ซูซีเฉิงเป็ถึงเทพศาสตราวุธลำดับที่สามซ้ำยังมีพลังเพลงกระบี่เมฆาเพลิงัที่ล้ำลึกและเพลงกระบี่ประจำตระกูลอีกต่างหากดังนั้นเมื่อผู้ที่เป็ถึงจอมยุทธ์ระดับเซียนในขั้นผู้พิทักษ์ระดับดาวอย่างเขาตวาดขึ้นจึงทำให้ทั้งเยว่หลิงและซือเทียนสิงชะงักไปเพราะถ้าเขาเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยก็เท่ากับสามารถแบ่งฝั่งแพ้ชนะกันได้ง่ายดายถึงแม้เยว่หลิงจะเป็เทพศาสตราวุธลำดับที่หนึ่งแต่ซือเทียนสิงกลับเป็แค่เทพศาสตราวุธลำดับที่สามสิบสามเท่านั้นถ้าจะให้มาสู้กับเทพศาสตราวุธลำดับที่สองและสามถึงอย่างไรก็แพ้อยู่ดี
พี่เสวียนยินเก็บพลังดรรชนีทองคำเอาไว้ก่อนจะหันมามองข้าด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เหมือนกำลังถามว่า “ข้าเก่งใช่ไหมล่ะ?”
ซูซีเฉิงถือกระบี่อันล้ำค่าไว้ในมือก่อนจะเดินลงมายังสนามหินที่แตกไปเพราะการต่อสู้ก่อนจะถามขึ้น“ไต่ซือก้งอี้ ท่านรู้หรือเปล่าว่าตอนที่อยู่ในสนามประลองเซินยวนศิษย์รักของท่านอย่างฟางชิงยวนคิดจะทำลายปราณิญญาของลูกสาวข้า”
“เื่นี้มัน...”
เยว่หลิงถึงกับหน้าซีดลงไปทันทีเมื่อได้ยินแต่พอหันไปเจอสายตาของมู้เซวี่ยนและฟางชิงยวนก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็เื่จริงจึงได้แต่กัดฟันพูด “เื่นี้ข้าไม่ทราบจริงๆ!”
ซูซีเฉิงมองด้วยสายตาเรียบๆก่อนจะพูดขึ้น “ข้าซูซีเฉิงมีลูกสาวเพียงคนเดียว ข้าเลี้ยงนางเหมือนไข่มุกในฝ่ามือที่มีค่าและสำคัญกว่าชีวิตข้าหลายเท่าแต่ฟางชิงยวนกลับคิดจะทำลายปราณิญญาของนาง ฮึ!คนอย่างเ้าบังอาจคิดจะทำลายปราณิญญาของลูกสาวข้าอย่างนั้นเหรอ?!...องครักษ์โลหิตัจับตัวฟางชิงยวนไปรอลงโทษที่สมาคมพันธมิตรนักปราชญ์ขาว!”
“ขอรับ ท่านเสนาบดี!”
องครักษ์โลหิตัซึ่งมีขั้นการบำเพ็ญอยู่ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพเป็อย่างต่ำต่างก็นำอาวุธของตัวเองออกมาด้วยแววตาที่โเี้องครักษ์โลหิตัเป็คนที่ซูซีเฉิงคัดเลือกจากกองทหารนับแสนนับล้านนายซึ่งแต่ละคนก็เป็เหมือนแขนขาและจิตใจของซูซีเฉิงที่จงรักภักดีดังนั้นถ้าใครไปหาเื่คนพวกนี้เข้าก็เท่ากับหาเื่กลุ่มนักฆ่าฝีมือดีที่สุดในแผ่นดินหลงหลิงแห่งนี้นั่นเอง
“ช้าก่อน!”
เยว่หลิงขมวดคิ้วเข้มก่อนจะพูดขึ้น“ท่านเสนาบดี ถึงแม้ว่าการกระทำของฟางชิงยวนจะไม่ถูกต้องแต่ถึงยังไงตอนนี้ปราณิญญาของแม่นางซูเหยียนก็ไม่ได้ถูกทำลายไปจริงๆ...ท่านเสนาบดีช่วยเห็นแก่หน้าข้าและปล่อยฟางชิงยวนไปสักครั้งได้หรือไม่ขอรับ?”
ซูซีเฉิงที่ได้ยินก็เห็นใจก่อนจะพูดขึ้น“ข้าหวังว่าเมื่อท่านกลับไปแล้วจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดีเพราะข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าทั้งที่อายุยังน้อยแต่เขากลับมีจิตใจโเี้อำมหิตขนาดนี้!แต่ถ้าเขาตกอยู่ในกำมือของข้าอีกครั้งละก็ ข้าไม่มีทางปล่อยมันไปเด็ดขาด!”
“ขอบคุณขอรับท่านเสนาบดี!”
เยว่หลิงว่าแล้วปรายตามองมู้เซวี่ยนกับฟางชิงยวนก่อนจะพูดขึ้น“ยังไม่รีบขอบคุณท่านเสนาบดีอีก!”
“ขอบคุณมากขอรับ ท่านเสนาบดี!”
“ช่างเถอะ เลิกขอบคุณข้าได้แล้ว!”
และตอนนี้เองพี่เสวียนยินก็หันไปมองท่านผู้าุโของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะพูดขึ้น“ท่านผู้าุโท่านควรจะประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการประลองที่ได้รับรางวัลได้แล้วล่ะ”
“อ้อ จริงด้วยๆ”
ผู้าุโของวิหารศักดิ์สิทธิ์ยิ้มส่งให้เทพศาสตราวุธทั้งสามด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่ไม่อยากจะยุ่งเื่ของโลกภายนอกก่อนจะลูบเครายาวๆ ของตัวเองพลางพูดขึ้น“ต่อไปคือการประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการประลองตามลำดับ ลำดับที่หนึ่งปู้อี้เชวียน รางวัลคือยาิญญา์หนึ่งเม็ด แหวนกระดูกจักรภพหนึ่งวงและพรุ่งนี้ตอนเช้าก็สามารถเข้าไปในห้องเก็บตำราของวิหารศักดิ์สิทธิ์ชั้นบนสุดเพื่อเลือกตำราวรยุทธ์ิญญาไปหนึ่งเล่มได้เลย...ลำดับที่สองฟางชิงยวน ลำดับที่สาม ซูเหยียน ได้รางวัลเป็ยาลมปราณคนละหนึ่งเม็ดแหวนกระดูกจักรภพคนละหนึ่งวง และพรุ่งนี้เช้าก็สามารถเข้าไปในห้องเก็บตำราของทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางเพื่อเลือกตำราวรยุทธ์ิญญาได้คนละหนึ่งเล่มเช่นกันส่วนลำดับที่สี่ถึงลำดับที่สิบมีรายชื่อดังต่อไปนี้ มู้เซวี่ยน หวังชงถังเชวียหราน ถงจั๋ว หลัวิไฮ่ ซือคงอี้ หลินห้าวเจี๋ยรางวัลของพวกเ้าก็คือยารวมิญญาหนึ่งเม็ด แหวนกระดูกจักรภพหนึ่งวงพรุ่งนี้เช้าก็สามารถเข้าไปในห้องเก็บตำราของทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเพื่อเลือกตำราวรยุทธ์ิญญาคนละหนึ่งเล่มเอาล่ะ ข้าขอประกาศให้การประลองวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้คืนนี้ขอเชิญผู้ชนะการประลองทั้งสิบไปร่วมงานเลี้ยงที่ห้องโถงรับรองของทางวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับรางวัลส่วนพรุ่งนี้เช้าพวกเ้าก็ใช้สายรัดผูกิญญาเป็ใบเบิกทางเพื่อเข้าไปในห้องเก็บตำราได้ทุกเมื่อ”
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับคำก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณขอรับท่านผู้าุโ!”
ท่านผู้าุโยังคงยิ้มกว้างๆก่อนจะพูดขึ้น “พากันไปพักผ่อนและรักษาตัวกันได้แล้วหลังจากนั้นก็ไปเจอกันที่ห้องโถง!”
“ขอรับ”
...
ขณะที่เดินลงเขาพี่เสวียนยินนางก็เดินอยู่ข้างๆข้าด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
ข้าเห็นแบบนั้นแล้วจึงพูดขึ้น“ท่านพี่ ดูเหมือนท่านจะมีความสุขมากกว่าข้าที่ได้ที่หนึ่งอีกนะ”
นางยิ้มไหวไหล่ก่อนจะพูดขึ้น“เ้าเด็กโง่ จริงๆ แล้วข้าคิดว่าเ้าจะได้ที่สองไม่อย่างนั้นก็ที่สามเสียอีกนึกไม่ถึงว่าเ้าจะได้ที่หนึ่งกลับออกมา ซึ่งเกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ตั้งเยอะ!”
“แต่ถึงยังไงข้าก็ก่อเื่ไว้ไม่น้อยอยู่ดี คนอย่างฟางชิงยวน...”
“ฮึ!”
ปู้เสวียนยินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยแววตาที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สบอารมณ์“เยว่หลิงชูคออย่างยิ่งยโสมาตลอด นิสัยแย่ๆ จึงถ่ายทอดไปสู่ลูกศิษย์ของเขาด้วยการที่เ้าสั่งสอนคนฟางชิงยวนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแบบนั้นถือว่าเป็เื่ดีด้วยซ้ำไปแต่พวกนั้นไม่ยอมรับความหวังดีของพวกเราเอง”
“ฟางชิงยวนถูกข้าทำลายปราณิญญาไปแล้วข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะหาทางเอาคืนหรือเปล่า”
“ก็เป็ไปได้... ขนาดข้ายังสามารถนำปราณิญญาใส่ให้เ้าแทนได้เลยดังนั้นคนอย่างเยว่หลิงก็น่าจะทำได้ไม่ยาก ข้าว่าอีกหน่อยเ้าระวังตัวไว้บ้างก็ดี”
“อืม”
...
ตอนดึกในห้องโถงรับรอง
ผู้ชนะทั้งสิบคนต่างก็นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่มีมากมายหลากหลายพร้อมกับอาจารย์ผู้ควบคุมที่พามาส่วนผู้าุโทั้งหลายของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็มาพร้อมแล้วเหมือนกันดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มให้ความสำคัญกับผู้ชนะอย่างพวกข้าทั้งสองคนบ้างแล้ว
ท่านผู้าุโใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“ให้คนนำของรางวัลไปแบ่งให้ผู้ชนะทั้งสิบก่อนไป”
“ขอรับ!”
องครักษ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนต่างยกกล่องผ้าไหมที่มีของรางวัลของทุกคนไปยังโต๊ะเมื่อเขาเดินมาถึงโต๊ะตัวที่หนึ่งซึ่งข้ากับพี่เสวียนยินนั่งอยู่ด้วยกันก็วางกล่องนั้นลงก่อนจะเปิดออก
เม็ดยาสีแดงด้านในส่องแสงประกายออกมาให้เห็นทันทีเมื่อเปิดออกส่วนข้างๆ กันก็คือแหวนกระดูกิญญาซึ่งเป็อาวุธิญญาระดับเงินวางอยู่น่าเสียดายที่ข้ามีแหวนกระดูกจักรภพอยู่แล้วมันจึงกลายเป็ส่วนเกินไปแต่เก็บไว้ก่อนก็ดีเพราะถึงอย่างไรวันข้างหน้าก็อาจจะมีโอกาสได้ใช้
“เม็ดยาิญญา์...” ข้ามองของตรงหน้าพลางพูดเสียงเบา
ปู้เสวียนยินหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดขึ้น “ยาิญญา์ได้ชื่อว่าเป็ยาศักดิ์สิทธิ์ที่หลอมขึ้นมาจากวัตถุดิบชั้นดีเมื่อใช้แล้วจะสามารถเพิ่มขั้นการบำเพ็ญของผู้ใช้ได้อย่างมากและยังสามารถเพิ่มพลังให้จุดประภพิญญาของคนคนนั้นได้อีกด้วยโดยยาชนิดนี้มีราคาประมาณสองร้อยล้านเป็อย่างต่ำ แต่ว่า...จริงๆ แล้วยาชนิดนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์กับผู้ฝึกฝนิญญาที่บำเพ็ญจนถึงขั้นผู้พิทักษ์สักเท่าไรถ้าเ้ากินเข้าไปมันก็แค่ทำให้ขั้นการบำเพ็ญเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นเล็กๆ เท่านั้นแหละ”
ข้าลอบยิ้มเมื่อได้ยินก่อนจะพูดขึ้น“ฮะ! ถ้าอย่างนั้นข้าเก็บไว้ให้ซ้งเชียนดีกว่า”
“ฮะ?”
นางมองข้าอย่างประหลาดใจก่อนจะพูดย้ำ“มีของดีแบบนี้อยู่กับตัวแต่เ้ากลับจะเอาไปให้เ้าเด็กซ้งเชียนเนี่ยนะ?”
“อืม ถึงยังไงมันก็แค่ของนอกกาย จะไปสำคัญเท่ากับสหายที่จงรักได้ยังไงล่ะท่านว่าไหม?”
“อืม แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน!”
และในตอนนี้เองผู้าุโใหญ่ก็พูดขึ้น“อย่างแรกข้าต้องขอแสดงความดีใจกับผู้ชนะทั้งสิบท่านเป็อย่างมากและอีกอย่างข้าได้เตรียมตราสัญลักษณ์องครักษ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ไว้สิบชิ้นถ้าผู้ชนะทั้งสิบคนใดสนใจจะเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถมาหยิบไปได้เลยและหลังจากที่ท่านได้ตราสัญลักษณ์นี้ไปก็จะถือว่าเป็คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็องครักษ์ชั้นต้นทันทีมีใคร...ยินยอมที่จะรับใช้วิหารศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?”
นี่คงจะเป็จุดประสงค์หลักที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้จัดการประลองครั้งนี้ขึ้นมาสินะก็ไม่แปลก เพราะถึงอย่างไรผู้ชนะทั้งสิบลำดับของการประลองต่างก็เป็ผู้เก่งกล้าที่มีชื่อเสียงทั้งนั้นแล้วจะให้วิหารศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งโอกาสดีๆ ที่จะชักจูงคนให้เข้าร่วมได้อย่างไรกัน
ทั้งข้าซูเหยียนและถังเชวียหรานไม่ได้เข้าไปเอาตราที่ว่าเพราะพวกเราต่างก็วาดฝันร่วมกันไว้หมดแล้วจึงไม่มีความจำเป็ที่จะต้องเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์อีก
ส่วนทั้งฟางชิงยวนมู้เซวี่ยนและคนอื่นๆ ต่างก็เงียบไปจะมีก็แต่ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาอย่างซือคงอี้เท่านั้นที่ลุกขึ้นและเดินไปด้านหน้าของผู้าุโใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านผู้าุโข้าน้อยยินดีที่จะเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ และพร้อมจะถวายตัวและหัวใจเพื่อจงรักภักดีต่อวิหารศักดิ์สิทธิ์และปกป้องเจ็ดเทพิญญาแต่เพียงผู้เดียวขอรับ!”
ปู้เสวียนยินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะถามขึ้น“ซือคงอี้ นี่เ้า...?”
ซือคงอี้หันมามองพวกข้าอย่างละอายก่อนจะรับตราสัญลักษณ์นั่นแล้วเดินตามองครักษ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ไป
“คนเราต่างก็มีความคิดเป็ของตัวเองกันทั้งนั้นบางทีเขาอาจจะไม่มีทางเลือกอื่นก็ได้...”
ข้าว่าแล้วยื่นตะเกียบไปคีบของกินเข้าปากก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม“ตอนที่อยู่ในจักรภพธารา ซือคงอี้ก็เอาแต่ยืนมองข้าขณะถูกฟางชิงยวนทำร้ายแถมยังผันตัวไปติดตามฟางชิงยวนอีกต่างหากและหลังจากนั้นเขาก็คงจะรู้ว่ากลับไปที่สำนักไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ”
“มีเื่แบบนี้ด้วยเหรอ?”
พี่เสวียนยินชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น“ก็ดีเหมือนกัน เพราะเก็บคนแบบนั้นไว้ในสำนักก็ไม่มีประโยชน์อะไรพวกเราไม่้าคนแบบนั้นหรอกนะเพราะการเป็คนของสำนักหมื่นิญญาจะต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านคนอย่างซือคงอี้คงไม่เหมาะ!!”
ข้าได้ยินแบบนั้นจึงถามด้วยความสงสัย“ท่านพี่ จริงๆ แล้วเครือข่ายความสัมพันธ์ของสำนักของเราเป็มายังไงกันแน่?”
นางยิ้มขึ้นอย่างสวยงามก่อนจะพูดขึ้น“พูดแบบนี้ก็แล้วกัน ข้าเคยเป็ศิษย์ของหนึ่งในเจ็ดเทพอย่างท่านหนานเยว่มาก่อนและเ้าสำนักอย่างฉื่อเสี้ยนก็เหมือนกัน ดังนั้นก็ถือว่าเขาเป็ศิษย์พี่คนหนึ่งของข้าส่วนหลัวเสียนก็เป็ญาติห่างๆ ของฉือเสี้ยนคนหนึ่งสามปรมาจารย์ิญญาต่างก็มีเส้นสายที่สืบต่อกันไปส่วนพวกปรมาจารย์นักรบิญญาอย่างเฉิ่นปู้หยุน หลันเท้อ ถังหูและก็คนอื่นๆต่างก็ได้ฉื่อเสี้ยนซึ่งเป็เหมือนอาจารย์คอยชี้แนะแนวทางกันทั้งนั้นถึงแม้จะเป็เพียงความสัมพันธ์แบบอาจารย์กับลูกศิษย์แต่ก็ทำให้สำนักของเราเป็อันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ดี”
ข้าได้ยินแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกนึกไม่ถึงเลยว่าในสำนักจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขนาดนี้มิน่าล่ะสำนักหมื่นิญญาถึงได้เป็หนึ่งในสี่สำนักที่ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
“เอาล่ะๆ กินข้าวและรีบไปทำแผลแล้วนอนซะพรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยจะได้ไปดูวรยุทธ์ิญญาในหอเก็บตำรา”
“อืม!”
...
กว่าจะกลับมาถึงที่พักก็ดึกมากแล้วต้นไผ่นอกหน้าต่างพลิ้วไหวไปตามแรงลมจนเกิดเสียงเสียดสีดังเป็ระยะท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง
ก๊อก!ก๊อก!
เมื่อสิ้นเสียงเคาะประตูเสียงของซูเหยียนก็ดังขึ้น “เ้าคนกินจุ ข้าเอาของมาให้”
“หืม?”
เมื่อข้าเปิดประตูออกไปก็พบซูเหยียนในชุดกระโปรงตัวยาวสีฟ้าน้ำทะเลรัดรูปจนสามารถมองเห็นร่างกายที่ได้สัดส่วนบริเวณเอวคอดมีเข็มขัดเส้นสีทองคาดไว้ และคาดว่านางน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จถึงได้ม้วนผมขึ้นสูงและใช้ปิ่นปักเอาไว้แบบลวกๆทว่ากลิ่นน้ำหอมจางๆที่ลอยมาแตะจมูกนั้นกลับทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นว่านางถือโจ๊กอยู่ในมือข้าก็ถามขึ้น“เสี่ยวเหยียน...นี่คือ? ...มื้อดึกอย่างนั้นเหรอ?”
“อืม”
นางมองเข้ามาในห้องแบบลังเลก่อนจะยิ้มขึ้นบางๆเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง“นี่เป็ซุปเจ็ดสิ่งล้ำค่าที่องครักษ์โลหิตักินเพื่อรักษาอาการาเ็ข้าเห็นว่าสรรพคุณของมันดีมากๆ ก็เลยเอามาให้เ้าชามหนึ่ง รีบกินตอนยังร้อนๆ สิ!”
“อืม เข้ามาก่อนสิ...ขอบใจเ้ามากนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า”
หลังจากที่เข้ามาในห้องนางก็วางโจ๊กไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งลงอยู่ตรงหน้าแล้วถามด้วยรอยยิ้ม“ปู้อี้เชวียน จริงๆ แล้วข้ามีเื่เื่หนึ่งอยากจะถามเ้ามาตลอดเลยล่ะ”
“ว่ามาสิ” ข้าว่าแล้วตักโจ๊กขึ้นมาชิม...อร่อยจริงๆ ด้วย
“คือว่า...ทำไมเ้าถึงมาช่วยข้าตอนที่จะถูกฟางชิงยวนทำลายปราณิญญาได้ทันเวลาล่ะ?ความจริงแล้วเ้าน่าจะเข้ามาในชั้นที่เจ็ดอย่างมิติกระจกช้ากว่าพวกข้าสามชั่วโมงเป็อย่างต่ำด้วยซ้ำไป”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันจำได้ว่าพอเห็นเ้ากับฟางชิงยวนกำลังสู้กันในกระจกข้าก็ร้อนใจจนอยู่ไม่เป็สุขจากนั้นอยู่ๆ กระจกบานนั้นก็พาข้าเข้าไปหาเ้าเสียอย่างนั้น”
“ฮะ แค่นี้จริงๆ เหรอ?”
“อืม มีอะไรหรือเปล่า?”
“ก็เปล่า...”
ซูเหยียนไม่ได้พูดอะไรต่อแต่การที่นางนั่งหน้าแดงอยู่ตรงข้ามกับข้าตอนนี้กลับดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้