หลงอวี้ค่อนข้างไวต่อจิตสังหารเป็พิเศษ เขาพลันมองเฟิงชิงชิงและถานเจียนเพียงครู่เดียวก็จำทั้งสองคนได้
“ที่แท้ก็เป็เฟิงชิงชิงกับถานเจียน สองคนนี้ก็ไปด้วยหรือ...”
หลงอวี้ไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาเดินไปทีละก้าว
“ไอ้สวะ เ้าบังอาจทำร้ายพี่ชายข้า เฟิงหยาง การเดินทางครั้งนี้ ข้าจะสั่งสอนเ้า!”
เฟิงชิงชิงหัวเราะอย่างเ็า พูดข่มขู่หลงอวี้
“จนป่านนี้แล้ว เ้าก็ยังเรียกข้าว่า ‘สวะ’ ถ้าอย่างนั้น เฟิงหยาง พี่ชายของเ้าที่สู้ข้าไม่ได้ มันไม่เป็สวะยิ่งกว่าข้าอีกหรือ?”
หลงอวี้ตอกกลับไปอย่างแข็งกร้าว!
“ปากเก่งอย่างเดียวมันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ ข้าหวังว่าฝีมือของเ้าจะเก่งได้เท่าปาก!”
เฟิงชิงชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
นางไม่ลดตัวไปต่อปากต่อคำกับหลงอวี้อยู่แล้ว นางมีวิถียุทธ์ถึงขั้นเจ็ดเชียวนะ ไอ้สวะอย่างหลงอวี้มีสิทธิ์คุยกับนางได้ที่ไหน?
แต่นางกลับไม่รู้เลยว่า ในครึ่งเดือนก่อนนั้น หลงอวี้สามารถสังหารฉินเทียนเชวี่ยที่มีวิถีวรยุทธ์ขั้นเจ็ดเท่ากับนางได้แล้ว!
เทียบกับเฟิงชิงชิงแล้ว ถานเจี้ยนที่อยู่ข้างๆ นับว่ามีวุฒิภาวะสูงกว่ามาก
ชายร่างใหญ่ที่มีวิถียุทธ์ขั้นแปดผู้นี้ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แค่มองหลงอวี้ ก็มีจิตสังหารเข้มข้นทรงพลังราวกับเป็สสารปกคลุมเขาไว้ก็ไม่ปาน!
ผู้ที่มั่นใจในตัวเองจริงๆ ไม่จำเป็ต้องพูดมาก เพียงใช้สายตาก็สามารถส่งคำเตือนให้ผู้อื่นได้แล้ว
ไอ้สวะหลงอวี้บังอาจทำร้ายและหักขาของถานเยว่ไปข้างหนึ่ง พี่ชายอย่างเขามีหรือจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ?
ไม่ต้องคิดอะไรมาก ในการเดินทางครั้งนี้ ถานเจียนจะต้องเล่นงานหลงอวี้ไม่ผิดแน่
แต่น่าเสียดายที่หลงอวี้ไม่ได้ใส่ใจแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของถานเจียนแม้แต่น้อย
แววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารแบบนี้ หลงอวี้เจอมานักต่อนักแล้ว
เ้าถานเจียนนี่ยังนับว่าอ่อนไปด้วยซ้ำ!
หลงอวี้ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย และตรงเข้าร่วมกลุ่มคน เตรียมพร้อมออกเดินทาง
สำหรับลูกศิษย์ลัทธิสยบฟ้าคนอื่นๆ พวกเขาต่างตื่นเต้นที่จะได้เดินทางไปยังป่าโสมโบราณ ไม่ได้ใส่ใจเื่ความขัดแย้งระหว่างหลงอวี้กับเฟิงชิงชิงและถานเจียนสักเท่าไร
กลุ่มคนสิบห้าคน รวมหลงอวี้และผู้าุโอวี้ด้วยแล้วมีทั้งหมดสิบเจ็ดคน นี่เป็จำนวนคนทั้งหมดของลัทธิสยบฟ้าที่จะเดินทางไปยังป่าโสมโบราณครั้งนี้
แต่ละคนเตรียมม้ามาคนละหนึ่งตัว ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางได้เร็วขึ้น
“หากก้าวถึงขอบเขตวิถียุทธ์ในตำนานได้ ก็จะผสานเป็หนึ่งเดียวกับฟ้า สามารถเดินทางบนอากาศได้ แต่น่าเสียดายที่ตัวตนระดับนั้น ทั่วทั้งอาณาจักรต้าถังมีเพียงหยิบมือ...”
ผู้าุโอวี้ที่อยู่ไกลออกไป ดูเหมือนพูดขึ้นลอยๆ ขณะกำลังขึ้นหลังม้า แต่แท้จริงแล้วเขาตั้งใจพูดเช่นนั้น เพื่อสั่งสอนทั้งสิบหกคนกลายๆ
คนผสานฟ้า เดินทางบนอากาศ ต้องเป็ขอบเขตวิถียุทธ์ที่แข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน?
แม้แต่ยอดฝีมืออย่างผู้าุโอวี้ก็ยังดูไกลเกินเอื้อม!
“ข้าแก่แล้ว ระดับวิถียุทธ์หยุดนิ่งไม่อาจรุดหน้าได้อีก แต่พวกเ้านั้น วิถียุทธ์ยังมีความเป็ไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด”
ผู้าุโไม่ได้หันกลับมาพูดด้วย แต่เสียงของเขากลับก้องกังวาน
“ป่าโสมโบราณเป็เพียงหนึ่งส่วนในเส้นทางวรยุทธ์อันยาวไกลของพวกเ้า หากประสบอันตรายใดๆ จงให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองมากที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจขอรับ”
ทุกคนพยักหน้า
เส้นทางวรยุทธ์อันยาวไกล พลังเป็สิ่งสำคัญที่สุด แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของชีวิตอยู่ดี
หากไร้ซึ่งชีวิต ทุกอย่างก็จบสิ้น
เื่นี้ทุกคนต่างก็รู้ดี!
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโอกาสอันล้ำค่าในเส้นทางวรยุทธ์ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้ พอถึงเวลาจริงๆ เกรงว่าผู้คนทั้งหมดคงเลือกที่จะทุ่มชีวิตเพื่อไขว่คว้าพลังไว้ให้ได้
ทุกคนต่างขี่ม้าออกเดินทาง
ป่าโสมโบราณของราชวงศ์ ตั้งอยู่ทิศเหนือของลัทธิสยบฟ้าซึ่งห่างไกลสุดสายตา ต่อให้เดินทางด้วยม้าก็ยังใช้เวลามากถึงสิบวัน
ไปกลับใช้เวลายี่สิบวัน รวมเวลาที่อยู่ในป่าโสมอีกสิบวัน การเดินทางไปป่าโสมโบราณครั้งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งเดือน
‘กลับจากป่าโสมโบราณ งานชุมนุมตระกูลเฟิงก็ใกล้จะเริ่มพอดี...’
หลงอวี้คิดในใจเช่นนั้น ก่อนจะสอบตรวจสอบลูกศิษย์ร่วมลัทธิที่เดินทางไปด้วยกันครั้งนี้
อีกสิบห้าคนที่เหลือล้วนเป็ลูกศิษย์ระดับสูง มีพลังระดับวรยุทธ์ขั้นหก บางคนมีถึงขั้นเจ็ด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นคือถานเจียนที่มีวรยุทธ์ขั้นแปด
ตามหลักการ พลังของถานเจียนตอนนี้สามารถท้าประลองเพื่อเลื่อนขั้นเป็ลูกศิษย์ระดับพิเศษได้นานแล้ว แต่เขากลับไม่ทำเช่นนี้
ในลัทธิสยบฟ้ามีลูกศิษย์ระดับพิเศษทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดคน หากคิดจะเลื่อนขั้นเป็ลูกศิษย์ระดับพิเศษก็ต้องเลือกท้าประลองกับลูกศิษย์ระดับพิเศษหนึ่งคน หากชนะก็จะเข้าไปแทนที่ได้ทันที
ท่าทางถานเจียนจะรอให้กลับมาจากป่าโสมโบราณครั้งนี้ก่อน ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นค่อยไปท้าประลอง หากเป็เช่นนั้น ก็จะสามารถทะลวงขึ้นไปอยู่อันดับสูงๆ ได้ในคราวเดียว เพราะการท้าประลองกับลูกศิษย์ระดับพิเศษมีโอกาสแค่ปีละครั้ง
‘เทียบกันแล้ว การขึ้นเป็ลูกศิษย์ระดับสูงง่ายกว่ากันเยอะเลย’
หลงอวี้คิดในใจ
ขอเพียงยกระดับพลังขึ้นสู่วิถียุทธ์ขั้นหกได้ ก็จะเข้ารับการทดสอบจากผู้าุโได้ หากสอบผ่านก็จะได้เป็ลูกศิษย์ระดับสูงของลัทธิสยบฟ้า
หากได้เป็ลูกศิษย์ระดับสูงแล้ว ทางลัทธิก็จะมอบยุทธภัณฑ์ระดับล่างชิ้นหนึ่งให้ เพื่อยกระดับพลังให้สูงขึ้น
แต่หลงอวี้มีรองเท้าเหมันต์คลั่งแล้ว จึงไม่แตกต่างกับลูกศิษย์ระดับสูงสักเท่าไร
ในการเดินทางครั้งนี้ ฝั่งของลัทธิสยบฟ้าไม่มีลูกศิษย์ระดับพิเศษเข้าร่วมสักคน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่แกร่ง แต่เป็เพราะพวกเขาอายุเกินยี่สิบปีกันแล้ว ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมป่าโสมโบราณอีก
‘ได้ยินว่า ลัทธิพันไหมครั้งนี้มีลูกศิษย์ระดับพิเศษที่พร์ร้ายกาจผู้หนึ่งเข้าร่วมด้วย ไม่รู้ว่าระดับพลังอยู่ขั้นไหนแล้ว เทียบกับถานเจียนแล้วใครจะแกร่งกว่า...’
หลงอวี้คิดในใจ รู้สึกคาดหวังเล็กน้อย
ขอเพียงก้าวขึ้นสู่วรยุทธ์ขั้นเจ็ดได้ ต่อให้เป็ยอดฝีมือขั้นแปดอย่างถานเจียนก็ใช่ว่าจะต่อกรไม่ได้ และโอกาสในการก้าวขึ้นสู่ขั้นเจ็ดนั้นก็อยู่ในป่าโสมโบราณครั้งนี้
ขอเพียงเก็บโสมโบราณได้หลายต้น ดูดกลืนพลังฟ้าดินภายในนั้น การยกระดับเป็ขั้นเจ็ดก็ไม่ใช่เื่ยากลำบาก
ผู้คนต่างควบม้าตะบึงผ่านกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ใต้ท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆสีขาว!
ระหว่างนั้น หลงอวี้ที่ว่างอยู่ก็เริ่มโคจรพลังตามหลักเคล็ดสยบฟ้า ภายในเคล็ดสยบฟ้ามีกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินที่ผู้คิดค้นวิชาได้แฝงไว้อยู่ด้วย หากหลงอวี้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นตามที่ผู้าุโอวี้เคยพูดไว้ได้ สามารถััถึงแก่นที่อยู่ภายในเคล็ดสยบฟ้าได้ เช่นนั้น พลังต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
น่าเสียดายที่ตลอดเวลาสิบวันที่เดินทาง หลงอวี้ไม่ได้พัฒนาขึ้นสักเท่าไร นอกจากทำให้จินตภาพสยบฟ้าที่บรรลุได้ก่อนหน้านี้แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
‘ดูท่าการบรรลุแก่นสยบฟ้าจะยากไม่เบา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในบรรดาลูกศิษย์ของลัทธิสยบฟ้า ผู้ที่บรรลุพลังจินตภาพได้ล้วนขึ้นเป็ลูกศิษย์ระดับพิเศษแล้วทั้งสิ้น...’
หลงอวี้นึกเสียดายในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดมากนัก ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเข้าสู่วิถีแห่งวรยุทธ์ได้ไม่นาน ขอเพียงให้เวลาเขาสักหน่อย ก็มั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางด้อยกว่าผู้อื่นแน่นอน
หลังผ่านไปสิบวัน เมืองโบราณที่สร้างขึ้นบนูเาก็ปรากฏต่อสายตาของผู้คน!
“เมืองแห่งป่าโสมโบราณ เมืองที่สร้างขึ้นโดยราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าถัง ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในนั้น ล้วนเป็ผู้ที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับราชวงศ์ คอยทำหน้าดูแลป่าโสมโบราณที่อยู่หลังเมือง”
เมื่อมาถึงนอกเมืองแห่งป่าโสมโบราณ ผู้าุโอวี้ก็อธิบายให้ผู้คนฟัง
หลงอวี้เงยหน้ามองไปทางเมืองแห่งป่าโสมโบราณ พบว่าเมืองนี้เล็กกว่าเมืองอวี้กวนไม่น้อย แต่กำแพงเมืองกลับหนากว่าอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าจะเป็กำแพงที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อป้องกันป่าโสมโบราณโดยเฉพาะ
สำนักลัทธิใหญ่ทั้งหลาย และตระกูลใหญ่ต่างๆ ในเขตพระราชฐานนั้น หากจะเข้าไปในป่าโสมโบราณ ต้องมาที่เมืองแห่งโสมนี้ก่อน
เมืองแห่งป่าโสมนั้น ประตูเมืองปิดสนิท ผู้าุโอวี้ควบม้ามุ่งไปข้างหน้า ส่งเสียงะโไปบนกำแพง
“อวี้สุ่ยอวิ๋นจากลัทธิสยบฟ้า พาลูกศิษย์ของลัทธิมาถึงแล้ว!”
หลังสิ้นเสียง ประตูเมืองขนาดมหึมาก็ตกลงมาพาดเหนือแม่น้ำรอบเมือง หมายความว่าอนุญาตให้พวกเขาเข้าเมืองได้
“ไปกันเถอะ”
ผู้าุโอวี้หันหลังกลับ นำผู้คนทั้งหลายขี่ม้าเข้าเมือง
เมื่อเข้าไปในเมืองแล้ว สิ่งแรกที่หลงอวี้เห็นคือถนนอันกว้างใหญ่ของเมืองที่สร้างจากอิฐโบราณ ถนนยาวตรงไปยังเทือกเขานอกเมือง ตรงใจกลางของถนนเส้นนี้ ได้มีเงาร่างสีดำสายหนึ่งยืนอยู่!
ทันทีที่หลงอวี้เห็น ก็พลันชะงักทันที เพราะเงาดำนั่นมันดูประหลาดมากจริงๆ!
แม้จะดูเหมือนเงาร่างของสตรีผู้งดงามคนหนึ่ง แต่หลงอวี้มั่นใจว่านั่นไม่ใช่คน ทว่าเป็ตัวตนที่คล้ายกับเงาของมนุษย์ต่างหาก
เงาดำนั่นยืนขวางทางเดินของคนจากลัทธิสยบฟ้าเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาดีแน่
“คนของลัทธิพันไหม”
ในกลุ่มคนของลัทธิสยบฟ้าพลันมีคนส่งเสียงขึ้นอย่างอดไม่ได้
ลัทธิพันไหม?
หลงอวี้ขมวดคิ้ว ลัทธิพันไหมนี่ เป็ลัทธิแบบไหนกัน ทำไมดูเหมือนเป็เงาล่ะ?
ในตอนที่ผู้คนกำลังคิดไปต่างๆ นานา เงาดำนั่นก็พูดขึ้นกะทันหัน!
เป็เสียงพูดของสตรีที่สดใสน่าฟัง ทว่ากลับแฝงความเย้ยหยันอยู่เล็กน้อย
“พวกเ้าลัทธิสยบฟ้านี่ ดูไม่เท่าไรเลยนะ ท่าทางจะด้อยกว่าสำนักน้ำแข็งเยือกเสียอีก”
พอคำพูดนี้ดังจากปากของเงาดำนั้น ก็ยิ่งแปลกประหลาดสุดขีด!
และเมื่อคนของลัทธิสยบฟ้าได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา คนของลัทธิสยบฟ้า ‘ดูไม่เท่าไร’ นี่หมายความว่าอย่างไร?
‘ด้อยกว่าสำนักน้ำแข็งเยือก’ หมายความว่าอย่างไร?
ดูถูกอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ทำให้คนของลัทธิสยบฟ้าส่วนใหญ่พลันเดือดดาล
มีเพียงถานเจียนเท่านั้นที่ยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น กล่าวอย่างเรียบเฉย
. “หรือว่าท่านคือเ้าหญิงพันไหม?”
“นับว่าเ้ายังพอมีตาอยู่บ้าง เอาล่ะ เ้าหญิงไม่ได้สนใจพวกเ้านัก จะปล่อยพวกเ้าไปก็แล้วกัน!”
เงาดำนั่นหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นก็สลายหายไปต่อหน้าผู้คนทั้งหมด เลือนลับหายไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
เ้าหญิงพันไหม?
“ศิษย์พี่ถานเจียน เ้าหญิงพันไหมเป็ใครหรือ?”
ชายหนุ่มร่างสูงที่มีวรยุทธ์ขั้นเจ็ดผู้หนึ่งในลัทธิสยบฟ้าถามถานเจียนพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เ้าหญิงพันไหม เป็บุตรีของประมุขลัทธิพันไหม และเป็ลูกศิษย์ระดับพิเศษเพียงหนึ่งเดียวของลัทธิพันไหมที่ได้เข้าป่าโสมโบราณครั้งนี้ น่ากลัวว่าพลังของนางจะเหนือกว่าข้าเสียอีก”
ถานเจียนพูดเสียงเครียด
“หากพวกเ้าเจอนางในป่าละก็ จงระวังตัวให้ดี สตรีผู้นี้จิตใจโเี้ ห้ามต่อกรด้วยเด็ดขาด!”
คนของลัทธิสยบฟ้าเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที
คิดไม่ถึงว่าเข้าเมืองมาได้ไม่ทันไร ก็ถูกยอดฝีมือของลัทธิพันไหมเย้ยหยันใส่หน้าแล้ว ท่าทีดูแคลนนั่น ทำเอาพวกเขาที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่หลงอวี้ไม่ได้ใส่ใจเื่นั้น เพียงแต่สงสัยในตัวเ้าหญิงพันไหมก็เท่านั้น
ลัทธิพันไหมฝึกฝนวิทยายุทธ์แบบไหนกัน ถึงขั้นควบคุมเงารูปร่างคนได้เลยหรือ?
อีกทั้งเงานั่นยังพูดได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นคงสามารถใช้ในการต่อสู้ได้แน่ หากต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้หลงอวี้รู้สึกว่าการเข้าป่าโสมโบราณครั้งนี้คงไม่หมูอย่างที่คิด!
แม้แต่ผู้าุโอวี้ที่อยู่หน้าสุดของกลุ่มก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย