หลังภารกิจการเอาคืนครั้งนี้เสร็จสิ้น เจิ้งหยวนก็เก็บข้าวของเข้าไปในมิติ เธอถอดชุดกระโปรง และวิกผมออก ล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า และเปลี่ยนกลับมาใส่เสื้อผ้าตัวเดิม ก่อนออกจากมิติแล้วรีบตรงกลับบ้าน
เจิ้งเจวียนยังไม่หลับ ั้แ่เจิ้งหยวนออกไป หัวใจเธอก็เต้นตึกตักไม่เป็จังหวะอย่างคนตื่นตัวตลอดเวลา พอลองหลับตาลงสมองก็เริ่มจินตนาการว่าเจิ้งหยวนแต่งตัวเป็ผีสาวอย่างไรไม่หยุดหย่อน เื่ที่พี่สาวรองแอบบอกนั้นทำเธอสงสัยใคร่รู้มากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะกลัวถ่วงงานของเจิ้งหยวนจนเผยพิรุธเสี่ยงให้เจิ้งเทียนหู่จับได้ เธอคงแอบตามไปนานแล้ว
ยิ่งคิด ยิ่งนอนไม่หลับ ซ้ำร้ายสมองกลับแจ่มใสขึ้นเรื่อยๆ อาจจะผ่านไปนานแล้ว หรือผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวไม่รู้ อยู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงคล้ายบานประตูขยับ เธอะโพรวดจากเตียงและวิ่งตรงไปเปิดประตูให้เจิ้งหยวน
“พี่——”
“ชู่...” เจิ้งหยวนเบียดตัวเข้ามา พร้อมเหวี่ยงมือไปปิดประตู ก่อนเหลือบมองเตียงข้างหลังเจิ้งเจวียนและถาม “พวกเขาไม่ตื่นกันใช่ไหม?”
“ไม่ค่ะ” เจิ้งเจวียนเอ่ย “พี่ล่ะ? ทางฝั่งพี่ราบรื่นไหม?”
เจิ้งหยวนยกยิ้ม สีหน้าท่าทางดูภาคภูมิใจอย่างยิ่ง “แน่นอนอยู่แล้ว” เธอตบบ่าเจิ้งเจวียนเบาๆ พลางว่า “รีบไปนอนเถอะ ไม่หนาวหรือไง อย่ายืนโป๊ที่นี่เลย”
เจิ้งเจวียนไม่ดื้อรั้นรีบหันหลังกลับไปที่เตียงแล้วสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม เจิ้งหยวนก็ตามขึ้นไปนอนเช่นกัน
“พี่ บอกฉันหน่อยสิ พี่แต่งเป็ผียังไง แล้วพี่แต่งผีหลอกเจิ้งเทียนหู่ทำไมเหรอ?” เจิ้งเจวียนอึดอัดใจแทบตายจนนอนคิดมาเกือบค่อนคืน โพล่งถามไปไม่หยุด
เฝิงิเยว่อับอายเกินกว่าจะพูดเื่นี้ เจิ้งเทียนิก็รู้สึกเสียหน้า จึงปิดปากสนิท ไม่ยอมบอกคนอื่นๆ โดยเฉพาะเจิ้งเจวียนที่ยังเป็เด็กในสายตาพวกเขา แต่เจิ้งหยวนกลับคิดว่าบอกไปก็ไม่เสียหายอะไร เจิ้งเจวียนไม่ใช่เด็กแล้ว รู้มากหน่อยจะเป็ประโยชน์ต่อตัวเธอเอง เจิ้งหยวนเลยตอบตามตรงด้วยเสียงแ่เบาราวกระซิบ “เจิ้งเทียนหู่ชอบพี่สะใภ้พวกเรา”
“อะไรนะ?” เจิ้งเจวียนอุทาน เปลือกตากระตุกทันที
“ชู่...” เจิ้งหยวนกลอกตามองเธอ “เบาเสียงหน่อย เจิ้งเทียนหู่ชอบพี่สะใภ้แล้วยังขู่พี่สะใภ้ให้นอนกับเขา ฉันเลยไปสั่งสอนเขามา…”
“น่ะ... นั่นมัน…” เจิ้งเจวียนไม่อยากจะเชื่อ ทัศนคติสามอย่าง [1] ของเธอได้รับการกระทบกระเทือนเข้าอย่างจัง “เขา เขา…”
“เจวียนจื่อ ฉันจะบอกให้นะ บนโลกใบนี้มีผู้ชายทุกรูปแบบนั่นแหละ ไม่เพียงผู้ชายน่ารังเกียจอย่างเจิ้งเทียนหู่เท่านั้น ยังมีพวกผู้ชายชอบพูดจาหยอดคำหวาน แต่ความจริงไร้ความสามารถและนิสัยเสียด้วย ต่อไปตอนแกโตขึ้นแล้วอยากคบหาใคร ต้องระวังให้มากๆ ละ” ่นี้เจิ้งหยวนจะสอนน้องสาวนิดหน่อยทุกครั้งที่มีโอกาส
เจิ้งเจวียนค่อนข้างเขินอาย เธออายุสิบห้าปีถึงวัยมีความรักแล้ว เลยมโนเพ้อพกบ้างว่าจะพบผู้ชายเช่นไรในอนาคต แต่เธอแค่แอบคิดในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมาคล่องปาก พอเจิ้งหยวนพูดใส่แบบนี้ จึงทำตัวไม่ถูกนัก “พี่พูดอะไรน่ะ…”
เจิ้งหยวนยิ้มให้แทนคำตอบ
ทั้งสองเงียบกันอยู่ชั่วขณะ ผ่านไปสักพัก เจิ้งหยวนจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น “เจวียนจื่อ เื่คืนนี้แกห้ามบอกใครเด็ดขาด รวมถึงเื่พี่สะใภ้ด้วย เข้าใจไหม”
เจิ้งเจวียนปากสว่างแค่ครั้งเดียว ก็สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้พี่สาวแล้ว เธอไม่กล้าพูดเื่ในครอบครัวอีกหรอก เธอบุ้ยปาก “พี่ ฉันไม่ได้โง่นะ”
“อีกอย่าง แกแกล้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นกับพี่ชายพี่สะใภ้เราด้วย พวกเขาไม่อยากให้แกรู้เื่น่ะ”
เจิ้งเจวียนขานรับอย่างว่าง่าย “อื้อ เข้าใจแล้ว”
ท่ามกลางราตรีกาลอันยาวนาน เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าจวบจนพระจันทร์ลาลับ แทนที่ด้วยดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าบ่งบอกถึงวันใหม่ เมื่อเสียงไก่ขันแรกดังขึ้น เสียงอื่นๆ ในหมู่บ้านก็เริ่มดังให้ได้ยินด้วยเช่นกัน เป็สัญญาณแห่งการเริ่มต้นชีวิตอันแสนวุ่นวาย แต่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
โทรโข่งกระจายเสียงของกองดังปลุกสมาชิกชุมชนทุกคน กลุ่มเล็กๆ ต่างรวมตัวกันเพื่อเริ่มทำงาน เวลานี้ยังไม่ถึงหน้าเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง งานในไร่นาเลยไม่เยอะเท่าไร เมื่อเด็กและสาวๆ ไม่มีงานทำก็มักพากันขึ้นเขาไปตัดหญ้าเลี้ยงหมู
แต่วันนี้กลับแตกต่างจากวันอื่นๆ
“เฮ้ พวกเธอดูกระท่อมนั้นสิ ข้างบนเขียนตัวอักษร ‘สี่’ ไว้ใช่ไหม?” อยู่ๆ พี่สะใภ้ไหลฝูก็โพล่งขึ้นพร้อมชี้กระท่อมมุงหญ้าที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก
สตรีชนบทยุคสมัยนี้ไม่รู้หนังสือกันหลายคน แต่ต่อให้ไม่รู้หนังสือก็ยังรู้จักตัวอักษร ‘สี่’ เพราะใครแต่งงานต้องติดตัวอักษรนี้ไว้ในบ้านกันทุกครอบครัว
ผู้หญิงสองสามคนใกล้ๆ กำลังก้มตัวลงตัดหญ้าอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สะใภ้ไหลฝูจึงพากันเงยหน้าขึ้นมองตามทิศที่เธอพูด เพียงแค่กวาดตามองคร่าวๆ แวบแรกก็ใจนสะดุ้งเฮือกแล้ว
“นั่นไม่ใช่ ไม่ใช่… กรท่อมที่คนคนนั้นเคยอยู่มาก่อนเหรอ?” มีผู้หญิงคนหนึ่งเปรยขึ้นมาเสียงแ่เบา เธอเป็คนที่อยู่ในหมู่บ้านมานานหลายปี จึงรู้เื่ราวโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นที่กระท่อมหลังนั้น“ใครเหรอ?” คนถามเป็สะใภ้สาวที่แต่งเข้ามาใหม่
“ก็อี๋เหนียง [2] จากตระกูลใหญ่ที่โดนไล่กลับมาหมู่บ้านเราน่ะสิ ลูกสาวของคนตาบอดแซ่หวัง!”
“เธอตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ? เกิดอะไรขึ้นกัน?” มีคนรู้เหตุการณ์ภายในมาเพิ่มอีก
“ไม่รู้สิ เข้าไปดูก็น่าจะรู้นี่” พี่สะใภ้ไหลฝูค่อนข้างใจกล้า เธออยากเข้าไปดู แต่โดนดึงแขนเสื้อไว้ก่อน
“อย่าไปเลย เธอไม่เคยได้ยินเหรอว่าที่นั่นมีผี!”
“ผีเผออะไรกัน คอมมูนสอนแล้วนี่ว่าให้เชื่อวิทยาศาสตร์! พวกเธอน่ะหลงงมงายไปเอง”คนเหล่านี้พูดกันไปสารพัดสารเพ แต่ในใจต้องมีขนลุกแน่ เื่นี้มันผิดปกติจริงๆ ไม่มีใครไปกระท่อมหลังนั้นมาหลายปี แล้วใครเป็คนเขียนตัวอักษร ‘สี่’ บนหน้าต่างล่ะ? ทว่ากลัวก็ส่วนกลัว แต่ในใจคนเหล่านี้ก็ยังสงสัยใคร่รู้เหมือนมีแมวข่วนยิบๆ อยู่ดี
โชคดีที่คนเยอะทำให้ความกล้าเพิ่มพูนขึ้น พวกเธอเลยผลักประตูเข้าไป
เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดตอนเปิดประตูค่อนข้างเสียดแก้วหูเลยทีเดียว
ทันใดนั้น คนที่เข้าไปก่อนพลันกรีดร้องอย่างใจนเซถอยมาข้างหลัง คนตามมาสงสัยเลยชะโงกหน้ามาดู เพียงแวบเดียวก็ตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ!
กระท่อมทั้งหลัง! กระท่อมทั้งหลัง! เต็มไปด้วยอักษร ‘สี่’ สีแดงฉาน สีแดงเหมือนโลหิตสะดุดตาชวนให้ผู้พบเห็นต่างหายใจไม่ออกราวกับโดนน้ำทะเลขนาดมหาศาลกดทับ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมีผู้ชายเปลือยกายนอนอยู่บนเตียงดินทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกระท่อม! ผู้ชายคนนั้นโดนจัดเป็ท่าปลาดาว บนร่างอันเปลือยเปล่าก็เขียนตัวอักษร ‘สี่’ ไว้เช่นกัน เหมือนฉากพิธีกรรมบูชายัญชั่วร้ายอะไรสักอย่าง โดยมีผู้ชายคนนี้เป็เครื่องเซ่นที่ผีสาวกระท่อมนี้เลือก
“พระเ้าช่วย พระเ้าช่วย!”
ภาพเบื้องหน้าะเืใจและน่ากลัวมากเสียจนผู้หญิงหลายคนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นเนื้อตัวเปลือยเปล่า มัวแต่ร้องอุทาน ผ่านไปหลายวินาทีกว่าจะรู้ตัวว่ามีชายคนหนึ่งอยู่ เป็ผู้ชายเปลือยล่อนจ้อน!
ดังนั้น ผู้หญิงทุกคนเลยหวีดร้อง “์ คุณพระช่วย!” กันอีกระลอก แล้วรีบถอยกรูดออกจากกระท่อมกันอุตลุดทันทีที่ตั้งสติได้
ต่างคนต่างสับเท้าวิ่งหนีกันหมด ด้วยกลัวอยู่รั้งท้ายแล้วจะโดนผีสาวในกระท่อมจับตัวไป แม้จะมองไม่เห็นกระท่อมมุงหญ้าหลังนั้นแล้ว ก็ยังไม่ผ่อนฝีเท้าลง
เมื่อวิ่งกลับมาถึงหมู่บ้าน พอชาวบ้านชาวช่องต่างเห็นท่าทางแปลกประหลาดของพวกเธอจึงเอ่ยถาม “พวกเธอเป็อะไรกันน่ะ ทำอย่างกับเจอผี”
ครั้นสะใภ้ไหลฝูเห็นว่าคนพูดคือสามีตัวเอง จึงวางมือลงบนสะโพกแล้วพูดหลังวิ่งกระหืดกระหอบมา “ก็— ก็เจอผีน่ะสิ!” เธอชี้ไปทางูเา “ทางนั้น กระท่อมมุงหญ้าทางนั้น คน— คนตาย!”
“หา?” อาไหลฝูสะดุ้งเฮือก เขาแบกจอบอยู่บนบ่า มือไม้พลันอ่อนจนจอบตกลงพื้นเกือบกระแทกเท้าคนข้างหลัง
อาสะใภ้ไหลฝูเลียริมฝีปากแห้งแตกและเอ่ยซ้ำอีกรอบ “ฉันบอกว่ามีคนตายบนเขา!”
ผู้ชายหลายคนที่ตามอาไหลฝูมาก็ใไม่ต่างกัน มีคนหนึ่งถามขึ้นว่า “อะไรนะ? จริงเหรอ? บนเขามีคนตายจริงๆ น่ะเหรอ? ตายยังไงล่ะ? ตกเขาตายหรือเปล่า?”
ผู้หญิงทุกคนที่ยังติดตาฉากน่าสะพรึงกลัวจากกระท่อมมุงหญ้าทำหน้าสยอง ส่ายหัวโดยพร้อมเพรียงกัน
“เปล่าๆ ไม่ได้ตกลงมาตาย”
“สู้ตกลงมาตายเสียยังดีกว่า!”
“มันน่ากลัวมาก!”
“ใช่ๆ น่ากลัวเกินไปแล้ว”
ปฏิกิริยาแบบนี้ไม่ปกติเอาเสียเลย! พวกผู้ชายต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าสับสนงงงวย
อาสะใภ้ไหลฝูจึงพูดรวบรัดตัดจบ “คุณ คุณพาคนไปดูก็จะรู้เอง อยู่ตรงกระท่อมโทรมๆ ของลูกสาวคนตาบอดแซ่หวังเมื่อก่อนนั่นแหละ พระเ้าช่วย!” เธอตบหน้าอกตัวเองเบาๆ ยังใจหายมาถึงตอนนี้
ไม่ว่าจะตายอย่างไร แต่มีคนตายในหมู่บ้านก็นับเป็เื่ใหญ่อยู่ดี อาไหลฝูเลยบอกคนอื่นๆ “เฮ้ เร่งมือกันหน่อย ให้คนไปเรียกหัวหน้ามา แล้วก็เรียกเสมียนกองมาด้วยเลย”
หลังแยกย้ายกันออกไปตามคน พวกผู้หญิงก็ค่อยๆ สงบลง
หนึ่งในนั้นจึงโพล่งถามขึ้น “นี่ พวกเธอว่าคนนั้นน่ะตายหรือยัง?”
“ตายแล้วมั้ง? น่าจะตายแล้วนะ เืเยอะขนาดนั้น…”
“นั่นสิ คงตายแล้วละ…”
เชิงอรรถ
[1] ทัศนคติสามอย่าง หมายถึง ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า ซึ่งมีกล่าวว่าหากทัศนคติต่อสามอย่างนี้ต่างกัน ก็ไม่ควรคบหากัน
[2] อี๋เหนียง หมายถึง ตำแหน่งอนุภรรยา เป็คำเรียกเมียน้อยของนายท่าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้