บทที่ 172 เมฆาสิบทิศ[1]
ดวงตะวันสีแดงเปรียบเสมือนไฟร้อนแรงที่ส่องแสงไปบนพื้นโลก
คลื่นความร้อนที่แผ่กระจายออกมา เพิ่มความแห้งให้กับสภาพอากาศที่เย็นลงเล็กน้อย
“ฟิ้ว——”
ลมพัดผ่าน่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้และต้นไม้หลายพันต้นพลิ้วไหว ใบไม้ที่ตายแล้วเหลืองอร่ามอ่อนแรงร่วงโรย
วันนี้ มีเสียงะโมากมายในเมืองชุยเสวี่ย ถนนหนทางว่างเปล่า แลดูมีชีวิตชีวา ผู้คนมากมายต่างคึกคักราวกับคลื่นโหม เร่งรีบไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เป็ปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ร้านรวงปิดรับลูกค้า ผู้คนออกจากบ้าน ขุนนางนั่งรถม้าด้วยความเร็วสูง เมื่อมองขึ้นไป พวกเขาเห็นร่างนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนที่อยู่ในอากาศ เนืองแน่นขนัด เป็สายน้ำไม่รู้จบ
กระทั่งในบางครั้ง ยังสามารถเห็นผู้แข็งแกร่งขั้นพื้นพิภพอยู่บนท้องฟ้าใน่เวลาสั้นๆ
ยามนี้ ทั้งคนธรรมดาและผู้คนในโลกพลังยุทธ์ล้วนพากันไปที่เดียวกันอย่างไม่ขาดสาย
สถานที่แห่งนั้น เป็ศูนย์กลางของเมืองชุยเสวี่ย ศาลเ้าชุยเสวี่ย
“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!” ฉู่อวิ๋นที่สวมหน้ากากผีถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้
วันนี้ เนื่องจากหลิงเฟิงต้องเตรียมขบวนรถม้างานแต่งและเื่การยักย้ายเ้าสาว ฉู่อวิ๋นจึงทำได้เพียงปลอมตัวเป็ซิวหลัวหน้าผีและไปที่วัดชุยเสวี่ยกับหลิงจื้อ
โยวกู่จือซ่อนตัวอยู่ในวงแหวนอวกาศของหลิงจื้อ วันนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายมารวมตัวกัน เขาไม่สะดวกออกมา
“ท่านผู้เฒ่า ศาลเ้าชุยเสวี่ยแห่งนี้คือสถานที่สูงสุดจริงหรือ?” ฉู่อวิ๋นถามอย่างสงสัยขณะเดินผ่านจัตุรัสที่เต็มไปด้วยผู้คน
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ใช่” หลิงจื้อยิ้มแล้วตอบว่า “ว่ากันว่า ภายในศาลเ้าชุยเสวี่ยมีรูปปั้นหินประดิษฐานอยู่ ตำนานเล่าว่ามีหญิงสาวได้กลายเป็เทพยุทธ์ที่นี่เมื่อหลายพันปีก่อน”
“ยุทธ์...เทพยุทธ์! นี่คือที่แห่งการบรรลุเป็เทพของเทพยุทธ์หรือ?” ฉู่อวิ๋นประหลาดใจ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลิงจื้อก็ส่ายหัวและยิ้มต่อ “จริงๆ แล้ว ตำนานนี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกสร้างขึ้น เนื่องจากไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่แน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะตรวจสอบความถูกต้องของตำนานนี้ได้”
“อันที่จริง เมื่อนานมาแล้ว คราที่เมืองชุยเสวี่ยยังคงเป็ดินแดนป่าเถื่อน ศาลเ้าชุยเสวี่ยแห่งนี้ก็เป็เพียงวัดที่ใกล้พังทลายเท่านั้น”
“แต่ในเวลานั้น ผู้คนตกอยู่ในความทุกข์ยาก ชีวิตน่าสังเวช พวกเขาต้องระวังการโจมตีจากสัตว์ปีศาจที่อยู่รอบๆ หรือการรุกรานของคนป่าเถื่อนอย่างต่อเนื่อง”
“ดังนั้น ภายใต้ภาวะนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็จะไปที่วัดเพื่อสักการะและค้นหาที่ยึดเหนี่ยวทางิญญา เป็ผลให้ธูปที่นี่ไม่เคยมอดกลิ่นและกลายเป็ศูนย์กลางของเมืองชุยเสวี่ย”
จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็เข้าใจ พยักหน้า และพูดว่า “ที่แท้เป็เช่นนี้”
ฉับพลัน ผู้เฒ่าหลิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “แต่พอตระกูลเสวี่ยมาหยั่งรากที่นี่ และพัฒนาเมืองชุยเสวี่ยให้เจริญงดงาม วัดชุยเสวี่ยนี้จึงกลายเป็ศาลเ้า และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปอีก”
“สถานที่แห่งนี้จะใช้เฉพาะในวันพิเศษที่จำเป็เพื่อบูชาเทพเ้าและพระโพธิสัตว์ หรือเมื่อมีการจัดงานใหญ่ที่จำต้องดึงดูดความสนใจของคนทั้งเมืองเท่านั้น”
ฉู่อวิ๋นใเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าตระกูลเสวี่ยให้เกียรติกับตระกูลฉู่เพื่อประกาศคู่แต่งงานไม่น้อย
ในเวลานี้ ชายชราและชายหนุ่มยังคงเดินต่อไปไปข้างหน้า มองเห็นจัตุรัสขนาดใหญ่ของศาลเ้าชุยเสวี่ยนั้นเต็มไปด้วยผู้คนแ่า อัดแน่นอยู่ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ล้อมรอบเวทีที่ว่างเปล่า และบริเวณโดยรอบก็มีเสียงดังมาก
ด้านหน้ามีที่นั่งเรียงรายกันสวยงามสะดุดตา ซึ่งจัดไว้ให้แขกผู้มีเกียรติได้นั่ง
แขกเหล่านี้ล้วนมาจากกองกำลังที่โดดเด่นทางตอนเหนือของราชวงศ์เซี่ยตะวันออก พวกเขาอาจเป็เ้าสำนักของสำนักใหญ่หรืออาจเป็ผู้นำตระกูลฝึกฝนยุทธ์
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีชายหญิงบางคนที่นั่งอยู่ในที่นั่งนั้นด้วย ซึ่งเป็ลูกหลานของสำนักใหญ่และตระกูลที่ว่านั้น
แน่นอนว่ายังมีหนุ่มสาวที่ล้มเหลวในการเชื่อมสัมพันธ์กับคนงามตระกูลฉู่รวมอยู่ในที่นี้ด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมแพ้ แต่ก็ทำได้แค่มอง ใครใช้ให้ภูมิหลังของพวกเขาไม่แข็งแกร่งเท่ากับทั้งสามกองกำลังหลักเล่า?
แม้ในแง่ของความแข็งแกร่งส่วนบุคคล ก็ยังมีช่องว่างอย่างมากระหว่างคนเหล่านี้กับอัจฉริยะทั้งสามคนนั้น
เมื่อมองต่อไป หลังจากพื้นที่อันสูงส่ง ก็ยังมีตำแหน่งธรรมดาๆ อยู่บ้าง คนมีชื่อเสียงในเมือง ผู้ฝึกฝนทั่วไปที่มีความแข็งแกร่งเป็ที่ยอมรับ และบางคนจากกองกำลังขนาดเล็กต่างก็นั่งอยู่ที่นี่ ทำให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
“หืม? ซินเอ๋อร์มาแล้วหรือ?” ฉู่อวิ๋นมองไปรอบๆ อย่างสบายๆ ก่อนจะเห็นสาวสวยร่างเพรียวบางนั่งอยู่ที่ด้านหนึ่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“ลูกสาวคนดีของข้า วันนี้พ่อพาเ้ามาที่นี้ เ้าอย่าได้ก่อปัญหาเชียว!” ถัดจากนาง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งโน้มน้าวอย่างจริงจัง นั่นคือมู่หรงเจี๋ย เ้าเมืองไป่หยาง
“ท่านพ่อ! ท่านจะมองดูพี่สาวของเ้าหนุ่มนั่นถูกบังคับแต่งงานจริงๆ หรือเ้าคะ?” มู่หรงซินเงยหน้าขึ้น ดูโกรธมาก
“นี่เป็เื่ของบ้านคนอื่น ข้าจะเข้าไปยุ่งได้อย่างไร?! อีกอย่างแม้ว่าพ่อเ้าจะอยากช่วยคน แต่ก็ไม่มีทางสำเร็จ ที่นี่มีกองกำลังมากมายที่พวกเราไปหาเื่ไม่ได้!” มู่หรงเจี๋ยถอนหายใจ และส่ายหน้าอย่างหมดปัญญา
แม้ว่ามู่หรงเจี๋ยจะเป็เ้าเมืองเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเสวี่ยจิงหง เ้าเมืองชุยเสวี่ยแล้ว ล้อเล่นอะไรกัน เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด ช่องว่างระหว่างทั้งคู่มากเกินไปจริงๆ
“ถ้าเ้าหนุ่มนั่นมาเห็นพี่สาวของเขาหมั้นหมายกับคนอื่น เขาจะต้องเป็บ้าแน่ๆ!”
มู่หรงซินพูดอะไรบางอย่างอย่างกังวล แต่แล้วนางก็นึกขึ้นได้ นางก้มหน้าลงทันที ดวงตาคู่งามเริ่มหลั่งน้ำตา และนางก็เริ่มสะอื้น
ใช่ เ้าหนุ่มนั่นตายไปแล้ว แล้วเขาจะมาได้ยังไง?
“ซินเอ๋อร์...” เมื่อเห็นมู่หรงซินเศร้าโศก ฉู่อวิ๋นที่อยู่ไกลๆ ก็แทบทนไม่ได้เช่นกัน
แต่ตอนนี้เป็่คับขัน เขาทำได้เพียงกัดฟัน ปฏิเสธที่จะไปยอมรับตัวตน และเดินต่อไปยังที่นั่งด้านหน้าของตระกูลหลิง
และทันทีที่เขานั่งลง ฉู่อวิ๋นก็พบว่าค่ายที่อยู่ข้างๆ เขาคือจวนตระกูลเสวี่ย
กองกำลังใหญ่ในเมืองชุยเสวี่ยย่อมเป็เ้าบ้าน ผู้คนที่พวกเขาพามาอาจกล่าวได้ว่าเป็กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดากองกำลังทั้งหมด ต่างก็ล้วนเป็นักรบที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยความองอาจ
เมื่อพิจมองดีๆ ฉู่อวิ๋นก็พบเข้ากับเสวี่ยจิงหงแห่งจวนตระกูลเสวี่ยทันที เขาไม่แสดงสีหน้าและนั่งอยู่ตรงกลางค่าย มีคนรูปงามสองคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันนั่งอยู่ข้างๆ เขา ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสวี่ยหานเฟย คุณชายชุยเสวี่ย และเสวี่ยหรูเยียน
“ฮือ... ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ทำไมข้าถึงหาอวิ๋นชูไม่เจออีก? เขาไม่ชอบข้าหรือ?” ยามนี้ เสวี่ยหรูเยียนหรี่ตาลง น้ำเสียงของนางสะอื้นเล็กน้อย พลางบ่นกับพี่ชายเสวี่ยหานเฟยไม่หยุด
“น้องหญิง คนที่โดดเด่นกว่านั้นบนโลกนี้มีอีกตั้งมาก ทำไมเ้าถึงได้ยึดติดกับผู้ชายคนเดียวเล่า?” เสวี่ยหานเฟยปลอบใจพลางสะบัดพัดขนนก แต่ในใจเขารู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
เพราะคุณชายชุยเสวี่ยไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับคนป่าคนนั้นเลย
“แต่... แต่!” ทันใดนั้นดวงตาของเสวี่ยหรูเยียนก็เปล่งประกาย นางพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “คุณหนูเช่นข้าั้แ่เด็กจนโต ไม่มีอะไรที่ข้า้าแล้วไม่ได้มา! แต่คราวนี้... ข้าไม่เต็มใจ!”
ขณะที่พูด เส้นเืในมือหยกของนางก็ปูดขึ้นมา ตัวบางระหงสั่นสะท้าน นางบีบแขนเสื้อในมือแน่นจนแทบจะฉีกมัน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เสวี่ยหานเฟยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มองไปรอบๆ โดยไม่มีพิรุธใดๆ ก่อนจะหันมาหาเสวี่ยหรูเยียนแล้วกระซิบ “หรูเยียน ที่นี่เป็ที่สาธารณะ ระวังภาพลักษณ์ด้วย”
ได้ยินคำพูดนี้ เสวี่ยหรูเยียนก็หายใจเข้าลึกๆ และกลับมาดูสง่างามอีกครั้ง แต่ดวงตาของนางยังคงมีความเ็าอยู่
“พี่สัญญากับเ้า หลังจากการประกาศคู่แต่งงานในวันนี้จบลง พี่จะช่วยเ้าตามหาเ้าคนป่าคนนั้นกลับมา!”
เสียงของเสวี่ยหานเฟpทุ้มต่ำและจริงจัง หลังจากพูดจบ เขาก็ยิ้มและมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก่อนจะสะดุดตากับชายคนหนึ่งที่สวมหน้ากากผี
“ซิวหลัวหน้าผี? ฮึ คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเขาจะเป็ทายาทของตระกูลหลิง” เสวี่ยหานเฟยหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นหลับตาลงและยังคงโบกพัดขนนกต่อไป ดูสงบนิ่งและสง่างาม
ยามนี้ ฉู่อวิ๋นเหลือบมองไปยังทิศทางของตระกูลเสวี่ย และอดไม่ได้ที่จะแอบคิดเกี่ยวกับเื่นี้ ตระกูลเสวี่ยจะมีท่าทีอย่างไรหากรู้ว่าคนที่พวกเขาตามหานั้นนั่งอยู่ข้างๆ จะโกรธจนไฟสุมอกตายไปเลยหรือไม่?
เมื่อคิดเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็หัวเราะเบาๆ และหันไปสนใจเวทีทันที แสดงท่าทางตื่นเต้น รอการประกาศผลคู่แต่งงาน
อีกด้านหนึ่งของค่ายจวนตระกูลเสวี่ย เป็ที่ตั้งของตระกูลปีศาจวัว
มองเห็นตงฟางสยงที่ยังคงหยิ่งยโส ซ้ายขวาไม่ขาดหญิงงามไว้กกกอด ไม่มีทั้งศีลธรรม ไม่มีทั้งความสงบเงียบ
ข้างหลังเขา คือกลุ่มนักรบที่ไม่สวมเสื้อ ตัวสูงและทรงพลัง ยืนอยู่อย่างเป็ระเบียบ ล้วนมีพลังที่น่าทึ่งและการแสดงออกที่เข้มแข็ง
ในเวลาเดียวกันก็ยังมีชายชราสามหรือสี่คนที่ล้อมรอบตงฟางสยงไว้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ นั่นคือผู้าุโของตระกูลปีศาจวัว
พื้นที่ด้านนอกสุดของจัตุรัส และแม้แต่บริเวณรอบๆ ศาลเ้า เป็ที่ที่คนธรรมดาและนักรบระดับต่ำมารวมตัวกัน
แต่นั่นไม่เหมือนกับลานจัตุรัสภายในศาลเ้าที่ค่อนข้างเป็ระเบียบ ด้านนอกมีงูัปะปน[2] ผู้คนเบียดเสียดแออัด ผลักกันไปมา ส่งเสียงดังไม่หยุด วุ่นวายเหลือเกิน
เมื่อมองแวบแรก ถนนรอบๆ ศาลเ้าเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พวกเขาเรียงรายออกไปเป็ระยะทางหลายลี้ นี่เป็ปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองชุยเสวี่ย
คนเหล่านี้ ความจริงแล้วเพียงแค่อยากเห็นความงามของเ้าสาวจากตระกูลฉู่ ดังนั้นจึงได้แห่กันมา
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าคนงามที่ล่มบ้านล่มเมืองนางนั้น สุดท้ายแล้วจะไปตกอยู่ที่ตระกูลใด?
สำหรับบางสำนัก พวกเขา้าทราบการเปลี่ยนแปลงของกองกำลังทางตอนเหนือของราชวงศ์เซี่ยตะวันออกในอนาคต เพราะกองกำลังใดๆ ก็ตามที่สร้างความสัมพันธ์กับตระกูลฉู่ย่อมได้รับประโยชน์ไม่น้อย คุ้มค่าที่จะคบค้า
“ไอ้หยาๆ สถานการณ์นี้ยิ่งใหญ่กว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก”
ใกล้กับศาลเ้า หานซื่อเหนียงลอยมาในอากาศ นางมองลงไปที่พื้นด้านล่างก็เห็นฝูงชนจำนวนมากที่เบียดเสียดจนแยกไม่ออก พร้อมกับเสียงดังลั่น อดไม่ได้ที่จะปิดปากยิ้ม
สตรีนางนี้เป็รองผู้นำนิกายเทียนหวง และครั้งหนึ่งนางเคยปรากฏตัวที่ใจกลางของป่าสีเื
“มันก็แค่การแต่งงาน ต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงนี้ คิดว่าเชื้อสายหลักของตระกูลฉู่คงทำงานอยู่เื้ั ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพื่ออะไร?” หยางเจิ้ง เ้าสำนักเถี่ยเฉวียนก็ลอยผ่านอากาศมาเช่นกัน พร้อมด้วยแสดงท่าทีสับสน
“ฟิ้ว!”
ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็ขึ้นไปบนหลังคาใกล้ศาลเ้า มองดูลานจัตุรัสด้านล่าง ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาจะมองดูจากที่สูงย่อมไม่ยาก
“เ้าสำนักหยาง ท่านไม่รู้อะไรเลย” หานซื่อเหนียงยิ้มและพูดว่า “ตระกูลฉู่นี้้าใช้โอกาสในการแต่งงานนี้เพื่อสร้างพันธมิตรเป็แน่แท้อยู่แล้ว และในขณะเดียวกันก็ต้องใช้โอกาสนี้ข่มขู่เหล่าจอมยุทธ์ทางตอนเหนือของราชวงศ์เซี่ยตะวันออก”
“เท่าที่ข้ารู้ กองกำลังขนาดใหญ่ในเมืองหลวงดูเหมือน่นี้จะมีการเคลื่อนไหวเล็กๆ ขึ้น โดยขยายพื้นที่ไปทางทิศเหนือ ใต้ ออก ตก นี่เป็เื่ที่น่าสนใจจริงๆ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หยางเจิ้งก็ขมวดคิ้วและถามว่า “นี่หรือ... หรือว่าตระกูลฉู่กำลังวางแผนที่จะก่อฏ...”
หานซื่อเหนียงขัดจังหวะทันที “อ๊ะๆๆ เ้าสำนักหยาง! อาหารหยิบเข้าปากสั่วๆ ได้ แต่คำพูดจะพูดออกมาพล่อยๆ ไม่ได้นะ หากถูกใครบางคนจับได้ แม้ว่าท่านจะเป็นักรบขั้นพื้นพิภพก็หนีไม่รอด!”
เมื่อได้ยินคำเตือนเคล้าคำหยอกล้อของหานซื่อเหนียง หยางเจิ้งก็หุบปากฉับ เขาใมากจนเหงื่อเย็นไหล
เมื่อเห็นเช่นนี้ หานซื่อเหนียงก็ยิ้มหวานและพูดว่า “ฮ่าๆ บางทีคนตระกูลฉู่แค่อยากพัฒนาตนเอง ส่วนคนอย่างพวกเราก็ทำได้แค่ดูการแสดง แต่พอพูดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพลังอำนาจฝ่ายใดที่ฉู่เจิ้นหนานจะเลือกเชื่อมด้วย”
“รอดูสถานการณ์ ฮะๆ รอดูสถานการณ์เถอะ...” หยางเจิ้งเช็ดเหงื่อเย็นออกมาตามหน้าผาก และมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดหวั่น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศปลอดโปร่ง
ยามนี้ วีรบุรุษจากทั่วทุกสารทิศต่างมารวมตัวกันที่ศาลเ้าชุยเสวี่ยแล้ว ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม เรียกได้ว่าได้รับความสนใจเป็อย่างมาก
เ้าสำนักและผู้นำตระกูลต่างๆ เปิดปากทักทายกัน นักรบล้วนพูดคุยกันมากมาย และคนธรรมดานับไม่ถ้วนก็กระซิบกระซาบกัน ครื้นเครงยิ่งนัก
ในที่สุด ใน่เวลาอันร้อนแรงนี้ ก็มีคนเห็นฉู่เจิ้นหนานเดินออกมาจากศาลเ้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจ
----------
[1] การมารวมตัวกันจากหลายๆ แหล่ง
[2] ผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งดีและร้ายปะปนกัน
