รางน้ำไม่ต้องปิด หลินหวั่นชิวออกแบบบ่อบำบัดน้ำเสีย น้ำจากชีวิตประจำวันถูกกรองทีละชั้นแล้วไหลลงแม่น้ำ
ยุคโบราณยังไม่มีผลิตภัณฑ์เคมี น้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจึงไม่ต่างกับน้ำสะอาด ไม่ทิ้งมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
หลินหวั่นชิวเป็คนยุคปัจจุบัน รู้ว่าหากสิ่งแวดล้อมถูกทำลายจะเกิดผลลัพธ์น่ากลัวเพียงใด
ดังนั้น เมื่อสร้างบ้านใหม่ นางจึงให้ความสำคัญกับปัญหาด้านนี้มาก
ยุ่งอยู่กับงานที่บ้านใหม่ได้ครึ่งวัน หลินหวั่นชิวก็ตามเจียงหงหย่วนกลับอำเภอ เจียงหงหย่วนไปบ่อน นางแยกไปซื้อผ้าสีสันต่างๆ จากร้านผ้า ส่วนใหญ่เป็ผ้าฝ้าย
ให้คนช่วยส่งกลับไปเสร็จก็ปิดประตูโยนผ้าพวกนี้เข้าห้องหัตถการบนเสียนอวี๋ หยิบสมุดจดเล่มเล็กของตัวเองออกมา กรอกขนาด เลือกรูปแบบ ทำผ้าม่าน ม่านเตียง ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ปลอกผ้านวม ผ้าปูโต๊ะ เบาะรองเก้าอี้ ฯลฯ
ทำเสร็จหมดแล้วยังเหลือผ้าอีกจึงทำเสื้อผ้าถุงเท้าสองสามชุดให้คนทั้งบ้าน
ทั้งหมดถูกบรรจุเข้าหีบห่อใหญ่หลายใบ
เห็นว่ายังมีเวลาเหลือ หลินหวั่นชิวพายายสวีไปร้านขายของเบ็ดเตล็ด ร้านเครื่องเคลือบ ซื้อของใช้ในครัวและเครื่องปรุงทุกแบบครบชุด
ความรู้สึกที่จับจ่ายได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเงินจะไม่พอช่างสะใจเสียจริง!
ขอเพียงเงื่อนไขเอื้ออำนวย สตรีก็เป็ยอดนักซื้อโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
ซื้อของในรายการใกล้ครบแล้ว หลินหวั่นชิวรู้สึกว่าบ้านใหม่หลังใหญ่ ควรมีคนอยู่ด้วยจึงจะดี
ไม่พูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่หน้าที่เฝ้าประตู กวาดบ้าน ทำความสะอาดซักผ้าก็ควรมีสาวใช้สักคน
ให้นางกวาดบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นคนเดียว…ขออภัย นางี้เีทำจริงๆ
คืนนั้นเมื่อเจียงหงหย่วนกลับ นางหารือกับเขา ให้เขาซื้อบ่าวใช้เพิ่มอีกสองคน
เจียงหงหย่วนตอบตกลงทันที เขารู้สึกว่าควรซื้อบ่าวใช้เพิ่มเช่นกัน
ไม่เช่นนั้นภรรยาตัวน้อยดูแลบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นคนเดียวคงได้เหนื่อยตายเป็แน่
“หย่วนเกอ ตอนนี้พวกเราไม่ขาดแคลนเงิน ท่านไปถามเ้าของบ้านเช่าดูดีหรือไม่ว่าขายบ้านหลังนี้หรือไม่? ถ้าขายก็ซื้อ แต่ถ้าไม่ขายก็หาซื้อบ้านหลังอื่น”
หลินหวั่นชิวอยากซื้อบ้านหลังนี้ อันอี้จวีเปิดกิจการอยู่ที่นี่ ลงทุนตกแต่งไปไม่น้อย นางไม่อยากย้าย
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปถาม” เจียงหงหย่วนโอบหลินหวั่นชิวเข้าอ้อมอก “นอนเถิด พรุ่งนี้เช้ายังต้องกลับหมู่บ้านอีก”
แม้เขาจะชอบที่ภรรยาตัวน้อยจุดตะเกียงรอเขากลับมา แต่เขาก็สงสารที่นางต้องอดหลับอดนอน
เจียงหงหย่วนเหนื่อยเช่นกัน ที่บ่อนหาตัวคนกู้เงินไม่เจอ เหลียงหู่ตำหนิเขาต่อหน้าทุกคน สั่งให้เขารีบหาตัวเฮ่อตงเวยเพื่อเก็บหนี้
เจียงหงหย่วนไปหาปาหลีว์จื่อ บอกให้อีกฝ่ายช่วยหาเฮ่อตงเวย ปาหลีว์จื่อรับปากแบบขอไปที
ปาหลีว์จื่อรู้สึกได้ใจ นี่เป็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ดอกเบี้ยยังไม่ค่อยสูง ไว้ดอกเบี้ยสูงเกินควรแล้วเฮ่อตงเวยจะออกมาเอง
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนในบ่อนรู้ว่าเจียงหงหย่วนทำงานพลาด มีคนมาปลอบใจ มีคนสนุกสนาน มีคนซ้ำเติม
เจียงหงหย่วนจำไว้หมด
แน่นอนว่านี่เป็สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว
แต่การเล่นละครเหน็ดเหนื่อยกว่าล่าสัตว์เสียอีก
เหนื่อยจนไม่มีกะจิตกะใจคิดทะลึ่ง คว้าร่างนุ่มที่คิดถึงเข้าอ้อมกอด สูดดมกลิ่นหอมของภรรยาตัวน้อยแล้วหลับอย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ออกจากบ้านั้แ่ฟ้ายังไม่สว่าง รถล่อบรรทุกของไว้เต็มคัน หลินหวั่นชิวห่มขนจิ้งจอกสีขาวนั่งขัดสมาธิกับเจียงหงหย่วนอยู่ด้านนอก ใบหน้าดวงน้อยซุกในขนจิ้งจอก
ตอนแรกนางไม่อยากหยิบมาใส่เพราะต้องกลับหมู่บ้านไปทำงาน แต่ชายฉกรรจ์จะให้นางใส่ให้ได้
ช่วยไม่ได้ หลินหวั่นชิวได้แต่หยิบเสื้อกันหนาวมาอีกตัว เอาไว้เปลี่ยนตอนลงรถ
“หนาวหรือไม่?” ระหว่างทาง เจียงหงหย่วนถามหลินหวั่นชิว
หลินหวั่นชิวส่ายหน้า “ไม่หนาว” มีก็แต่โดนลมเย็นบาดจนเจ็บหน้า
เจียงหงหย่วนถูมือหลินหวั่นชิว พบว่ามือนางอุ่นดี กระนั้นเขายังคงจับมือนางเข้ามาในเสื้อตัวเอง “ถนนเป็หลุมเป็บ่อ กอดข้าไว้ จะได้ไม่ร่วงลงไปจนเสื้อขนจิ้งจอกเสียหาย”
หลินหวั่นชิวรู้ว่าเขาวางมาด อยากแก้นิสัยนี้ของเขา นางชักมือออกแล้วยิ้มเยาะว่า “เช่นนั้นข้าไม่ใส่แล้ว ถึงจะร่วงก็ร่วงเพียงตัวข้าเอง!”
พูดจบก็ทำทีเป็ถอดเสื้อขนจิ้งจอก
เจียงหงหย่วนกดมือนาง มือนางที่กำลังปลดกระดุมบริเวณหน้าอก เมื่อมือของชายฉกรรจ์กดลงมา…ไอ๊หยา ััช่างอ่อนนุ่มราวกับใยฝ้าย
ในใจปลาบปลื้ม แต่สีหน้ากลับดำทะมึน “ทำกระไร อย่าดื้อ!”
เหอะ สตรีที่กำลังมีความรักคนใดไม่งี่เง่าบ้าง?
ไม่ใช่บุรุษเสียหน่อย!
การชวนทะเลาะแบบไม่มีเหตุผลเป็ทักษะที่ไม่ต้องมีอาจารย์สอนก็สามารถเป็เองได้ของสตรีที่มีความรักทุกคน
“เหตุใดเล่า ท่านเป็ห่วงขนจิ้งจอก ข้าก็ต้องรักษาให้ดี ดูแลด้วยชีวิตของข้า”
พูดจบก็ออกแรงที่มือ
น่าเสียดาย พละกำลังที่แตกต่างกันทำให้นางดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์
ในทางกลับกัน ชายฉกรรจ์ใช้มืออีกข้างโอบเอวนางเพราะกลัวจะตกลงไป
หลินหวั่นชิวถูกเขารวบไว้แน่น
“ใช่ ข้าเป็ห่วงขนจิ้งจอก!” เจียงหงหย่วนพูด
“ท่าน…”
“ขนจิ้งจอกพังแล้วเ้าจะหนาว!” ชายฉกรรจ์เสริมอีกหนึ่งประโยชน์ “ถ้าเ้าหนาวหรือร่วงลงไป ข้าคงไม่ปวดใจแต่ใจสลายเลยต่างหาก!”
ได้…
อารมณ์ขุ่นมัวเต็มอกสลายหายไปทันที
บอกว่าจะสั่งสอนชายฉกรรจ์ กลายเป็ว่าถูกชายฉกรรจ์ย้อนกลับเสียเอง
ภายในใจอบอุ่น หวานชื่นเหลือคณา
“ปากมันลิ้นลื่น[1]” หลินหวั่นชิวพอใจกับคำตอบของเจียงหงหย่วนมาก ความรักก็เช่นนี้ ต้องปรับตัว (สั่งสอน) ซึ่งกันและกัน
“งั้นหรือ? ข้าไม่เห็นรู้สึกเลย เ้าลองชิมอีกทีดีหรือไม่” เจียงหงหย่วนพูดทะลึ่งหน้าตายแล้วกัดปากภรรยาตัวน้อย
ไอ๊หยา…
โชคดีที่่เดือนสิบสองไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาบนท้องถนนในชนบท
มิเช่นนั้นคงได้ขายหน้าตายเป็แน่
นี่ช่างเป็จูบที่ลึกซึ้งเสียจริง เขาลิ้มชิมหลินหวั่นชิวจนทั่วทั้งในทั้งนอก
รถล่อเคลื่อนไปบนถนนลูกรังช้าๆ ถึงจะปล่อยบังเหียน ล่อก็ไม่หนีไปที่ใดเพราะมีถนนแค่เส้นเดียว
“ปากมันลิ้นลื่นหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ปล่อยนาง ดวงตาดำขลับจ้องมองมาอย่างรอคำตอบ
เจอเช่นนี้เข้าไป หลินหวั่นชิวไม่กล้าเล่นซนแล้ว ยอมจำนนแต่โดยดี
“ไม่นี่ ผู้ใดบอกกัน? ท่านไม่ปากมันลิ้นลื่นสักนิด!”
“ข้าปากมันลิ้นลื่นมากต่างหาก ดูเหมือนภรรยาข้าจะยังลิ้มรสไม่ชัดเจน เช่นนั้นลองอีกรอบ!”
หลินหวั่นชิว “…”
อยากฟาดเ้าคนน่าไม่อายนี่เสียจริง!
เชิงอรรถ
[1] ปากมันลิ้นลื่น(油嘴滑舌) แสดงถึงความลื่นไหลเฉไฉไปเรื่อยของฝีปาก เทียบได้กับคำว่า "กะล่อน" ที่หมายถึง พูดคล่องแต่ไม่ค่อยเป็ความจริง