เล่มที่ 10 บทที่ 289 มือั์
ว่ากันว่าในยุคาเมื่อครั้งที่แดนเซียนยังคงอยู่ ัถือเป็ผู้ปกครองทะเลทั้งสี่ แถมยังมีเคล็ดวิชาลับที่สืบทอดกันมาแต่ช้านาน นั่นก็คือการล่าสังหารัเพื่อแย่งชิงหยวนหลิงนั่นเอง หลังจากตายไปก็จะสามารถอาศัยันี้เหาะเหินข้ามผ่านแม่น้ำิได้ ทว่าหลังจากที่ยมโลกและแดนเซียนล่มสลายลง เคล็ดวิชาลับนี้จึงหายสาบสูญไป…
ต่อให้เป็ชาติที่แล้ว หลินเฟยก็เคยเห็นเฉพาะที่สำนักตงจี่เท่านั้น…
ขณะที่บุกเข้าไปเพื่อ่ชิงกระจกเป่าโจ่วที่สำนักตงจี่ หลินเฟยก็เคยเห็นัเก้าตนปกปักรักษาอยู่ที่โลงศพหินของปรมาจารย์ตงจี่เท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ เขาจะเจอโลงศพหินแบบเดียวกันที่ยอดเขาแห่งนี้
แม้โลงศพนี้จะมีัปกปักรักษาเพียงแค่สามตนก็ตาม…
แต่ไม่ว่าจะเป็สามหรือเก้า ทว่าการจะใช้เคล็ดวิชาลับนี้ได้ ตอนมีชีวิตจะต้องเป็บุคคลที่สำคัญมากแน่ๆ อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สี่อย่างหลินเฟยเลย ต่อให้เป็สามผู้าุโแห่งสามสำนักใหญ่เอง เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลเช่นนี้แล้ว ย่อมถือเล็กจ้อยกว่ามาก…
“ขอดูหน่อยแล้วกันว่าภายในมีอะไรกันแน่…” หลินเฟยเริ่มโคจรพลังปราณ จากนั้นก็ลอยตัวขึ้น ก่อนจะโบยบินไปยังโลงศพหิน…
ทันใดนั้นหลินเฟยก็ชะงักลงทันที
เพราะภายในโลงศพมีแต่แสงสีแดงลึกลงจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง คล้ายกับเหวลึกก็มิปาน ดวงตะวันร้อนแรงที่ร่วงตกไปก่อนหน้า บัดนี้กำลังส่องแสงสว่างอยู่กลางโลงศพหิน แม้แสงสีแดงจะเจิดจ้าและรุนแรงมาก แต่ก็ยังไม่อาจสาดส่องไปถึงก้นโลงได้…
‘ช้าก่อน นั่นมันอะไร?’
เวลานี้เอง หลินเฟยก็พลันเห็นว่าท่ามกลางแสงเจิดจ้านั้น มีชิ้นส่วนที่โปร่งใสทว่าเต็มไปด้วยอักขระมากมายกำลังลอยขึ้นลงอยู่ท่ามกลางลำแสงที่สาดส่องอยู่…
“ชิ้นส่วนประตูมิติ!”
จากนั้นหลินเฟยก็ตาเป็ประกายขึ้นทันที ดูท่าคำพูดของปีศาจร่วนสือยังมีความจริงหลงเหลืออยู่บ้าง…
หลินเฟยไม่คิดอะไรทั้งนั้น เขารีบโคจรพลังปราณและยื่นมือเข้าไปคว้าไว้ทันที…
ทว่า…
ชั่วขณะที่หลินเฟยยื่นมือออกไปนั้น ภายใต้ลำแสงที่สาดส่องก็พลันมีลำแสงกระบี่สีแดงเจิดจ้าพวยพุ่งขึ้นแทรกมา และบัดนี้ก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับอสรพิษร้าย…
“แย่แล้ว!” ทันใดนั้นหลินเฟยก็ถึงกับขนลุกซู่ทันที เพราะในตอนนี้มีกระแสแห่งความหวาดกลัวชนิดที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ กำลังแพร่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งตัวแล้ว แม้ลำแสงสีแดงนั้นจะยังสาดส่องมาไม่ถึงก็ตาม แต่หลินเฟยกลับรู้สึกเหมือนถูกหมื่นกระบี่ทิ่มแทงจนพรุนไปทั้งตัว…
หลินเฟยถึงกับสังหรณ์ใจอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน…
ต่อให้เป็ตอนอยู่ขั้นที่สิบของบันไดหิน ชั่วขณะที่ถูกจงซานบีบคั้นจนหมดหนทางสู้ หลินเฟยก็ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเข้าใกล้ความตายเช่นนี้มาก่อนด้วยซ้ำ…
หลินเฟยโคจรวิถีกระบี่เพื่อปลดปล่อยปราณกระบี่ทั้งห้าออกมาอย่างไม่ลังเลทันที ทันใดนั้นลำแสงกระบี่มากมายก็พลันะเิออก กระแสคมกริบแพร่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่าพลังทั้งหมดได้แปรเปลี่ยนเป็ลำแสงกระบี่น่ากลัวยาวนับสิบลี้ ก่อนจะพุ่งไปทางลำแสงกระบี่สีแดงตรงหน้า…
พริบตาถัดมาก็เกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้น…
ลำแสงกระบี่ทั้งสองปะทะใส่กันอย่างรุนแรง…
จากนั้นปราณกระบี่ก็พลันสั่นะเืขึ้น กระทั่งลำแสงกระบี่แตกสลายลง จนเกิดเป็คลื่นลมแรงโหมกระหน่ำ และพัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนยอดเขาจนพังพินาศ…
ไม่นานก็มีพลังบางอย่างอัดกระแทกเข้ามาที่อก เสี้ยววินาทีนั้นเอง หลินเฟยเหมือนได้ยินเสียงของกระดูกที่แตกร้าวดังแว่วเข้ามา ทว่ายังไม่ทันตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกอัดกระแทกจนลอยกระเด็นออกไปเสียแล้ว…
“พรืด!”
แม้จะลอยอยู่กลางอากาศ แต่หลินเฟยกลับกระอักเืคำโตออกมาโดยมิอาจยังไว้ได้ พลังของลำแสงกระบี่แดงถือว่าร้ายกาจจนน่ากลัวเลยทีเดียว ขนาดมีปราณกระบี่ที่บงการด้วยวิถีกระบี่ของอักษรภาพ ช่วยลดทอนพลังไปส่วนหนึ่งแล้วก็ตาม แต่พลังเพียงเศษเสี้ยวนี้ก็ยังทำให้หลินเฟยบอบช้ำอย่างหนัก…
หากวัดกันที่พลังอย่างเดียวละก็ ลำแสงสีแดงนี้มีคงพลังรุนแรงยิ่งกว่าพลังของผู้บำเพ็ญจิงตันหกโคจรที่สู้สุดกำลังเสียอีก…
“ช้าก่อน…”
ขณะที่หลินเฟยคิดจะเอื้อมมือเพื่อล้วงเอายาลูกกลอนมารักษาอาการาเ็ จู่ๆเขาก็พบว่าเื่ยังไม่จบเพียงเท่านี้…
เพราะหลังจากนั้น…
ก็มีลำแสงสีแดงสาดส่องขึ้นมาจากโลงศพหิน ไม่คิดรอให้หลินเฟยตั้งสติได้แม้แต่น้อย ลำแสงสีแดงอันเจิดจ้าก็กลายสภาพเป็มือั์ที่ใหญ่จนแทบจะบดบังฟ้าดินได้เลยทีเดียว…
ทันใดนั้นทั่วทั้งรัศมีสิบลี้ก็ถูกมือั์สีแดงปกคลุมจนหมด แม้แต่อากาศก็ราวกับถูกแช่แข็ง…
“บ้าเอ๊ย!” หลินเฟยเห็นดังนั้น ก็รู้ทันทีว่าเกิดเื่ไม่ดีขึ้นมาอีกแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ช้าไปเสียแล้ว เพราะภายใต้มือั์สีแดงอันใหญ่โตนี้เอง ทำให้หลินเฟยไม่อาจโคจรพลังปราณได้เลยแม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงทนมองมือั์ค่อยๆกดทับลงมาเท่านั้น ก่อนจะคว้าร่างของตนเองเอาไว้ แล้วฉุดดึงเข้าไปยังโลงศพหิน…
ขณะเดียวกันจิงต้าไห่และนักพรตหยางิที่ยืนดูอยู่บริเวณเชิงบันไดก็ตกตะลึงจนอ้าปากตาค้างไปแล้ว…
เื่ที่เกิดขึ้นช่างแปลกประหลาดเป็อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็จิงต้าไห่หรือนักพรตหยางิเองก็รู้สึกมึนงงจนตามไม่ทันเหมือนกัน…
ทั้งคู่ถึงกับคิดไม่ออกเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างใน่เวลาสั้นๆเพียงครึ่งชั่วยามที่ผ่านมานี้…
น่าเหลือเชื่อและพิศวงเป็อย่างมาก…
ในตอนแรกเมื่อเห็นหลินเฟยก้าวขึ้นไปได้เก้าขั้นรวด ยังคิดว่าหลินเฟยจะต้องหยุดอยู่ที่ชั้นสิบแน่ๆ เพราะคู่ต่อสู้ชั้นสิบคือจงซาน แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเฟยจะผ่านชั้นสิบไปได้ หลังจากนั้นก็หยุดพักเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าขึ้นไปต่อ และหลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นไปอย่างก้าวะโว โดยไม่มีอะไรขวางกั้นได้ไม่แต่น้อย
สุดท้ายหลินเฟยก็ก้าวขึ้นไปได้ถึงสิบแปดขั้นรวด…
เวลานี้เอง จิงต้าไห่และนักพรตหยางิไม่รู้สึกใแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาชินชากับการใไปแล้ว…
แต่ตอนที่ทั้งคู่คิดว่าหลังจากที่หลินเฟยก้าวถึงขั้นที่สิบแปดจะสามารถล้วงเอาความจริงออกมาโลงศพหินได้ จู่ๆ ก็มีลำแสงกระบี่สีแดงสาดส่องออกมา ก่อนจะอัดกระแทกหลินเฟยจนกระเด็นลอยออกไป
และพริบตาถัดมานี้เอง ก็มีมือั์สีแดงคว้าตัวหลินเฟยเอาไว้ ก่อนจะฉุดดึงร่างของเขาเข้าไปในโลงศพ
บัดนี้จิงต้าไห่และนักพรตหยางิได้แต่ยืนตะลึงอยู่กับที่ ทำเพียงจ้องมองโลงศพหินที่มีแสงสีแดงสาดส่องออกมา เป็เวลานาน ก็ยังไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาดี…
“ศิษย์พี่เห็น…เห็นหรือไม่?” เป็เวลานาน กว่าจิงต้าไห่จะค่อยๆเอ่ยตะกุกตะกักออกมาด้วยใบหน้าถอดสี
“เมื่อครู่ มีมือยื่นออกมาจากโลงใช่หรือไม่?”
“คราวนี้แย่แล้วล่ะ…” นักพรตหยางิเอ่ยออกมา ก่อนจะถอนหายใจตาม…
ใช่แล้วล่ะ คราวนี้ต้องแย่แน่
เพราะโลงศพหินนั่นลึกลับเกิดกว่าจะคาดคิดมาก แม้แต่คนที่แข็งแกร่งเกินมนุษย์อย่างหลินเฟยยังถูกดึงเข้าไปในพริบตา แล้วเช่นนั้นจะมีใครหน้าไหนกล้าไปค้นหาความจริงที่โลงนั่นอีกเล่า?
---------------------------------------------------------------------------------------------------------