วันที่ 3 กรกฎาคม ปี 1984
แสงริบหรี่ยามรุ่งสางเพิ่งปรากฏ เสียงเห่าถี่ๆ สองเสียงดังมาจากในสวนบ้านย่าอวี๋
“ชู่ ยังเช้าอยู่เลย อย่าเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน”
ฤดูร้อนสว่างไว เวลานี้เพิ่ง 6 โมง คนส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นนอน เซี่ยเสี่ยวหลานตักเตือนสุนัขสองตัวด้วยเสียงทุ้ม หลังจากนั้นก็เปิดประตูบ้าน เธอทำสายจูงให้สุนัขทั้งสองตัว ตอนวิ่งยามเช้าสามารถจูงพวกมันไปเดินเล่นพร้อมกันได้ ขังไว้ในสวนทั้งวันออกจะน่าสงสาร
เวลาตื่นนอนปัจจุบันของเซี่ยเสี่ยวหลานคือราว 5:40 จะต้องออกไปวิ่งก่อน 6 โมงเช้า
ผู้ที่ตื่นเช้ากว่าเธอก็คือเก่อเจี้ยนที่รออยู่หน้าประตู และย่าอวี๋ที่ต้องออกจากบ้านไปกวาดถนนตอน 5:30
เซี่ยเสี่ยวหลานให้หลี่ต้งเหลียงไปเผิงเฉิงเพื่อช่วยงานหลิวหย่ง หลี่ต้งเหลียงจึงอยู่ที่นั่นต่อ ด้านซางตูมีแค่เก่อเจี้ยน เซี่ยเสี่ยวหลานบอกเขาหลายหนแล้วว่าไม่ต้องมาเช้าขนาดนี้ เธอวิ่งพลางจูงสุนัขสองตัว อันที่จริงค่อนข้างปลอดภัย เก่อเจี้ยนเป็พวกหัวรั้น ยังคงยืนกรานรอคอยหน้าบ้านอวี๋ก่อน 6 นาฬิกาดังเดิม เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้เพียงตามใจเขา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะย่าอวี๋!”
ธุระนอกบ้านของเซี่ยเสี่ยวหลานเสร็จเกือบพร้อมกับงานของย่าอวี๋ เซี่ยเสี่ยวหลานจะช่วยเธอทำงานเล็กน้อยที่เหลือ ย่าอวี๋ไม่เข้าใจเอาเสียเลย การสอบใกล้เข้ามาทุกที เซี่ยเสี่ยวหลานกลับดูผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ
ลับหอกก่อนออกศึก แม้ไม่คมกริบก็แวววาว [1]
เด็กคนนี้นี่นะ ก่อนหน้านี้ยังขยันขันแข็งไปทบทวนที่ห้องสมุดั้แ่เช้าจรดเย็นทุกวัน กลับบ้านมาก็จุดไฟออกศึกยามดึกจนเกือบฟ้าสางถึงนอนหลับ
แม้ไม่มีคนกำกับเธอ เวลาที่ทุ่มเทกให้การเรียนนั้นไม่น้อยไปกว่านักเรียนมัธยมปลายปีสามในโรงเรียนอย่างแน่นอน
ดูตอนนี้สิ ั้แ่สองวันก่อน เธอไม่ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดซางต้าแล้ว!
เวลาตื่นนอนในทุกๆ วันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะออกไปวิ่งและพาสุนัขเดินเล่นหลังตื่น เกือบ 8 นาฬิกากว่าจะกลับมา พร้อมจูงสุนัขสองตัวและถือถุงอาหารสดมาด้วย พิรี้พิไรถึง 9 นาฬิกา ่ 9-11 นาฬิกาคือเวลาอ่านหนังสือทำแบบฝึกหัดอย่างแท้จริง จวบจน 11 นาฬิกาก็เก็บข้าวของเพื่อทำอาหาร จากนั้นวิ่งไปส่งข้าวยังร้านเสื้อผ้าตรงเวลา 12 นาฬิกาพอดี... ตอนย้อนกลับใกล้บ่ายโมงครึ่งเข้าไปแล้ว กลับมาพักหลับสักงีบ ตื่นอีกรอบตอนบ่ายสองโมงครึ่งและทำแบบฝึกหัดต่อไป!
เธอทบทวนบทเรียนตลอด่เวลา 2:30-6:00 พอตกเย็นก็ทำอาหารอีกครั้ง—ย่าอวี๋รับประทานอาหารที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำเช่นกัน แต่เธอไม่โปรดปรานจริงๆ พร์ด้านการทำอาหารของเด็กคนนี้ไม่มีอะไรพิเศษ มาตรฐานวัตถุดิบสูงมาก รสชาติกลับธรรมดาดาษดื่น และอีกอย่างหนึ่ง ่เวลาที่สำคัญขนาดนี้ ถ้าใช้กับการเรียนจะดีขนาดไหน ทำไมต้องทำอาหารด้วย?
หากไม่กลัวจะะเือารมณ์ในการสอบเกาเข่าของเซี่ยเสี่ยวหลาน ย่าอวี๋คงต่อว่าต่อขานเธอไปนานแล้ว
กลางคืนก็เหมือนกัน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยู่ดึกดื่นอีกต่อไป เธอเปิดหนังสือเรื่อยเปื่อย พอสามทุ่มก็ล้างหน้าบ้วนปากเข้านอน
กิขวัตรประจำวันเป็ระเบียบและสมบูรณ์พูนสุขกว่าย่าอวี๋เสียอีก จังหวะที่เนิบนาบนี้ทำเอาคนรอบข้างเห็นแล้วกระวนกระวาย!
ตัวเซี่ยเสี่ยวหลานเองไม่รีบร้อน
หากขึงสายแน่นเกินไปมันก็อาจจะขาด ต้องคอยผ่อนลงเล็กน้อยเสมอ เธอคิดว่าความทรงจำของชาตินี้ดีกว่าชาติก่อนทีเดียว สำหรับด้านร่างกาย เธออยู่ใน่วัยที่กระบวนการคิดวิเคราะห์กระฉับกระเฉง สำหรับด้านจิตใจ เธอสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดียิ่งกว่า ผลการทบทวนบทเรียนเป็ไปด้วยดีมาก และความคืบหน้าของการทบทวนก็เดินตามแผนที่เธอวางไว้ วิชาสายวิทย์ไม่สามารถจะพัฒนาอะไรเพิ่มได้อีกแล้วในเวลาแค่สามสี่วัน การที่่นี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ไปห้องสมุดกลางซางต้า ก็เพื่อการลองปรับตัวให้คุ้นชินกับตารางเวลาของเกาเข่าล่วงหน้า
โดยส่วนตัวเธอคิดว่าผลลัพธ์ดี หลังจากกำหนดการประจำวันไม่แน่นขนัด สมองรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม ท่องจำเนื้อหาได้ดีมาก!
ย่าอวี๋คิดว่าการที่เธอออกไปวิ่งและพาสุนัขเดินเล่นในตอนเช้าคือการละเลยหน้าที่อันสมควร ทั้งที่จริงเซี่ยเสี่ยวหลานก็ท่องหนังสือตลอดทาง เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน เธอจะจดจำเนื้อหาภาษาจีนและรัฐศาสตร์ได้เท่าไรก็ถือว่าเท่านั้นเถอะ ประเด็นสำคัญที่อาจารย์ฉีให้มา เซี่ยเสี่ยวหลานท่องจำขึ้นใจเกือบครบถ้วนแล้ว สองสามวันที่ผ่านมาเธอกำลังกอบกู้วิชารัฐศาสตร์ของตนเองอยู่ ท่องเกร็ดความรู้เพิ่มสักนิด หากโชคดีจะสามารถทำคะแนนวิชารัฐศาสตร์ได้อีกสักหน่อย
การสอบคัดเลือกรอบแรกทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้จักสถานการณ์จริงมากขึ้น เธอไม่ประหม่าเกี่ยวกับเกามากเข่าขนาดนั้นด้วยซ้ำ
มีการสอบจำลองครั้งท้ายๆ ของโรงเรียน แม้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ไป ก็วานเก่อเจี้ยนช่วยเธอนำข้อสอบกลับมาอยู่ดี
หากเกาเข่าจะมาก็เข้ามาเสียเถอะ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตัวเธอเองเตรียมพร้อมไว้อย่างไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว พรุ่งนี้เธอจะไปโรงเรียนเพื่อรับบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ ไม่มีการใช้สิทธิพิเศษกับเกาเข่า ทุกอย่างเป็ไปตามระเบียบของโรงเรียน ส่วนสามารถสอบได้กี่คะแนนนั้น ร้อนใจตอนนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ แทนที่จะพะวงถึงเกาเข่าในอีก 3 วันข้างหน้า คิดเื่ควรจะปรุงเนื้อแพะของเย็นนี้อย่างไรดีกว่า
เคี่ยวน้ำแดง ตุ๋นจืด หรือว่าผัด
กลิ่มหอมที่สุดย่อมเป็การย่าง ทว่าวิธีทำยุ่งยากไปหน่อย อีกทั้งกลัวว่าจะเกิดร้อนในหลังรับประทาน
ย่าอวี๋เกลียดฝีมือของเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่เธอคิดว่าพอฝึกฝนบ่อยๆ เข้า ยังพอเหลือช่องว่างให้พัฒนาอยู่!
----------------------------------------
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังครุ่นคิดเื่เนื้อแพะที่จะรับประทานในเย็นวันนี้
มาถึงซางตูได้เกือบสองเดือนแล้ว จางชุ่ยและคณะยังคงไม่เคยพบกับเซี่ยเสี่ยวหลานเลย น่าประหลาดใจทีเดียว
เนื่องจากจางชุ่ยคุ้นเคยการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เธอกับจางหม่านฝูและภรรยาจึงตั้งแผงลอยสองแห่ง ระหกระเหินบริเวณหน้าโรงเรียนมัธยมและตลาดสินค้าเกษตรในเขตเหนือของเมือง ไม่ใช่ว่าจางชุ่ยไม่อยากค้าขายในสถานที่อย่างหน้ามหาวิทยาลัยหรือโรงงานฝ้ายแห่งชาติ คนเมืองไม่ได้โง่ มีถนนศูนย์รวมอาหารแล้ว จะไม่มีแผงลอยจำหน่ายของกินเคลื่อนที่เชียวหรือ?
เขตอันชิ่งไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก จางชุ่ยเพิ่งตั้งแผงลอยเมื่อสี่ปีก่อน ในเวลานั้นแผงขายอาหารของเธอคือหนึ่งเดียวประจำเขตอันชิ่ง ่ปี 80 เพิ่งผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจมาสดๆ ร้อนๆ น้อยคนที่จะกล้าลงถนนทำธุรกิจ จางชุ่ยจึงคว้าโอกาสสำคัญทางการตลาดของเขตอันชิ่งไว้ได้ เนื่องจากเธอตั้งแผงก่อนใคร ดังนั้นย่อมเติบโตกลายเป็หน้าร้านก่อนใคร พอย้ายมายังซางตูในตอนนี้ เธอไม่ใช่คนกลุ่มแรกสุดที่ตั้งแผงลอยอีกต่อไป ผู้คนที่ทำธุรกิจร้านอาหารว่างก่อนเธอปรับปรุงบ้านเรือนของตนให้เป็หน้าร้าน และบริหารธุรกิจจนรุ่งเรืองขึ้นทุกวันแล้ว
แค่พื้นที่ถนนรวมอาหารนั่น ทั้งขายเกี๊ยวนึ่ง ขายบะหมี่เนื้อแพะ ขายหูล่าทัง... นานาประเภท และทุกคนต่างไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ล้วนมีหนึ่งเส้นทางที่ตนเองให้ความมุ่งมั่นตั้งใจ
จางชุ่ยพอทำได้ทุกอย่าง ความสามารถเช่นเธอนี้ถือว่ามีศักยภาพในการแข่งขันพอสมควร ถ้าเปิดร้าน ด้านในหนึ่งร้านจะมีตัวเลือกที่ลูกค้าเลือกได้จำนวนมาก
ทว่าทุกวันนี้เธอยังไม่มีปัญญาเปิดร้าน
เงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เป็การหาหน้าร้านอันเหมาะสมไม่ได้
หน้าร้านในอันชิ่งเช่าได้โดยอาศัยอาจารย์ใหญ่ซุน พวกเขาไม่มีเส้นสายแบบนี้ในซางตู!
จางชุ่ยกับเซี่ยฉางเจิง และจางหม่านฝูกับเจียงเหลียนเซียง พวกเขาสี่คนคือชาวชนบทตามแบบฉบับอย่างแท้จริง ทั้งไม่มีเครือญาติในซางตู และคงไม่มีบุคคลใหญ่โตคนไหนจะเสนอตัวช่วยพวกเขาเช่าหน้าร้านเพียงเพราะว่าตื่นตาตื่นใจในรสบะหมี่หนึ่งชามที่รับประทานเข้าไปหรอก
สำหรับหน้าร้านที่กระจัดกระจายอยู่หน้าโรงเรียน บางส่วนก็ปรับปรุงจากที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล บางส่วนก็เป็ของหน่วยงาน
ไม่ใช่แค่บริเวณหน้าโรงเรียนเท่านั้น ทั่วทั้งเมืองซางตูล้วนเป็สถานการณ์เช่นนี้
ในเมื่อเปิดร้านไม่ได้ แผงอาหารว่างเคลื่อนที่ย่อมสร้างลูกเล่นหลากหลายไม่ได้ ทั้งที่ตลาดของซางตูมีขนาดใหญ่มาก ปัจจุบันยอดขายจากการตั้งแผงลอยของจางชุ่ยยังไม่อาจเทียบ่ซบเซาของอันชิ่งด้วยซ้ำ การตรวจสอบประเภทต่างๆ ของเมืองมณฑลก็เข้มงวด ในเดือนแรกจางชุ่ยพร้อมคณะไม่มีประสบการณ์ ถูกหน่วยงานต่างๆ ปรับเงินเสียอาน—เซี่ยเสี่ยวหลานไม่แตะอาหารการกินเพราะเหตุนี้ เพียงหนึ่งปัญหาด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย ก็สามารถลงโทษจนผู้คนทำธุรกิจไม่ราบรื่นเลยทีเดียว
ประคับประคองมาถึงเดือนที่สองอย่างยากลำบาก จางชุ่ยเพิ่งจับจุดกฎเกณฑ์บางอย่างได้เล็กน้อย เดือนพฤษภาคมยังขาดทุนอยู่ พอเข้าเดือนมิถุนายนถึงเริ่มเห็นกำไร
กำไรจากทั้งสองแผงต่างอยู่ที่ประมาณ 200 หยวน แต่แผงของจางหม่านฝูและเจียงเหลียนเซียงเป็อิสระเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนไม่มีทางส่งเงินให้จางชุ่ย ในความเป็จริง นี่คือธุรกิจของสองครอบครัว... ดังนั้นงานของแผงอาหารว่างย่อมต่างคนต่างทำเป็ธรรมดา เซี่ยฉางเจิงจะว่างงานเฉยๆ ไม่ได้ ต้องนวดแป้งซื้อของทุกวัน อีกทั้งต้องช่วยจางชุ่ยตั้งแผงและเก็บแผง เวลาอาหารเช้าคือ่ปริมาณลูกค้าสูงสุดของแผงอาหารว่าง ทุกวันจึงต้องตื่นนอนขึ้นมาเตรียมของั้แ่ตีสี่ นับจากมาถึงที่นี่เซี่ยฉางเจิงยังไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักคืน
สิ่งนี้ทำให้เขามีสภาวะอารมณ์ฉุนเฉียวมาก
จางชุ่ยเองก็ไม่ยอมเขา สองสามีภรรยามักทะเลาะกันรุนแรงบ่อยครั้ง
ก็เป็เสียแบบนี้ ใกล้การสอบเกาเข่าเข้าไปทุกที จางชุ่ยได้รับโทรเลขจากเซี่ยจื่ออวี้ ถึงนึกเื่ที่ต้องขัดขวางไม่ให้เซี่ยเสี่ยวหลานสอบเกาเข่าออก
“คนที่คุณจ้างเป็อย่างไรบ้าง ไม่น่าจะมีปัญหาสินะ?”
เชิงอรรถ
[1]临阵磨枪,不亮也光 ลับหอกก่อนออกศึก แม้ไม่คมกริบก็แวววาว หมายถึง เตรียมตัวต่อเมื่อสถานการณ์มาถึงตรงหน้า แม้การทำแบบนี้อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็ถือว่าพยายามแล้ว ดีกว่าไม่ทำอะไรในเวลาสุดท้ายเลย