เจียงเสี่ยวฉิงพูดอย่างเขินอายว่า “ฉัน…ฉันรู้แล้ว ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็ไร อันที่จริงฉันก็ควรจะช่วยเธอให้เร็วกว่านี้”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เจียงเสี่ยวฉิงรีบอธิบาย “ที่ฉันขอบคุณนาย เพราะนายปีนกำแพงเป็เพื่อนฉัน ฉันรู้ ว่านายทำแบบนี้เพราะอยากให้ความกลัวในใจฉันน้อยลง ให้ฉันลืมว่าเมื่อกี้ฉันผ่านมาไรมา ถูกไหม?”
ฉลาดหลักแหลมมาก
จู่ๆ ในสมองฉินหลางก็มีคำๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมา
นี่เป็คำที่มีความหมายดี เอาไว้ชมชมสาวสวยที่ฉลาด แต่ในขณะเดียวกันฉินหลางก็ร็สึกว่าสาวสวยที่ฉลาดเกินไปก็ไม่ใช่เื่ดีซะทีเดียว อย่างเช่นเถารั่วเซียง อย่างเช่นรั่วปิน ละอย่างเช่นเจียงเสี่ยวฉิงคนนี้…
พวกเธอเป็ผู้หญิงคนละแนว แต่มีข้อหนึ่งที่เหมือนกัน
ฉลาด
แต่บางครั้งผู้หญิงฉลาดเกินไป สำหรับผู้ชายแล้วอาจจะไม่ใช่เื่ดี
หลังจากเหม่อลอยครู่หนึ่ง ฉินหลางพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นอนหลับสักตื่น ทุกอย่างก็จะผ่านไป—โอเค เหยียบบนไหล่ของฉัน เดี๋ยวฉันจะส่งเธอขึ้นไปเอง”
เจียงเสี่ยวฉิงพยักหน้า ชั่วขณะที่เธอเหยียบบนไหล่ของฉินหลาง เหมือนว่าเธอจะลืมเื่ราวเลวร้ายที่เพิ่งผ่านมา หรือจะบอกว่าเื่ราวที่เกิดขึ้นตอนนี้ทำให้เธอจำฝังใจมากกว่า เธอเชื่อว่าเมื่อผ่านไปหลายๆ ปี เธอก็ยังคงจะจำเื่ราวคืนนี้ได้ เหยียบอยู่บนไหล่ของผู้ชายที่เธอชื่นชอบ ปีนขึ้นไปบนกำแพงที่เธออยากปีนมานานแสนนาน แต่กลับไม่เคยกล้าปีน
แต่ฉินหลางกลับรู้สึกอีกอย่าง ตอนที่เจียงเสี่ยวฉิงเหยียบอยู่บนไหล่ของเขา เบาจนน่าแปลก ฉินหลางรู้สึกเหมือนเธอไม่มีน้ำหนัก เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกอย่างนี้ แต่เจียงเสี่ยวฉิงตัวเบามากจริงๆ ไม่ใช่แค่เบา แต่มันคือเบาหวิว ราวกับว่าถ้ามีลมพัดมา ก็จะสามารถพัดเธอให้ปลิวไปได้
ฉินหลางค่อยๆ ยืนขึ้น ตอนนี้เจียงเสี่ยวฉิงก็ใกล้ถึงขอบกำแพงแล้ว ตอนที่เธอกำลังจะข้ามกำแพง ตอนนั้นจู่ๆ ก็มีแสงจ้าของไฟฉายที่ส่องมา แสงไปส่องไปที่ใบหน้าของเจียงเสี่ยวฉิง
เจียงเสี่ยวฉิงใ กรีดร้องอย่างอดไม่ได้ จากนั้นเธอก็เสียหลัก ลื่นลงมาจากไหล่ของฉินหลาง
แต่ฉินหลางมีความคล่องแคล่วว่องไวมาก เขาใช้สองมือคว้า แขนทั้งสองข้างรับเอวของเจียงเสี่ยวฉิงไว้ได้พอดี และตอนนี้มือของฉินหลางแตะโดนบั้นท้ายที่นุ่มเด้งของเจียงเสี่ยวฉิงพอดี
เพียงแต่ แสงจ้าของไฟฉายนั่นส่องมาที่ฉินหลางด้วยเช่นกัน
อยู่ภายใต้แสงของไฟฉาย ฉินหลางกับเจียงเสี่ยวฉิง เหมือนนักเต้นที่เพิ่งจะเต้นคู่กันเสด
แสงไฟดับลง
ฉินหลางกับเจียงเสี่ยวฉิงเห็นเงาคนหลายคนกำลังเดินเข้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าเจียงเสี่ยวฉิงจะรู้แล้วว่าคนที่มาเป็ใคร ราวกับกระต่ายที่กำลังตื่นตูม ะโออกจากอ้อมอกฉินหลาง จากนั้นมองผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมกับพูดว่า “แม่—”
เกิดอะไรขึ้น!
ฉินหลางใ รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะเกิดเื่ไม่ค่อยดีเลย!
ต่อให้ประจันหน้ากับคนเลวอย่างอันหยางและชิงจิ้น ฉินหลางก็ไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิด แต่ตอนนี้ฉินหลางกลับรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้อธิบายยากเหลือเกิน ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ ปีนกำแพงอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง และที่สำคัญยังกอดผู้หญิงคนนั้นไว้ในอก ท่ามกลางสายตามากมาย ทีนี้จะต้องอธิบายยังไงดีเนี่ย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังให้ผู้ปกครองของฝ่ายหญิงจับได้คาหนังคาเขาอีก!
อายจริงๆ!
เพียงแต่ ในเวลาแบบนี้ฉินหลางจะถอยไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เจียงเสี่ยวฉิงก็จะต้องแบกรับแรงกดดันนี้เอาไว้คนเดียว ถ้าเป็อย่างนั้น ฉินหลางจะไม่มีทางอภัยให้ตัวเองแน่ๆ
คนกลุ่มหนึ่งที่ถือไฟฉายเดินเข้ามาแล้ว คนพวกนี้เป็ใครบ้างฉินหลางพอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว นอกจากพ่อแม่ของเจียงเสี่ยวฉิงแล้ว ยังมีเพื่อนบ้าน และเพื่อนที่ทำงานของพ่อแม่เธอ นอกจากนี้ยังมียามที่เฝ้าหน้าประตู นี่เป็เหตุผลที่หน้าประตูไม่มีคนเฝ้าอยู่ เพราะว่าเขามาช่วยตามหาเจียงเสี่ยวฉิงนั่นเอง
เพราะไงซะเจียงเสี่ยวฉิงก็เป็ ‘ดาว’ ของที่นี่ ตอนนี้บ้านเมืองไม่สงบ เมื่อก่อนเจียงเสี่ยวฉิงมักจะกลับบ้านตรงเวลาตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้เธอยังไม่กลับบ้านสักที และยังไม่ได้โทรบอกคนที่บ้านด้วย ดังนั้นเจียงกั๋วเลี๋ยงพ่อของเจียงเสี่ยวฉิง กับหลิวยี่เจินแม่ของเธอเป็ห่วงมาก ดังนั้นวันนี้จึงออกตามหาเธอทั่วทั้งหมู่บ้าน ตามหาอย่างยากลำบากก็ไม่พบตัวเธอ คิดไม่ถึงว่าตอนกลับมา กลับเห็นเธอจะๆ อืม ควรจะบอกว่า “จับได้คนหนังคาเขา” น่าจะเหมาะสมมากกว่า
“ขอโทษครับ คุณน้า และคุณอาทุกท่าน—”
ฉินหลางชิงขอโทษก่อน น้ำเสียงจริงใจมาก “ขอโทษที่ทำให้พวกคุณเป็ห่วง เื่วันนี้เป็ความผิดของผม ผมเป็เพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกับเจียงเสี่ยวฉิง ่นี้เข้าร่วมการแข่งขันเต้น แต่ผมไม่ค่อยมีพร์ ท่าที่ครูเพิ่งสอนงวันนี้ผมซ้อมยังไงก็ยังเต้นได้ไม่ดีสักที ดังนั้นผมจึงให้เจียงเสี่ยวฉิงช่วยซ้อมเป็เพื่อนผม แต่กลับซ้อมจนลืมเวลา ไม่ทันรถเมย์ ดังนั้นพวกเราก็เลยเดินกลับมากัน โดยรวมแล้ว คุณน้า คุณอาครับ เป็ความผิดของผมคนเดียว พวกคุณอย่าโทษเจียงเสี่ยวฉิงเลยนะครับ อ้อ ระหว่างทางเจียงเสี่ยวฉิงยังบอกว่าจะโทรมาบอกที่บ้านก่อน แต่เสียดายที่ร้านค่าสองข้างทางปิดกันหมดแล้ว หาโทรศัพท์สาธารณะไม่ได้…”
เจียงเสี่ยวฉิงนับถือความสามารถในการโกหกของฉินหลางจริงๆ เ้าหมอนี่โกหกขึ้นมาราวกับแม่น้ำฮวงเหอ ไหลยาวต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น และที่สำคัญยังเนียนมาก จับผิดไม่ได้เลย แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือน้ำสียงและท่าทางของฉินหลาง ทั้งนอบน้อม ทั้งมีมารยาท เรียกว่า “คุณน้าและคุณอาทุกท่าน” อย่างเต็มปากเต็มคำ ทำให้คนฟังรู้สึกดี อย่างที่คนเขาว่าไม่ตบหน้าคนกำลังยิ้ม เห็นสีหน้าและท่าทีของฉินหลาง คนที่มาช่วยตามหาพวกนี้ก็หายโกรธไปไม่น้อย
“เสี่ยวฉิง ต่อไปต้องกลับบ้านเร็วๆ รู้ไหม! เธอรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรมาตลอด ทำไมวันนี้ถึงไม่ระวังล่ะ…ต่อไประวังด้วยแล้วกัน อย่าทำให้พ่อแม่เป็ห่วงอีก” ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเตือนเจียงเสี่ยวฉิงสองสามคำ เพียงแต่น้ำเสียงนุ่มนวล เป็การเตือนจากผู้หลักผู้ใหญ่เท่านั้น
พ่อแม่ของเจียงเสี่ยวฉิงหน้าบึ้งอยู่ตลอด นั่นเพราะว่าเป็ห่วงลูกสาวตัวเองจะเกิดเื่อะไรรึเปล่า อีกสาเหตุหนึ่งเพราะเห็นฉินหลางกับเจียงเสี่ยวฉิงสนิทสนมกันมากต่อหน้าเพื่อนบ้านของพวกเขา ทำให้พวกเขาเป็ห่วงว่าจะมีคนนินทา ยังดีที่เ้าหมอนี่มีไหวพริบดี ไม่ว่าที่พูดมานั้นเป็เื่จริงหรือเื่โกหก ก็ยังนับว่ามีความรับผิดชอบอยู่บ้าง แก้ต่างให้เจียงเสี่ยวฉิงแล้ว คนอื่นจะได้ไม่ต้องเอาเื่นี้ไปนินทา
เพราะความประพฤติของฉินหลางไม่เลว เดิมทีพ่อของเจียงเสี่ยวฉิงตั้งใจว่าจะด่าฉินหลางสักยก แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจแล้ว เพียงแต่พุดด้วยท่าทีเข้มครึมเท่านั้น “เ้าหนู ต่อไประวังหน่อย! ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว นายก็กลับไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนที่บ้านจะเป็ห่วง”
“เ้าหนู ตอนกลับระวังตัวด้วยนะ” แม่ของเจียงเสี่ยวฉิงเตือนด้วยความเป็ห่วง
“ขอบคุณครับคุณน้าคุณอา” ฉินหลางกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม ราวกับเด็กผู้ชายที่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง
หาเจียงเสี่ยวฉิงเจอแล้ว ผู้คนก็ต่างแยกย้ายกลับบ้านตัวเอง
หลังจากที่ผู้คนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว หลิวยี่เจินถามขึ้นเบาๆ ว่า “เสี่ยวฉิง ผู้ชายคนเมื่อกี้ เป็แค่เพื่อนที่เรียนที่เดียวกันจริงเหรอ?”
“แม่—เป็แค่เพื่อนนักเรียนจริงๆ ค่ะ!” เจียงเสี่ยวฉิงหน้าแดง
เจียงกั๋วเลี๋ยงไอสองครั้งพลางกล่าว “เสี่ยวฉิง ลูกใกล้จะสอบแล้ว จะต้องเข้มงวดกับตัวเองมากๆ หน่อยนะ! ส่วนเื่อื่น รอให้เข้ามหาลัยแล้ว ไม่สิ รอให้เรียนจบปริญญาก่อนค่อยว่ากัน!”
“กั๋วเลี๋ยง คุณจะซีเรียสขนาดนี้ทำไม…ทำไมต้องรอจบปริญญาก่อน ตอนที่คุณแต่งงานกับฉัน ฉันก็อายุประมาณเ้าฉิงนี่แหละ มาวนเวียนอยู่แถวบ้านฉันทุกวัน…”
“เคอะ~ ผมกำลังสั่งสอนลูกอยู่”
“คิกๆ~~” เจียงเสี่ยวฉิงหัวเราะ ในใจคิดว่ายังดีที่รอดมาได้
ทั้งสามคนเดินผ่านหมู่บ้านที่เงียบสงัด แสงไฟสองข้างทางทำให้เงาของพวกเขาดูยาวมากๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้