รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบ จางอี้เหวินที่กำลังจ้องฉินอวี่เผยความประหลาดใจขึ้นระหว่างคิ้ว ราวกับว่าตนเองได้ยินอะไรผิดไป
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จางอี้เหวินก็หรี่ตาลง และพูดออกไป “เ้าคือคนที่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรมคนนั้นหรือ?”
ฉินอวี่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“เหอๆ เช่นนั้นศิษย์น้องผู้นี้คิดว่าใครกันจะสามารถผ่านบททดสอบขั้นที่สองไปได้? ข้าไม่ใช่คนโอ้อวดหรอกนะ แต่เื่นี้ข้าว่าข้ามั่นใจ” จางอี้เหวินจ้องไปยังฉินอวี่ด้วยสีหน้าที่ดูมั่นใจ
“ข้าไม่เชื่อหรอก ฮึ ข้าจะลองดูเอง!” ฉินอวี่ยังไม่ทันพูดอะไร ก็มีศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง และวิ่งตรงผ่านประตูเข้าไป
“ใช่ ข้าเองก็จะลองด้วย”
“ไม่ต้องรีบร้อน ทีละคนก็ได้” เพียงชั่วขณะหนึ่ง ศิษย์ทุกคนต่างเดินมาต่อแถวกัน เพื่อเข้าทดสอบการเป็ผู้ดูแล ไม่นานนัก แถวก็ยาวราวกับัตัวหนึ่ง
ฉินอวี่ถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่แอบชื่นชมเสน่ห์ของฉู่เยว่ฉาน
ใบหน้าของจางอี้เหวินเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน และมั่นใจในตัวเองเป็อย่างยิ่ง ก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉย “ศิษย์พี่หญิงฉู่ ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน หากท่านอยากจะผ่านการทดสอบขั้นที่สองละก็สามารถมาหาข้าได้นะ จางอี้เหวินผู้นี้จะบอกอย่างไม่มีปิดบัง ข้าจะรอท่านอยู่ที่ยอดเขาเทียนเยว่ของสายชีพจรเสวียน” พูดจบ จางอี้เหวินก็สาวเท้าเดินจากไป
“อุ้บ!” ฉินอวี่แทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ จางอี้เหวินผู้นี้ดูเหมือนจะอ่อนหัดยิ่งนัก อีกทั้งยังมั่นใจมากเกินไปหน่อยแล้ว
จางอี้เหวินหยุดลงครู่หนึ่ง หันกลับไปมองทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ศิษย์น้องผู้นี้ น่าขำนักหรือ?”
“ใช่นะสิ” ฉินอวี่มองไปทางจางอวี้เหวิน
จางอี้เหวินพ่นลมหายใจที่เ็าออกมา และขณะที่จะพูดอะไรออกมา กลับถูกฉู่เยว่ฉานขัดจังหวะเอาไว้ “ศิษย์น้องจางเชิญกลับไปก่อนเถอะ เื่ตำแหน่งผู้ดูแล สำหรับข้าแล้วจะเป็เช่นไรก็ได้”
สีหน้าของจางอี้เหวินดูเหมือนจะเริ่มทนไม่ได้ จ้องไปทางฉินอวี่ด้วยสีหน้าที่ยากคาดเดา และพูดอย่างเ็า “หากไม่เห็นว่าเ้าเป็คนใกล้ตายนะ วันนี้ข้าจะลองดูสิว่าเ้าขำอะไรนักหนา”
“จะขำหรือไม่ขำ อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็ได้รู้กันแล้วมิใช่หรือ? ดวงตาของฉินอวี่เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“ทำไม? หรือพวกเราจะมาพนันกัน หากอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าข้าได้เป็ผู้ดูแลหอตำรา เ้าก็แค่ขอโทษข้าก็พอ หากข้าไม่ได้เป็ผู้ดูแลหอตำรา ข้าจางอี้เหวินจะยอมนับถือเ้าเป็อาจารย์ ว่าอย่างไร?” จางอี้เหวินพูดอย่างเ็า เขามีความมั่นใจเป็อย่างยิ่งว่าตนเองจะต้องได้เป็ผู้ดูแลหอตำรา และการทดสอบขั้นที่สองก็ค่อนข้างพิสดาร เขาจึงไม่เชื่อว่าในสำนักตอนนี้จะมีคนที่สามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้
“เื่นับถือเป็อาจารย์ไม่จำเป็หรอก หากเ้าไม่ได้เป็ผู้ดูแล เ้าต้องมาเป็ลูกน้องของข้า ให้ข้าคอยใช้งาน” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
จางอี้เหวินยิ้มอย่างโกรธเคือง และเริ่มรู้สึกอยากจะกำจัดฉินอวี่ยิ่งนัก หลังจากเขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก็กัดฟันพูดขึ้น “ได้!” พูดจบ จ้างอี้เหวินก็รีบหันออกไปทันที เขารู้สึกเพียงความโกรธที่แทบจะะเิออกจากอก หากไม่รีบออกไปจากที่นี่ เขาก็กลัวว่าตนเองอาจสังหารฉินอวี่ต่อหน้าฉู่เยว่ฉาน
เมื่อเห็นว่าจางอี้เหวินจากไปไกลแล้ว ฉู่เยว่ฉานก็ถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นมา “อันที่จริง เ้าไม่จำเป็ต้องทำให้เขาขุ่นเคืองใจเลย บางทีในสำนักอาจมีคนที่ผ่านการทดสอบขั้นที่สองได้ แต่คนส่วนใหญ่ล้วนแต่เลือกที่จะเตรียมตัวสำหรับการคัดเลือกศิษย์ในอีกสองปีข้างหน้า!”
“แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็คนใกล้ตายอยู่แล้ว จะมีอะไรต้องกลัวอีก? นอกจากนี้ ทุกอย่างเป็ไปได้ทั้งสิ้น บางที... ในหนึ่งเดือนนี้อาจมีใครสักคนปรากฏตัวขึ้นมา และผ่านการทดสอบการเป็ผู้ดูแลก็เป็ได้” ฉินอวี่พูดไปพร้อมรอยยิ้ม
ฉู่เยว่ฉานทำให้ฉินอวี่ประทับใจในตัวนางอย่างยิ่ง และแรงจูงใจที่แอบแฝงอยู่ของจางอี้เหวิน ทำให้ฉินอวี่รู้สึกไม่ชอบใจเป็อย่างยิ่ง เขาจึงต้องออกหน้าไปในครั้งนี้ โดยไม่สนใจว่าจะเป็เื่ที่ผิดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี่ก็มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองจะได้เป็ผู้ดูแล และเมื่อถึงเวลานั้นจางอี้เหวินก็คงยากที่จะเคลื่อนไหวใดๆ เมื่อลองคิดทบทวนอย่างดีแล้วก็บอกได้ทันทีว่า มีมหาเทพอย่างอาจารย์หวงถิงอยู่ด้วย ฉินอวี่จะเกรงกลัวจางอี้เหวินหรือ?
ฉู่เยว่ฉานมองฉินอวี่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน และส่ายหน้าขึ้นทันที “แม้ว่าเ้าจะไม่ได้จุดตะเกียงกรรม แต่เ้าก็ไม่ควรสิ้นหวังกับตนเองเช่นนี้ ใน่นี้เ้าไปอยู่ที่สายชีพจรฟ้ากับข้าเถอะ อยู่ที่นั่นไม่มีผู้ใดทำอะไรเ้าแน่นอน”
“ขอบพระคุณศิษย์พี่หญิงฉู่ ทุกสิ่งข้าทราบดีแก่ใจ อีกอย่าง หากข้าตามศิษย์พี่หญิงไปสายชีพจรฟ้า ข้าเกรงว่าคงมีชีวิตไม่ถึงสามปีจริงๆ” ฉินอวี่หัวเราะ
แก้มของฉู่เยว่ฉานเริ่มเป็สีแดงระเรื่อ แน่นอนว่านางเข้าใจความหมายของฉินอวี่ แต่แสร้งทำเป็สงบนิ่ง ปัดเส้นผมที่อยู่ข้างแก้มของนาง และมองไปทางด้านข้าง “เอาล่ะ ทำตามที่เ้าตัดสินใจเถอะ หากมีเื่อะไรก็ไปหาข้าที่สายชีพจรฟ้า”
“รับทราบ ศิษย์พี่หญิงฉู่” ฉินอวี่พยักหน้า
ฉินอวี่ส่งสายตามองฉู่เยว่ฉานเดินออกไป พลางหันไปมองแถวที่ยาวเป็หางั พลันรู้สึกได้ถึงสายตาที่เคียดแค้นของศิษย์นับร้อย เขาก็แสยะยิ้มอยู่ในใจ และตัดสินใจว่าจะรออีกสองสามวันค่อยมาอีกครั้ง
ห้าวันต่อมา
ฉินอวี่แปลงเป็รูปลักษณ์ของเฉินซิง และเข้าไปต่อแถวที่หน้าประตูทางด้านขวาของหอตำรา ที่ประตูมีวิชาบังตาอยู่ชั้นหนึ่ง บุคคลภายนอกจะมองไม่เห็นภายใน และภายในก็มองไม่เห็นโลกภายนอกเช่นกัน
เมื่อเข้าประตูไป เสียงความวุ่นวายก็ถูกแยกจากกันทันที จนดูเหมือนว่าตอนนี้ได้เข้าสู่พื้นที่อันโดดเดี่ยวเป็อิสระ
ด้านในประตูใหญ่เป็ลานเล็กๆ ที่ถูกทิ้งร้าง ทั่วทั้งลานดูว่างเปล่า มีเพียงแผ่นศิลาแผ่นหนึ่งที่อยู่ด้านในสุดเท่านั้น
ฉินอวี่เดินตรงเข้าไปยังด้านใต้ของแผ่นศิลา กวาดสายตามองไปโดยรอบ และแอบสงสัยขึ้นมาในใจ หากว่าตามหลักแล้ว ที่แห่งนี้ควรจะมีแผ่นศิลาอยู่สองแผ่น และท้ายที่สุด การทดสอบขั้นที่สองก็น่าจะเกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็กัดนิ้วชี้ของตนเอง จากนั้นบีบให้เืหยดลงไปบนแผ่นศิลาหนึ่งหยด และนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น รวบรวมจิตใจให้เข้าเป็หนึ่งเดียวกับแผ่นศิลา
ทันใดนั้น
ตำราหลายหมื่นเล่มก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของฉินอวี่ ในขณะเดียวกันนั้นเสียงที่ดูผันผวนผ่าน่เวลามานานก็ดังขึ้น “เ้ามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป”
ฉินอวี่กลั้นหายใจ ใช้มโนจิตสาดส่องไปบนตำราทุกเล่ม ข้อความแต่ละส่วนค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือ ตำราเหล่านี้มีั้แ่ระดับต่ำที่สุดจนถึงระดับที่มีความลึกซึ้งเป็พิเศษ แต่ฉินอวี่ก็ไม่คิดอะไรมาก ได้แต่ใช้มโนจิตสาดส่องไปยังตำราทุกเล่ม และจดจำตัวอักษรที่อยู่ในนั้นทั้งหมด
่เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
ในขณะที่หมดเวลานั้น ตำรากว่าหลายหมื่นเล่มนั้นยังคงปรากฏอยู่ในห้วงความคิดของฉินอวี่ แต่แล้วความเป็ระเบียบทั้งหมดก็หยุดลง
มโนจิตของฉินอวี่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยตำราทั้งหมด ได้นำพาตำราทั้งหมดนั้นกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่รวดเร็วมากนี้ หากเกิดกับจางอี้เหวิน คงทำให้เขาคิดว่าตนเองอาจกำลังอยู่ในความฝัน
สำหรับการทดสอบในขั้นแรกนับว่าเป็เื่ง่ายมากสำหรับฉินอวี่ ในยุคก่อน ตอนที่เข้าร่วมการทดสอบของหอตำราสำนักเทียนฉีนั้น มีความยากยิ่งกว่านี้มาก เพราะนั่นมีตำราถึงหนึ่งแสนเล่ม แต่ตอนนี้มีเพียงหนึ่งหมื่นเล่มเท่านั้น
ยังไม่ถึงครึ่งก้านธูป ฉินอวี่ก็เริ่มประมวลเื่ทั้งหมดกลับเข้าที่แล้ว เพียงแต่ เพื่อไม่ให้คนทั่วไปต้องใมากเกินไป ฉินอวี่จึงตั้งใจที่จะสลับลำดับของหนังสือบางส่วนไปมา
ขณะที่มโนจิตของฉินอวี่กำลังเตรียมเรียกแผ่นศิลาออกมานั้น เสียงของความผันผวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ทำความเข้าใจหมื่นตำรา สร้างหนึ่งกลวิชา ไม่จำกัดระดับของวิชา”
ฉินอวี่ยิ้มขึ้นที่มุมปาก ในขั้นที่สองของการทดสอบนี้มีความแตกต่างไปจากสำนักเทียนฉี ในการทดสอบขั้นที่สองของสำนักเทียนฉีจะต้องจัดเรียงตำราจากระดับสูงไปหาระดับต่ำ แต่เมื่อมาถึงยุคของสำนักยุทธ์ว่านจ้งก็กลายเป็การทดสอบสร้างกลวิชา
นี่คงเป็ความตั้งใจของหวังชิง เพื่อจะคัดกรองคนที่มีความเข้าใจและปัญญาที่แข็งแกร่งให้กับสำนักยุทธ์ว่านจ้ง และสร้างกลวิชาที่แข็งแกร่งได้เหมือนตนเอง
ฉินอวี่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง การสร้างกลวิชานั้นเป็เื่ง่ายสำหรับเขา และแน่นอนว่ากลวิชาที่ฉินอวี่เลือกจะสร้างนั้น เป็กลวิชาระดับต่ำ เพราะการสร้างกลวิชาระดับสูงจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ที่ค่อนข้างมาก จึงจะประสานวิชาขึ้นมาได้ จากนั้น ในห้วงความคิดของฉินอวี่ก็เริ่มรวมตำราเ่าั้เข้าเป็หนึ่งเดียว ตัวอักษรแต่ละส่วนก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาในห้วงความคิด
หลังจากผ่านไป่เวลาหนึ่ง
ฉินอวี่ก็ส่งเสียงพึมพำขึ้นมา “ข้าขอเรียกมันว่า กลวิชาเสี่ยวซิงเฉินก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ แผ่นศิลาก็ส่องสว่างขึ้นมา ปกคลุมทั่วร่างของฉินอวี่ พลังที่แข็งแกร่งกวาดเข้าไปในร่างของฉินอวี่ และหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ซึ่งเหตุการณ์นี้คล้ายกันกับตอนจุดตะเกียงกรรม
ฉินอวี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และหรี่ตาลงมองแผ่นศิลา และค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ จะผ่านหรือไม่ผ่าน อีกหนึ่งเดือนจากนี้ไปก็ได้รู้ผล
ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็ออกมาจากลานเล็กๆ
“ทำอะไรของเ้า ใช้เวลานานอะไรขนาดนี้? ทำอย่างกับเ้าผ่านการทดสอบ” ศิษย์ที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังของฉินอวี่เมื่อก่อนหน้านี้มองฉินอวี่อย่างโกรธเคือง ก่อนจะเดินเข้าประตูไป
ฉินอวี่ยิ้มบางๆ เมื่อมาถึงด้านหน้าของแผ่นศิลา เขามองหารายชื่อของตนเองอย่างละเอียด แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจก็คือ บนป้ายศิลากลับไม่มีชื่อของเขา
“นี่มันเื่อะไรกัน?” ฉินอวี่แปลกใจ แม้ว่าเขาจะจงใจกลับลำดับของตำราจำนวนหนึ่ง แต่หากพูดตามหลักแล้วอย่างน้อยก็มีโอกาสสำเร็จถึงเก้าส่วน และอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะสามารถอยู่้าสุดของป้ายศิลาได้
เมื่อตรวจสอบรายชื่อบนป้ายศิลาอีกครั้ง
ทุกอย่างก็ยังเป็เหมือนก่อนหน้า ้าสุดยังคงเป็ภาพมายาของคนนั่งสมาธิ และด้านล่างไล่ลงมาคือรายชื่อ
“หวังโฮ่วเต๋อ”
“หนีเฟิง”
“ตี้อวิ่นเทียน”
“นี่มันเื่อะไรกัน? หรือสำนักยุทธ์ว่านจ้งจะมีคนสองสามคนที่ยังมีความทรงจำที่เก่งกว่าข้า?” ฉินอวี่มองมาลงมาตลอดแผ่น จนกระทั่งสุดแผ่นศิลา เขาก็ยังไม่พบรายชื่อของตนเอง
ฉินอวี่ยังไม่พอใจ และเริ่มดูใหม่อีกครั้ง
ดูอีกครั้ง!
แต่ก็ยังไม่พบ
ฉินอวี่ยืนอยู่ตรงหน้าแผ่นศิลา และรออยู่อย่างเงียบๆ แอบนึกสงสัยอยู่ในใจว่าแผ่นศิลานี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้วหรือไม่
หลังจากรออยู่เป็เวลานาน ป้ายศิลาก็ยังคงนิ่งเงียบ รายชื่อบนนั้นก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลง
“เอ่อ... หรือจะมีสาเหตุจากการที่ข้าไม่ได้จุดตะเกียงกรรม? แล้วข้าผ่านการทดสอบหรือไม่?” ฉินอวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และมั่นใจว่าตนเองผ่านการทดสอบในขั้นที่สอง แต่เพราะเหตุใดจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น?
“ก็คงไม่มีทางเลือกแล้ว คงได้แต่รอ รอผลจากนี้ไปอีกหนึ่งเดือน หากข้าไม่ได้เป็ผู้ดูแล ข้าคงต้องพิจารณาทฤษฎีของหอตำราเสียใหม่แล้วล่ะ” ฉินอวี่ส่ายหน้า และแอบบ่นอยู่ในใจ ก่อนจะหันหลังกลับออกไป
มีสิ่งหนึ่งที่ฉินอวี่ไม่รู้ ว่านับั้แ่เขาผ่านการทดสอบขั้นแรก บนจุดสูงสุดของยอดเขาที่ตั้งของหอตำรา มีผู้าุโในชุดที่เรียบง่ายได้ลืมตาขึ้น และมองไปยังฉินอวี่ที่เบื้องล่าง คล้ายกับจะมองผ่านหมู่เมฆ มองผ่านพื้นที่เข้าไปเห็นฉินอวี่ที่กำลังงุนงง
