นี่ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองนะ!
เจิ้งหยวนกัดฟันกรอด ตอนนี้เจิ้งเฉวียนกังกำลังเฝ้าเฉินชุ่ยอวิ๋นอยู่ แม้จะไม่พอใจขนาดไหน ก็ไม่อาจขึ้นชั้นบนไปทะเลาะกับเขาได้ หากเฉินชุ่ยอวิ๋นรู้ว่าเจิ้งเฉวียนกังไม่ยอมใช้เงินจากบัญชีของกองรักษาเจิ้งเทียนิ ก็กลัวว่าอาการจะกำเริบอีกรอบ! แถมเจิ้งเฉวียนกังมีนิสัยอย่างไรเล่า? เขารับราชการจนชินชา
และเป็ผู้นำที่พูดคำไหนคือคำนั้นแม้กระทั่งในบ้าน
เจิ้งหยวนรู้ดีว่าตนเองไม่มีสถานะพอจะโน้มน้าวเขา
เช่นนั้นไม่ไปหาให้เผลอโมโหเสียคงดีกว่า
ในมือเธอยังมีเงินยี่สิบหยวนที่เหลือจากซื้อผ้า และยี่สิบกว่าหยวนที่เหลือจากค่ารักษาพยาบาลของเฉินชุ่ยอวิ๋นอยู่ ภายภาคหน้าไม่รู้ว่ายังต้องนอนโรงพยาบาลอีกนานแค่ไหน ไม่เพียงแค่ค่าผ่าตัด ค่ายาตามหลังก็ต้องจ่ายไม่น้อย เงินแค่นี้ไม่มีทางพอแน่
ทว่าถึงเธอจะไม่มีเงิน แต่เธอมีมิตินี่? ในมิติข้าวของเยอะแยะขนาดนั้น เอามาแลกเงินจะยากอะไรล่ะ?
เมื่อนึกถึงมิติ ในที่สุดใจเธอจึงสงบลงบ้าง
แน่นอนว่า เธอไม่อาจบอกเฝิงิเยว่ตามตรงได้ว่าเธอจะหาทางเื่เงินเอง หลังตัดสินใจได้มั่นเหมาะแล้ว เจิ้งหยวนจึงพยายามเกลี้ยกล่อมเฝิงิเยว่ให้กลับบ้านไปดูแลเด็กทั้งสอง และถือโอกาสดูด้วยว่ายืมเงินได้ไหม เมื่อคล้อยหลังเฝิงิเยว่ เธอก็ไม่ได้อยู่เฝ้านิ่งๆ แต่อย่างใด เจิ้งหยวนฝากหลี่ชุนเซิงเฝ้าเจิ้งเทียนิสักพัก ก่อนที่เธอจะออกจากโรงพยาบาลและมุ่งหน้าไปยังตลาดมืดในอำเภอ
ยุคระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน ไม่ว่าจะเป็ธัญญาหารหรือสินค้าประเภทเนื้อและสินค้าอุตสาหกรรม ล้วนต้องใช้คูปองซื้อขาย แต่ละเดือนทุกคนจะหาปริมาณธัญญาหารและปริมาณเนื้อได้ในจำนวนจำกัด ต่อให้คุณมีเงินเดือนสูงก็ไม่สำคัญ ไม่มีคูปอง ย่อมไม่สามารถซื้อของด้วยลู่ทางปกติ ดังนั้น สถานที่ค้าขายผิดกฎหมาย เช่น ตลาดมืดจึงถือกำเนิดขึ้นมา ภายในตลาดมืดมีของขายทุกประเภท ส่วนใหญ่จะเป็พวกเนื้อ ผัก และผลไม้ แน่นอนว่าราคาขายย่อมสูงกว่าที่หน่วยงานจัดจ่ายมาก ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยยินดีที่จะซื้อมัน
เธอไม่แน่ใจว่าตลาดมืดเวลานี้อยู่สถานที่เดียวกับที่ที่เธอเคยไปหรือเปล่า มันเป็คฤหาสน์แถวชานเมืองแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเคยเป็บ้านใครมาก่อน ทั้งเก่าผุพัง ไม่มีหน้าต่างและหลังคายังเปิดโล่ง หลังรัฐบาลริบคืนก็ไม่มีคนอาศัยอยู่อีกเลย จึงใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนเป็ตลาดมืดแทน
ครั้นเลี้ยวถนนเข้ามา พบว่าสถานที่แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวกันดาร ไร้ผู้คน แต่ก็ยังมีบ้านคอยบางตาเป็หย่อมๆ ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นคนยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เขากำลังสอดส่องไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
เมื่อเห็นเจิ้งหยวน สายตาเขาพลันหยุดนิ่ง จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเธอ
ข้างหลังเจิ้งหยวนสะพายตะกร้าใบใหญ่ที่เธอค้นออกมาจากคลังของโรงแรมอย่างยากลำบาก มีเย็บเชือกสองเส้นไว้ให้คนสะพายสะดวกเหมือนกระเป๋าหนังสือ
ภายในตะกร้าบรรจุเนื้อเกือบร้อยจิน โชคดีที่คุณภาพตะกร้าดี และระยะทางไม่ไกล มิอย่างนั้นเธอคงแบกมาไม่ถึง
คนคนนั้นเห็นบนหลังเจิ้งหยวนสะพายตะกร้าอยู่ แม้เจิ้งหยวนจะแปลกหน้าแปลกตา แต่มองแวบเดียวก็รู้ว่ามาขายของ เลยค่อยๆ วางความระแวงลง
เจิ้งหยวนเดินเข้าไปหาอย่างมั่นคง
“พี่ชาย ฉันได้ยินว่าที่นี่แลกของได้…” เจิ้งหยวนจับสายสะพายไหล่ พูดคุยกับชายหนุ่มคนนั้น แววตาเธอเจือด้วยคลื่นอารมณ์ที่สั่นไหว แม้สีหน้าจะติดความไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ยังคงไว้ซึ่งการหยั่งเชิงอย่างแยบยล
ความระแวงในดวงตาชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็รอยยิ้ม เขามองตะกร้าสะพายหลังของเจิ้งหยวน มันใหญ่มากเหมือนแบกของจนเต็ม แต่ข้างบนคลุมผักไว้ชั้นหนึ่ง เลยไม่รู้ว่าข้างใต้คืออะไร ชายหนุ่มผลักประตูออกแล้วพูดกับเจิ้งหยวน “เข้าไปเถอะ”
เมื่อประตูเปิด เจิ้งหยวนก็เห็นบรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวาข้างใน คนหนาแน่นพอสมควร ที่นี่ดูเหมือนจะมีของขายทุกอย่าง คนซื้อของก็มากไปด้วยเช่นกัน แต่เพราะรู้กันดีว่าที่นี่คือตลาดมืด จึงพูดจาราวกับกระซิบ กลัวเสียงเล็ดลอดออกไปข้างนอก
เจิ้งหยวนหันมองซ้ายมองขวา กำลังจะหาที่วางตะกร้า ทว่าอยู่ดีๆ ก็มีใครบางคนเข้ามาตีแขนเธอเบาๆ
“น้องสาว ข้างในมีเนื้ออยู่ใช่ไหม?”
สตรีวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตแดครอนลายดอก ทำจมูกฟุดฟิดใส่ตะกร้า ดวงตายังส่องประกายวิบวับ
จมูกไวชะมัด! เจิ้งหยวนเหลือบมองเธออย่างแปลกใจ
แล้วจึงค่อยวางตะกร้าลงบนพื้น “ใช่ค่ะ เป็เนื้อหมู”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่ที่นี่เงียบสงบมาก พอคนได้ยินเพียงคำว่า เนื้อหมู ต่างก็มองมาทางนี้กันทันที
ชายสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนเสื้อเหมือนปัญญาชนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาบ้าง “เธอมีเนื้อหมูจริงๆ เหรอ?”
เจิ้งหยวนแหวกใบผักที่คลุม้าเนื้อออก เผยให้เห็นเนื้อแดงสลับขาวข้างล่าง โรงแรงห้าดาวมาตรฐานสูง วัตถุดิบที่ใช้ก็ดี เนื้อหมูล้วนเชือดส่งมาวันต่อวัน เมื่อเจิ้งหยวนหยิบออกมา มันจึงยังคงดูสดใหม่อยู่
“ว้าว!”
“โอ้โฮ!
“เนื้อนี่จินละเท่าไรเหรอ เอาให้ฉันสองจินสิ!”
“ฉันขอสองจินด้วย!”
“ฉันขอห้าจิน น้องสาว ให้ฉันห้าจินนะ!”
ทุกคนต่างกลัวว่าพูดช้าไปเนื้อจะหมดเสียก่อน จึงยื้อแย่งกันพูดชุลมุน
ไม่มีใครถามถึงที่มาของเนื้อหมู จริงๆ แล้วมักมีคนมาขายเนื้อหมูที่ตลาดมืดอยู่บ่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็ชาวนาที่เลี้ยงเอง บางบ้านโลภมากไม่อยากขายให้รัฐ จึงแอบเลี้ยง แอบเชือด พอกินไม่หมดก็ขายให้ตลาดมืด แล้วยังขายได้ราคาสูงกว่าหน่วยงานรับซื้อมากอีกด้วย
เนื้อหมูของเจิ้งหยวนยังสดใหม่ เพียงมองก็รู้ว่าเชือดวันนี้ ปัจจุบันเนื้อหมูป่วยที่ติดโรคพยาธิตัวตืดยังขายได้ตั้งจินละสองหยวน เนื้อของเธอต้องมีค่าถึงสองหยวนแน่ พอคิดได้ดังนั้น เจิ้งหยวนจึงว่า “ราคาอยู่ที่จินละสองหยวน” เธอชะงักอยู่ครู่หนึ่งเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “แต่... ฉันไม่มีตาชั่ง……”
“ฉันมีๆ !” ลุงขายผลไม้หยิบตาชั่งออกมา พร้อมเอ่ยกับเจิ้งหยวนว่า “แม่หนู
ชั่งให้ฉันหนึ่งจินด้วย”
เจิ้งหยวนรับตาชั่งไปแล้วคลี่ยิ้ม “ได้ค่ะคุณลุง”
เนื้อเกือบร้อยจินขายหมดในเวลาชั่วครู่ เจิ้งหยวนได้เงินมาร้อยกว่าหยวน บวกกับที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ รวมกันทั้งหมดสองร้อยกว่าหยวน น่าจะพอค่ารักษาพี่ชายกับคุณแม่แล้ว หากไม่พอก็ไม่เป็ไร เธอสามารถเอาเนื้อออกมาขายได้อีก
เมื่อเงินอยู่ในมือ ใจเธอก็ไม่ร้อนรนอีกต่อไป เจิ้งหยวนกำเงินปึกหนา มองไปรอบๆ ดูว่ามีของจำเป็ต้องซื้อไหม แต่กวาดตามองรอบหนึ่ง ในมิติเหมือนจะไม่ขาดอะไรเลย เนื้อหลากหลายประเภท ธัญพืชชนิดต่างๆ เธอล้วนมีหมด ผลไม้นานาพันธุ์ หรือกระทั่งผ้าอนามัยทุกแบบ… เธอก็มี
ในเมื่อมีครบทุกอย่างเสร็จสรรพ เจิ้งหยวนก็ไม่รั้งอยู่ตลาดมืดนาน เธอหันหลังแล้วออกจากตลาดมืดทันที เมื่อเลี้ยวผ่านทางแยก ประกอบกับรอบข้างไม่มีคนพอดี จึงเก็บตะกร้าติดกายเข้าโรงแรม แล้วรีบตรงไปโรงพยาบาล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้