคว้นจิวอวี่ด้วยกันในฐานะชายาเอก”
“โอ้!” ชายหนุ่มพยักหน้า ขยับเข้าไปใกล้ พร้อมถาม “แล้วเมื่อครู่เล่า?”
“เมื่อครู่ เขาบอกจะรอ...” จากนั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็หยุดกะทันหัน
ด้วยแผ่นหลังของนางแทบจะแนบติดไปกับผนังรถม้าแล้ว หญิงสาวจึงเลิกคิ้ว หันไปจับจ้อง “พิกลนัก! เขาจะพูดอะไรกับข้าก็ช่าง เหตุใดต้องบอกเ้าด้วย?”
“ใครกันที่เที่ยวบอกผู้คนไปทั่ว ว่าข้าเป็พี่ชายของตน แล้วจะแปลกอันใด? หากพี่ชายคนนี้จะไถ่ถามเพราะความเป็ห่วงน้องสาว” โจวชิงหวาแก้ต่าง ก่อนถามต่อ “เ้าไม่ชอบคุณชายที่มีท่าทางอ่อนแอเช่นสวีเพ่ยหราน แม้แต่จิ่งหลี ซึ่งเป็องค์ชายรูปงามและสูงส่ง เ้าก็ไม่พึงใจ เช่นนั้น เ้าชอบบุรุษแบบใดเล่า?”
ใบหน้าที่ขยายใหญ่เพราะความชิดใกล้ ทำให้หญิงสาวแทบจะลืมหายใจ นางผลักเขาออกไป แล้วยื่นหน้าออกจากรถม้า เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์พัดพาความมึนงงให้จางหาย
ชายหนุ่มกางแขนยาวโอบเอวหนีเจียเอ๋อร์ แล้วดึงนางกลับมา เขากอดสาวงามไว้ในอ้อมแขน พลางทวงถามอย่างแ่เบา “เ้ายังมิได้ตอบข้าเลย”
สมัยเยาว์วัย ตนมักจะถูกโอบอุ้มอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย แต่ครานั้นนางยังไร้เดียงสา ไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่าบัดนี้แค่ถูกแตะต้อง ใบหน้าก็พลันขึ้นสีเสียแล้ว
ด้วยไม่อาจสะบัดหลุด ทั้งยังเกรงว่าคนข้างนอกจะได้ยิน หญิงสาวจึงกระซิบกลับไปว่า “พี่ชิงหวา ข้าโตแล้ว ท่านทำเช่นนี้คงจะไม่เหมาะกระมัง!”
ร่างอ่อนนุ่มซึ่งแอบอิงอยู่ในอ้อมอก พร้อมกลิ่นหอมจางๆ ที่กำจายเข้าสู่นาสิก ตลอดจนลมหายใจอันซาบซ่านซึ่งัับริเวณลำคอ ทำให้โจวชิงหวาทำอะไรไม่ถูก ตัวแข็งทื่อ นิ่งงันประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงระเรื่อ แม้แต่หูก็ยังเป็สีชมพู
นี่เป็ครั้งแรก ที่หนีเจียเอ๋อร์เห็นเขาเขินอาย จึงอดมิได้ที่จะใช้นิ้วบีบและลูบติ่งหูทั้งสองข้างของอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อ “อะไรกันนี่! คุณชายโจวผู้อ่อนโยน ซ้ำยังผ่านสตรีมานับไม่ถ้วน ก็เขินอายเป็ด้วยหรือ?”
จู่ๆ ชายหนุ่มก็คอแห้งผาก เขามองสบไปยังดวงตาใสและรอยยิ้มกว้างของนาง ผิวขาวราวหิมะแรกนั้นช่างงดงามนัก หัวใจของโจวชิงหวาเสมือนถูกคลื่นซัดจนปั่นป่วน ตื่นเต้นจนอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่มือที่ยกขึ้นพลันชะงักค้าง เมื่อถูกจิตใจใฝ่ดียับยั้งเอาไว้
ชายหนุ่มยกนางลงจากตักไปนั่งข้างๆ ตัว พลางจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยเสียงต่ำพร่า “หนีเจียเอ๋อร์ ตอบมาตามตรง!”
เมื่อเห็นท่าทีอึดอัดใจของเขา หนีเจียเอ๋อร์ก็อดหัวเราะมิได้ ทั้งยังล้อเลียนอีก “คุณชายโจว แสดงว่าท่าทีเ้าชู้ที่ผ่านมาของเ้า เป็แค่การแสดงอย่างนั้นหรือ? เ้าเล่ห์นัก!”
ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้ หมายจะลูบติ่งหูที่ขึ้นสีนั้นอีกครา โดยไม่ปรานีปราศรัย
โจวชิงหวาจับมืออีกฝ่าย พลางหรี่ตาลงดั่งนักล่า “หนีเจียเอ๋อร์ เ้ากำลังทำให้ข้าหมดความอดทน!”
ร่างบางถูกกดลง หญิงสาวไม่อยากรนหาที่โดยการพาตัวเองขึ้นแท่นปะา จึงคลี่ยิ้มอย่างร่าเริง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “อย่าโกรธเลย ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น!”
ชายหนุ่มกลับมานั่งตัวตรง สีแดงที่แต่งแต้มใบหูจางหาย ส่วนบุรุษเ้าของร่างกลับไม่แม้แต่จะปริปาก จนกระทั่งไปส่งหญิงสาวที่จวนสกุลหนีแล้ว เขาก็ยังใช้แขนเสื้อคลุมหน้าขาของตนเอาไว้ คล้ายจะซ่อนเร้นความลับน่าอับอายบางอย่าง ที่ไม่อาจให้นางเห็นได้...