ยามเช้าในตำบลซั่งจิ่ง แสงแดดอ่อนส่องลอดแนวไผ่สูง เรียงตัวเป็ลำแสงสีทองบนลานดินหน้าบ้าน เสียงนกร้องประสานกับกลิ่นหอมจางๆ ของโจ๊กที่อุ่นอยู่บนเตาดิน เติมชีวิตให้เช้าวันใหม่อย่างเงียบสงบ หลินเซี่ยนก้มลงจัดถ้วยไม้บนถาด ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นร่างของอาเฟยที่ส่งเสียงไอเบาๆ เดินกลับเข้าบ้านมาช้าๆ เสื้อผ้าเก่าแต่สะอาดของน้ารองที่แม่เธอเตรียมไว้พอจะเข้ากับตัวเขา แม้จะดูหลวมไปสักหน่อย
“เช้านี้พี่ใหญ่ตื่นเร็วแฮะ”เธอยกถาดเข้าไปใกล้
อาเฟยยิ้มบางๆ ลูบท้ายทอยด้วยมือข้างหนึ่ง
“ฉันนอนไม่ค่อยหลับ...เลยตื่นมาช่วยน้ารองรดน้ำผักเมื่อเช้า เขาให้ฉันช่วยหิ้วน้ำจากโอ่งน้ำฝนด้วย”เขาพูดเสียงแหบแต่แฝงความขอบคุณ ดวงตาแม้ยังอ่อนแรง แต่เริ่มมีชีวิตชีวามากกว่าวันก่อน
“ดีแล้วค่ะ แต่ก็อย่าหักโหมเกินไปนักระวังแผลจะปริได้”เธอยื่นถ้วยโจ๊กให้
“กินก่อนเถอะนะ วันนี้เราจะเริ่มทดลองทำสินค้าขายกันแล้ว!”
อาเฟยมองเธออย่างงุนงง “สินค้าขาย?”
“ใช่! ฉันจะทำ ‘ชุดชาสมุนไพรแห้ง’ กับ ‘ชาดองสมุนไพร’ แล้วลองไปขายในตลาดตำบลวันเสาร์นี้ เริ่มจากเล็กๆก่อน แล้วค่อยขยับขยาย!”หลินเซี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็ประกายอย่างเด็กที่ค้นพบของเล่นชิ้นใหม่
“เมื่อคืนฉันจดสูตรไว้แล้วค่ะ มีชาดอกเก๊กฮวยผสมเก๋ากี้ ชาชะเอมผิวส้ม และยาดองสำหรับคลายเมื่อย เดี๋ยวจะให้น้ารองตัดไผ่มาทำเป็ห่อชาแบบโบราณ สานเป็ทรงกล่องเล็กๆ น่ารัก”
“จะทำได้จริงเหรอ?” อาเฟยถามเสียงแ่ รู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่คะ” หลินเซี่ยนยิ้ม
เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง หานชิ่งเจี๋ยน้าชายเดินเข้ามาพร้ะกร้าผักบนบ่า
“อรุณสวัสดิ์หลานๆ” เขาวางตะกร้า “อาเฟย เมื่อกี้ขอบใจมากที่ไปช่วยรดน้ำผัก”
“ไม่เป็ไรครับ เป็ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณน้ารองที่ให้ผมพักที่นี่ครับ”อาเฟยพูดเบาๆ
หานชิ่งเจี๋ยพยักหน้า “ไม่เป็ไรๆ อยู่ด้วยกันก็ช่วยกันไป...ที่นี่ไม่หรูหรา แต่พออยู่ได้ ไม่ต้องเกรงใจคิดซะว่าเป็บ้านตัวเองก็แล้วกัน”
สายตาหลินเซี่ยนสังเกตเห็นรอยเดินกระเผลกของน้าชายที่ยังไม่หายดีนัก เธอเอ่ยถามเสียงเบา “น้ารอง...ขาน้ายังไม่ดีขึ้นหรือคะ?”
หานชิ่งเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“เมื่อห้าปีก่อน น้าไปช่วยชาวบ้านทำฝายที่ท้ายหมู่บ้าน เกิดฝนตกหนัก ดินถล่มลงมา น้าโดนท่อนไม้ฟาดที่เข่าขวาร้าวถึงกระดูก...หมอที่โรงพยาบาลเขตช่วยไว้ทันก็จริง แต่กล้ามเนื้อเสียหาย เลยเดินไม่เคยปกติอีกเลย”
“แล้วทำไมน้าก็ยังไม่แต่งงานล่ะครับ…” เสียงของเสี่ยวซานแทรกขึ้นจากข้างหลัง เขาเองก็มีตะกร้าผักสะพายอยู่ด้านหลังด้วย
“เสี่ยวซาน อย่าเสียมารยาท!”หานซื่อเอ็ดลูกชายเสียงเบา
“ไม่เป็ไรหรอกพี่ใหญ่ หลานพูดความจริง คนขาเป๋ มีใครเขาอยากได้ล่ะ”หานชิ่งเจี๋ยหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ขอโทษครับน้ารอง”หลินเสี่ยวซานก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็ไรๆ ต่อไปนี้มีพวกเธอมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ดีแล้ว”
หลินเซี่ยนเม้มปากแน่น ใจหนึ่งรู้สึกผิดที่ถามเื่ขาของน้า อีกใจก็นับถือน้าชายที่แม้จะผ่านเื่ราวหนักๆมา แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้
ยามบ่าย หลินเซี่ยนกางผ้าเก่าเป็ผืนทำงานบนชานไม้หน้าเรือน ใต้ร่มเงาต้นไผ่เธอเรียงสมุนไพรออกมา แยกเป็ชุดๆ ตามกลิ่นและสรรพคุณ เธอเริ่มหยิบกระปุกขิงแห้ง ดอกเก๊กฮวย และใบหญ้าหวานมาจัดสัดส่วนใหม่ลงในวัสดุที่สานจากไผ่เป็ทรงกล่องเล็กๆหลายกล่องที่ขอให้หานซื่อ และหานชิ่งเจี๋ยทำให้ เมื่อวานตลอดทั้งบ่ายผู้ใหญ่ทั้งสอง คนหนึ่งเร่งตัดไผ่และเหลาไผ่ให้บาง คนหนึ่งเร่งสานกล่องตามการบอกเล่าจากความฝันของเด็กหญิง วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน จนได้ลักษณะตามแบบที่หลินเซี่ยน้า
อาเฟยนั่งช่วยฝานเปลือกส้มแห้ง ส่วนเสี่ยวซานก็ช่วยมัดห่อไผ่ด้วยเชือกกล้วย
“พี่ใหญ่ ผิวส้มแห้งนี่หั่นให้บางกว่านี้นิดหนึ่งนะคะ จะได้ต้มง่าย”
“ได้เลย”เขาขานรับอย่างตั้งใจ
“พี่ใหญ่...จะอยู่ที่นี่นานไหมครับ?”เสี่ยวซานถามขึ้น
“...ยังไม่รู้เลย”เขาตอบช้าๆ
“เพราะฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมาจากไหน”
“แต่พี่จำชื่อได้แล้วนี่ อาเฟยไง!”เด็กชายพูดเสียงสดใส
อาเฟยยิ้มอย่างขื่นขม “ชื่อแค่คำเดียว ไม่ได้บอกว่าฉันเป็ใคร…”
หลังจากช่วยกันจนตะวันคล้อย หลินเซี่ยนเดินไปหยิบหนังสือเก่าจากกระเป๋าผ้าออกมาปัดฝุ่น เธอเงยหน้าขึ้นมองเงาต้นไม้สูงเบื้องหน้าผ่านหน้าต่าง แล้วเอ่ยเบา ๆ กับน้องชายที่นั่งปอกขิงข้างกัน
“อีกเดือนกว่าๆ ก็เปิดเทอมแล้วนะ เสี่ยวซาน”
เด็กชายชะงักมือเงยหน้ามองพี่สาว
“พี่คิดถึงโรงเรียนเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่คิดถึงหรอก...แต่เราต้องเตรียมเงินค่าชุดนักเรียนกับหนังสือเรียนไง จำได้ไหมว่าครูเคยบอกว่าปีนี้มีเปลี่ยนแบบชุดใหม่ด้วย”หลินเซี่ยนถอนหายใจ
“ของพี่อาจจะพอซ่อมใส่ได้อีกปี แต่ของเสี่ยวซานนี่สิ…”
หานชิ่งเจี๋ยที่เพิ่งเดินมาจากแปลงผักได้ยินเข้าพอดี เขายกตะกร้าใบเล็กลงวางใกล้เตาไฟ แล้วหันมาทางสองพี่น้อง
“ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวน้าจะลองถามคนรู้จักที่ตำบลว่าพอมีเสื้อผ้าเก่าที่พอใช้ได้ไหม แล้วสมุดหนังสือ...น้าเคยเก็บของตัวเองเมื่อก่อนไว้ เดี๋ยวจะเอามาให้หลานดูเผื่อพอใช้ได้อยู่บ้าง”
หลินเซี่ยนยิ้มบางๆ แม้ใจหนึ่งจะรู้ว่าของเ่าั้อาจไม่เพียงพอ
“หนูอยากลองทำขายของเพิ่มค่ะน้ารอง ถ้าทำสำเร็จ หนูจะมีเงินพอสำหรับค่าชุดนักเรียนทั้งของหนูกับเสี่ยวซานแน่ๆ”เธอว่าพลางชูสมุนไพรในมือ
“หนูจะลองต้มชาสมุนไพรสูตรเย็น ขายให้คนในตลาดตำบลตอนเช้าๆ หรือไม่ก็ขายชาวบ้านที่ไปทำงานในไร่แต่เช้า พวกเขาน่าจะชอบอะไรที่แก้ร้อน ดับกระหายได้นะคะ”
หานชิ่งเจี๋ยมองหลานสาวด้วยแววตานุ่มลึกที่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจ
“ถ้าหลานคิดว่าทำได้ ลองเลยเถอะ ่ปิดเทอมแบบนี้ มีเวลาให้ทดลองพอดี”
“ค่ะ!” หลินเซี่ยนพยักหน้าหนักแน่น ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
ในค่ำคืนที่พระจันทร์สาดแสงลงมายังลานดินหน้าเรือน หลินเซี่ยนวางชุดชาแห้งชุดแรกลงในตะกร้าสานใบเก่า เธอมองมันด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือ “เงินทุนก้อนแรก”ที่เธอลงมือสร้างขึ้นจากศูนย์ ด้วยแรงใจที่้าจะช่วยให้ครอบครัวนี้หลุดพ้นจากความยากลำบากเต็มเปี่ยม
หลินเซี่ยนใช้มีดเล็กตัดไม้ไผ่มาทำแก้วใส่ชา เธอฝนผิวให้เรียบ ติดป้ายกระดาษวาดมือ จินตนาการถึงแผงขายของเล็กๆ ในตลาด
“พรุ่งนี้จะลองไปถามตลาดหมู่บ้านซ่างซีดู ถ้าขายได้...อาจได้เริ่มต้นจริงๆ สักที”
เธอหันไปมองที่มุมห้อง อาเฟยนั่งอยู่ในเงาใต้แสงไฟตะเกียงสลัว กำลังใช้มีดเล็กๆ แกะไผ่ให้เป็ฝาหีบชาสมุนไพร
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ท่าทางสงบนิ่งบอกว่าทั้งหมดนี้...เขาเต็มใจช่วย ไม่ใช่เพราะบุญคุณเท่านั้น
“เซี่ยนเอ๋อร์”เขาเอ่ยเสียงเบา
“ถ้าฉันจำอดีตไม่ได้เลยจริง ๆ...ฉันยังอยู่ที่นี่ได้ไหม?”
เด็กหญิงเงยหน้ามอง ดวงตาใสซื่อแต่เด็ดเดี่ยว
“พี่ใหญ่...จำได้หรือไม่ได้...พี่ก็เป็คนของบ้านนี้แล้วค่ะ”
เสียงจิ้งหรีดดังระงมเหมือนเสียงปรบมือเบา ๆ จากธรรมชาติ ในบ้านดินหลังเก่า ณ ตำบลซั่งจิ่ง คืนนี้ดูอุ่นกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา
หลังจากอาเฟยกลับเข้าห้องไปนอน หลินเซี่ยนยังคงขีดเขียนแผนงานของเธอด้วยถ่านไม้ เธอเขียนบรรทัดสุดท้ายด้วยลายมือแน่นหนัก
“เป้าหมาย: หาเงินให้ได้ 20 หยวนก่อนสิ้นเดือน”
ขณะที่เขียนจบ เสียง“กึก!”เบาๆ ดังขึ้นจากข้างหลังบ้าน...
เธอชะงัก หันไปมองทางต้นไผ่ แสงไฟตะเกียงไหววูบเล็กน้อย และเงาร่างของบางคน...เคลื่อนผ่านอย่างแ่เบา