เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ถนนและตรอกซอกซอยทางประตูทิศใต้ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลกันมาอย่างเนืองแน่น เสียงะโพูดคุยดังกึกก้อง แม้แต่เสียงเอะอะโวยวายก็ดังกระหึ่มไปทั่ว พอจะมองเห็นได้ว่าตลาดคึกคักเพียงใด
กู้เจิงมาดูที่สำหรับทำหอสมุดแถวบ้านหลี่หนาน เนื่องจากเสิ่นเยี่ยนเคยบอกนางว่ามีร้านตึกสองชั้นให้เช่าอยู่แถวนี้
ปาเม่ยต้องไปทำงานที่จวนอ๋องทุกวัน ส่วนหลี่หนานก็ต้องไปฝึกทหารั้แ่เช้าตรู่ ทั้งสองคนจึงไม่อยู่บ้านในตอนที่กู้เจิงไป
“คุณหนู นี่คือบ้านของปาเม่ยหรือเ้าคะ?” ชุนหงมองเข้าไปข้างในบ้าน นางเห็นตัวบ้านเป็เรือนชั้นเดียวมีเพียงสองห้องเล็กๆ ในบ้านมีบ่อน้ำหนึ่งบ่อ ก็คล้ายๆ กับบ้านเรือนของชาวบ้านโดยทั่วไป แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเรือนของตระกูลเสิ่นแล้ว ก็ดูจะเล็กกว่าอยู่บ้าง
“เสื้อผ้าที่ตากอยู่ในลานบ้าน ดูเหมือนจะเป็ของปาเม่ย ที่นี่น่าจะเป็บ้านของนาง” กู้เจิงชี้ไปที่เสื้อผ้าที่ตากในลานบ้าน แล้วนางก็หันกลับมากล่าวว่า “รีบไปดูร้านที่จะให้เช่ากัน”
เดินเลยจากบ้านปาเม่ยไปไม่ไกล ก็พบร้านปล่อยเช่าอยู่ร้านหนึ่ง ดูจากภายนอกแล้วร้านใหญ่มาก มีสองชั้นและยังมีราวระเบียงทางเดิน ดูแล้วเหมาะสมที่จะเปิดหอสมุดของนางอย่างมาก
“ชุนหง เ้าไปสอบถามรอบๆ ดูว่าเมื่อก่อนร้านนี้ทำอะไร” กู้เจิงมองสำรวจพลางกำชับกับชุนหงว่า “อย่าลืมสืบหาเ้าของให้ชัดเจนด้วยล่ะ”
“เ้าค่ะ”
ร้านดูจากภายนอกจะค่อนข้างเก่าแต่ก็ดูไม่มีอะไรเสียหายชำรุด เมื่อมองขึ้นไปที่ชั้นสอง เสาที่อยู่ตรงราวจับแกะสลักเป็ลายดอกไม้ ดูสวยสง่างามสมจริงมาก
กู้เจิงนึกชอบร้านนี้ั้แ่แรกเห็น นางรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็ไปตามที่นาง้าอย่างมาก ขณะที่นางกำลังมองดูไปทั่วๆ ร้านก็มีผู้าุโคนหนึ่งเดินผ่านมา นางจึงรีบเข้าไปถาม “ท่านลุง ท่านรู้หรือไม่ว่าร้านนี้เคยเปิดเป็ร้านอะไรมาก่อน?”
ผู้าุโกล่าวด้วยความเมตตาว่า “ร้านนี้เคยเป็ร้านน้ำชา เป็โรงน้ำชาอวิ๋นเซียงที่มีชื่อเสียงน่ะ ต่อมาได้ย้ายไปในเมืองหลวง ที่นี่ก็เลยปล่อยว่าง”
โรงน้ำชาอวิ๋นเซียง? แน่นอนว่าชื่อนี้กู้เจิงคุ้นเคยดี เมื่อพูดถึงโรงน้ำชานี้ก็จะนึกถึงฟู่ผิงเซียง กู้เจิงอยากจะถามลุงว่าเ้าของร้านเป็ใคร ทว่าลุงคนนี้ก็เดินจากไปเสียแล้ว เผอิญกับที่ชุนหงวิ่งกลับมาพอดี
“คุณหนู สอบถามมาแล้วเ้าค่ะ ร้านนี้เคยเปิดเป็โรงน้ำชา เ้าของโรงน้ำชาก็คือท่านแม่ทัพเยี่ยนจื่อเซี่ยนเ้าค่ะ”
“เยี่ยนจื่อเซี่ยน? น้าของฟู่ผิงเซียงไม่ใช่หรือ?” นี่เป็ครั้งแรกที่กู้เจิงรู้สึกว่านางไร้วาสนากับร้านนี้แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟู่ผิงเซียงถึงไปดื่มชาที่โรงน้ำชาอวิ๋นเซียงบ่อยๆ
“คุณหนู แม้ว่าที่ตรงนี้จะอาจจะดูเหมาะสมกับการทำเป็หอสมุด แต่ก็ไม่แน่ว่าจะจริง ไม่เช่นนั้นโรงน้ำชาจะย้ายออกไปทำไมล่ะเ้าคะ” ชุนหงถาม
กู้เจิงมองไปรอบๆ “การเปิดโรงน้ำชาไม่แน่ว่าจะดี แต่หากเป็หอสมุดจะต้องดีแน่” บ้านเรือนแถวประตูทิศใต้ล้วนเป็บ้านเรือนของชาวบ้านสามัญทั่วไป ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาดื่มชา แต่การอ่านหนังสือนั้นต่างออกไป เพราะการอ่านหนังสือหาความรู้นั้นเป็หนทางนำไปสู่อนาคตที่ดีได้ มีคนยากจนตั้งเท่าไหร่ที่ต้องละทิ้งโอกาสในการเรียน
“ร้านนี้ดูใหญ่มาก น่าจะต้องใช้เงินไม่น้อยแน่เ้าค่ะ” ชุนหงเอ่ยเสริม
เงินไม่ใช่ปัญหา กู้เจิงนึกถึงความบาดหมางระหว่างนางกับฟู่ผิงเซียง ก็ไม่แน่ว่าแม่ทัพเยี่ยนจะให้นางเช่าที่นี่ “พวกเราลองไปดูที่อื่นกันก่อนแล้วกัน”
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ร้านปล่อยว่างแถวนี้มีเยอะแยะมากมาย แต่ร้านส่วนมากหากไม่ใช่เนื้อที่น้อยเกินไป ก็ใกล้ตลาดมีเสียงดังเอะอะมากเกินไป บวกกับค่าเช่าก็แพง กู้เจิงดูแล้วล้วนไม่พอใจ
ยามใกล้เที่ยง พวกนางทั้งสองคนก็กลับมาบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะจะไปช่วยที่งานมงคล
เมื่อใกล้ถึงที่จัดงาน พวกนางก็เห็นถังและอ่างไม้วางอยู่เต็มทั้งสองข้างทาง ในถังมีผักนานาชนิด และยังมีไก่ เป็ด ห่านที่ล้างถอนขนออกดีแล้ว รวมถึงเนื้อวัวกับเนื้อหมูที่วางเรียงรายในถังเต็มไปหมด
มีเด็กๆ เป็กลุ่มรุมคอยเฝ้าดู เพื่อป้องกันไม่ให้แมวและสุนัขมาคาบอาหารไปกิน
พวกนางเดินมาถึงบ้านที่จัดงาน มีโต๊ะสามโต๊ะตั้งอยู่ในลานบ้าน ล้อมรอบด้วยญาติพี่น้องที่คอยรุมช่วยเหลือจัดงาน
“อาเจิงมาแล้ว" ป้าใหญ่กำลังจัดอาหารอยู่เห็นกู้เจิง นางยิ้มทัก “ได้เวลาพอดี มากินข้าวได้แล้ว”
หลังกู้เจิงทักถามสารทุกข์สุกดิบทุกคนแล้ว นางก็เห็นป้ารองกำลังย้ายอ่างที่ใส่ชามและตะเกียบอยู่ นางจึงรีบเข้าไปช่วย
“ท่านป้ารอง แม่สามีข้าล่ะเ้าค่ะ?” กู้เจิงถามพลางช่วยวางชามและตะเกียบไปด้วย
“เขียนรายการอาหารอยู่ข้างในน่ะ ในตระกูลเราก็มีแม่สามีของเ้าที่รู้หนังสือมากหน่อย หัวหน้าตระกูลก็เลยมอบหน้าที่นี้ให้นาง” ป้ารองพูดยิ้มๆ
ผู้คนที่มาช่วยงานล้วนเป็คนในตระกูลเสิ่น และเคยพบปะกู้เจิงมาก่อน ทุกคนต่างยิ้มทักทายกัน
กู้เจิงโค้งคำนับทีละคน นางเหลือบเห็นชายคนหนึ่งถือประทัดพวงใหญ่เดินออกไป
“จะจุดประทัดแล้ว จุดประทัดแล้ว” เด็กๆ รุมกันเดินตามชายคนนั้นออกไป
“คุณหนู บ่าวเองก็จะไปดูเหมือนกันเ้าค่ะ” ชุนหงมีนิสัยเหมือนเด็ก พอพูดจบก็วิ่งออกไปทันที
กู้เจิงยิ้มขณะที่กำลังจะเดินเข้าห้อง ก็ได้ยินเสียงชุนหงร้องขึ้นอย่างดีใจ “ท่านบุตรเขย”
กู้เจิงหันมองตามเสียงเรียก นางเห็นเสิ่นเยี่ยนเดินเข้ามา หลังจากเขาทักทายกับคนอื่นๆ แล้ว เขาก็เดินตรงเข้ามาหานาง
“ท่านพี่?” กู้เจิงประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านมาได้ยังไงเ้าคะ?”
“เสิ่นเฟิงเป็เพื่อนวัยเดียวกันกับข้า และวันนี้ข้าไม่ยุ่งมากก็เลยมา” แววตาของเสิ่นเยี่ยนมีรอยยิ้ม
ขณะที่กำลังพูด นายท่านเสิ่นก็หยิบตัวอักษร喜และกาวออกมา พอเห็นทั้งสองคนจึงกล่าวว่า “พวกเ้ามาทันเวลาได้กินข้าวเที่ยงพอดี”
นายหญิงเสิ่นเองก็ออกมาพอดี “มีสองโต๊ะอยู่ในห้อง พวกเรามานั่งในห้องกันเถอะ”
เสียงจุดประทัดจากด้านนอกดังขึ้น หลังจากเสียงหยุดไป ก็ได้ยินเสียงะโดังมาจากห้องครัว “จุดประทัดกันเสร็จแล้ว มากินข้าวได้”
แม้จะเป็อาหารมื้อเล็กๆ แต่กับข้าวก็อุดมหลากหลาย พวกเนื้อล้วนเป็เนื้อวัว หมู และแกะ สดใหม่อร่อยมาก กู้เจิงโตมาขนาดนี้ นี่เป็ครั้งแรกที่กินผักรวมมิตร* หม้อใหญ่แบบนี้ หม้อใหญ่วางตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านนอกมีผักสิบกว่าชนิด หากดื่มน้ำแกงแล้วเลี่ยนก็กินผักสดแก้เลี่ยนได้ รสชาติดียิ่งนัก
(*เป็ซุปน้ำปรุงข้นที่ทำจากแป้งมัน โดยจะใส่เนื้อและผักหลากหลายชนิด)
“เ้าบ่าวกลับมาแล้ว” มีคนะโขึ้น
กู้เจิงหันมองไป นางเห็นชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่ง เป็หนุ่มร่างกายกำยำล่ำสันเดินเข้ามาอย่างรื่นเริง หลังจากทักทายญาติพี่น้องแล้ว เขาก็นั่งลงข้างๆ เสิ่นเยี่ยน “น้องชาย นึกว่าเ้าจะไม่มาเสียแล้ว นี่น้องสะใภ้ใช่ไหม? เป็ครั้งแรกเลยที่เราพบกัน”
กู้เจิงกำลังจะทักทาย พลันได้ยินสามีพูดเสียงเรียบว่า “นี่คือพี่สะใภ้เ้า”
“เ้าเกิดช้ากว่าข้าหนึ่งเดือนชัดๆ” เสิ่นเฟิงไม่ยอม
“ว่ากันด้วยฝีปาก ตราบใดที่เ้าเอาชนะข้าได้น่ะนะ”
เสิ่นเฟิง “...”
ทุกคนในห้องหัวเราะ หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาว่า “ปัญหานี้พวกเ้าเถียงกันมาั้แ่เด็กยันโตกระมัง? ยังไม่ได้ข้อสรุปอีกหรือ?”
“เสิ่นเฟิง เ้าเอาชนะเสิ่นเยี่ยนได้เมื่อไหร่ ก็จะได้เป็พี่ใหญ่ของเขา”
“ถ้าไม่ใช่ว่า่สามวันนี้เป็วันดีของเ้า ข้าคงให้พวกเ้าออกไปสู้กันแน่”
เสิ่นเยี่ยนและเสิ่นเฟิงมองหน้ากันยิ้มๆ พวกเขายกจอกสุราขึ้นชน
กู้เจิงก็ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ทุกคนก็เริ่มยุ่งกับการทำงานอีกครั้ง ไม่ว่าคนในตระกูลหรือเพื่อนบ้าน ทุกคนต่างก็ช่วยกันจัดงานแต่งงาน กู้เจิงรู้สึกอบอุ่นใจมาก ความสัมพันธ์ระหว่างคนฮว๋าเซี่ย* บางครั้งก็น่ารำคาญ บางครั้งก็ทำให้คนรู้สึกมีความสุข
(*เป็ชื่อเรียกประเทศจีนในสมัยโบราณ)
ตอนที่กลับบ้านกับเสิ่นเยี่ยน กู้เจิงจึงเล่าเื่ร้านให้เขาฟัง
“เื่ที่ร้านเป็ของเยี่ยนจื่อเซี่ยน ข้ารู้มานานแล้ว แต่ลืมบอกเ้าไป” เสิ่นเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านรู้ด้วยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงมองเขาด้วยสีหน้างุนงง “ท่านเองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับฟู่ผิงเซียง แล้วทำไมยังให้ข้าไปเช่าร้านตระกูลเยี่ยนอีกเล่า? เขาจะให้ข้าเช่าหรือเ้าคะ?”
“เื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้พ่อบ้านของจวนเยี่ยนเป็คนจัดการมาแต่ไหนแต่ไร แม่ทัพเยี่ยนไม่รู้หรอก” เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยามีสีหน้ากังวล ั์ตาตาดำขลับเฉยชาก็ฉายแววอ่อนโยน “ดูท่าเ้าจะชอบที่นั่นมาก”
กู้เจิงพยักหน้า “ที่นั่นไม่ใช่แหล่งค้าขายที่วุ่นวาย ค่าเช่าก็ไม่แพงจนเกินไป และยังเงียบสงบเหมาะเป็สถานที่อ่านหนังสือได้ดี แม้ว่ามันจะไกลอยู่บ้าง แต่ข้าว่าจะต้องมีคนที่อยากมาแน่เ้าค่ะ”
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ฝ่าาทรงต่อว่าองค์รัชทายาท ว่าในใจขององค์ชายมีเพียงการชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ใส่ใจอาณาราษฎร ไม่เหมือนองค์ชายสามที่ให้ความสำคัญกับประชาชน”
เหตุใดจู่ๆ เขาถึงพูดเื่นี้กับนาง กู้เจิงเงยหน้ามองเขา ขณะที่เสิ่นเยี่ยนพูดประโยคนี้ แววตาลึกล้ำราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา เขาก้มหน้ามองนาง “เ้าไม่ถามหรือว่าเพราะเหตุใด?”
“รู้มากเกินไป คงไม่ค่อยดีกระมังเ้าคะ?”
แววตาของเสิ่นเยี่ยนมีรอยยิ้ม “นั่นก็จริง”
กู้เจิงคล้องแขนเขาแล้วถามอย่างสงสัย “แต่เื่นี้เกี่ยวอะไรกับเื่หอสมุดของข้าหรือเ้าคะ?”
“ท่านอ๋องกังวลมาตลอดว่าจะทำให้ฝ่าาเปลี่ยนความคิดนี้ต่อองค์รัชทายาทได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีโอกาส ประจวบกับที่ตอนนั้นเ้าบอกข้าว่าจะเปิดหอสมุด ข้าจึงไปเอ่ยเื่นี้กับท่านอ๋อง”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็สับสนเล็กน้อย “แล้วหลังจากนั้นล่ะเ้าคะ?”
“หากเ้าเปิดหอสมุด ท่านอ๋องจะช่วยเ้าสร้างอิทธิพลอำนาจ เมื่อชื่อเสียงแพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าเยว่ แล้ว ก็จะบอกว่าหอสมุดนี่เป็ความคิดขององค์รัชทายาทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ลูกหลานชนชั้นสามัญ”
“ท่าน” กู้เจิงชกหมัดใส่สามี ก่อนจะกล่าวอย่างไม่พอใจ “นั่นเป็ความคิดของข้า ข้า้าหาเงินนะเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาอย่างจนปัญญา “ตอนนั้นที่ข้าบอกเพราะอยากให้ท่านอ๋องเปิดหอสมุดขึ้นเพื่อเป็ประโยชน์ต่อชาวบ้านเอง ท่านอ๋องเลยได้เชิญท่านปรมาจารย์ซางมาออกหน้าเป็อาจารย์ แต่นักพรตซางคิดจะเปิดร้านหนังสือ ท่านอ๋องย่อมต้องเห็นดีเห็นชอบด้วย นึกไม่ถึงว่าบ้านที่ลุงสามจะเช่ามาเปิดร้านเต้าหู้ จะเป็บ้านเดียวกับที่นัดพรตซาง้าพอดี”