“นายรีบลงมาเถอะ ฉันอยู่คนเดียวน่ากลัว” เสียงที่สั่นเทาของเย่รั่วเซวี่ยดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ฉันเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินลงไป มองดูเย่รั่วเซวี่ยที่มีใบหน้าขาวซีด บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษ ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เธอก็คงไม่ต้องเดินเข้ามากับฉัน” ฉันเลี่ยงไม่ได้ที่จะปริปากพูด
“ไม่ใช่อย่างนั้น เริ่มแรกเป็ฉันต่างหากที่เสนอให้มาที่นี่ ไม่โทษนายหรอก” ถึงแม้ว่าใบหน้าของเย่รั่วเซวี่ยจะขาวซีด แต่ยังคงพูดอย่างจริงจัง ซึ่งทำให้ฉันยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก
แต่ทว่าเื่สำคัญที่เร่งด่วนคือคิดวิธีหาทางออก ดูแล้วน่าจะติดอยู่ที่ชั้น 2 ตลอดกาล ในหัวของฉันครุ่นคิดอย่างไม่หยุด ควรจะหาทางออกยังไง
ฉันมองดูบันไดที่อยู่ชั้นล่าง คิดอย่างละเอียด ฉันคิดวิธีการออกอย่างรวดเร็ว ฉันพูดกับเย่รั่วเซวี่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ถ้าฉันทายไม่ผิด ในหอพักหญิงมีผี เป็มันที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบในที่ว่างทั้งหมด ทำให้พวกเราไม่มีทางที่จะหาทางออกได้”
“มันทำให้ทุกๆ ชั้นเป็เหมือนกันหมด ทำให้พวกเราเข้าใจว่าพวกเราได้ก้าวเข้าสู่ชั้นที่เป็วังวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนยังไง ก็ล้วนเปลี่ยนที่ตั้งที่พวกเราอยู่จริงๆ ไม่ได้หรอก”
“เธอลองคิดดู พวกเราเดินจากชั้น 2 ขึ้นมา 3 ชั้น ดังนั้นพวกเราก็มาถึงชั้น 5 แล้ว แต่ทว่าสิ่งที่ปรากฏยังคงเป็ชั้น 2 หากฉันทายไม่ผิดล่ะก็พวกเราถูกมันหลอกแล้ว ตำแหน่งที่พวกเราอยู่เดิมทีไม่ใช่ชั้น 2 แต่เป็ชั้น 5 ต่อมาพวกเราเดินลงอีก 3 ชั้น พูดตามความเป็จริงแล้ว พวกเราได้มาถึงชั้น 2 แล้ว”
“ถ้าอิงตามการอนุมานนี้ของนาย เดินไปอีกชั้น พวกเราก็สามารถออกไปได้แล้ว” เย่รั่วเซวี่ยถามอย่างตื่นเต้น ร่างที่ผอมและอ่อนแอของเธอมีอาการสั่นเล็กน้อย ดูท่าจะประคองไม่ไหว
“ถ้าฉันทายไม่ผิดก็คงเป็เช่นนี้” ฉันพูดอย่างภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าการวางหมากของผีตัวนี้จะดูร้ายกาจมาก แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ พลังอำนาจของผียังไม่แข็งแกร่งพอที่จะแยกช่องว่างได้ สิ่งที่มันสามารถทำได้คือการรบกวนััด้านการมองเห็นของพวกเราเท่านั้น ทำให้พวกเราก่อเกิดภาพลวงตา เข้าใจว่าตนเองได้เดินเข้าสู่ในวังวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด
การอนุมานของฉันไม่ผิดหรอก ฉันมีความมั่นใจที่เด็ดขาดต่อการอนุมาน เบื้องหน้านี้ก็เป็เพียงแค่ผีบังตาเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าผีบังตาดูแล้วจะน่ากลัว แต่ในความเป็จริงแล้วจะอยู่ใน่กลางดึกหรือเดินตามชานเมือง แยกทิศทางไม่ออก ััการรับรู้สับสน ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน และเดินวนอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็กลับมาที่เดิมแค่นั้น
แต่ทว่านี่คือบันได ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่กว้างขวางไม่มีสิ่งที่นำมาศึกษา ไม่ว่าจะเดินยังไง ก็ไม่มีทางอ้อมวกไปวนมา บันไดที่ว่ามีเพียงแค่ 2 ทาง คือขึ้นหรือลงเท่านั้น
ฉันจูงมือเย่รั่วเซวี่ย ไม่นานก็ใกล้จะลงจากตึกแล้ว แต่ทว่าหลังจากลงมาแล้วก็ยังคงเป็ชั้น 2 สีหน้าของฉันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่เชื่อในความชั่วร้ายและเดินลงไปอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเดินต่อเนื่องกันมา 5 ชั้นแล้ว ในที่สุดฉันก็ทรุดลงกับพื้น สีหน้าขาวซีด เบื้องหน้าฉันก็เป็ชั้น 2 เหมือนกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่รอยที่ฉันไว้ก็เหมือนกันไม่มีผิด
จากเหตุการณ์ยืนยันได้ว่าการอนุมานของฉันนั้นผิดคาด ตึกนี้มีแค่ 5 ชั้น แต่พวกเราได้เดินลงไปหลายชั้นแล้ว ตามปกติแล้ว ก็คงจะถึงปลายสุดแล้ว
แต่จนถึงตอนนี้ สิ่งที่ฉันเห็นยังคงเป็ชั้น 2 ที่ไม่มีที่สิ้นสุดแค่นั้น ทุกอย่างล้วนไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เย่รั่วเซวี่ยเหนื่อยล้าจนนั่งอยู่บนขั้นบันได สีหน้าค่อนข้างแย่ แต่เธอกลับไม่โทษฉัน และก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“ใช่ โทรศัพท์มือถือ” ทันใดนั้นฉันก็นึกขึ้นได้ แล้วก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กลับพบว่าไม่มีสัญญาณใดๆ ทั้งสิ้น ฉันส่ายหน้า แล้วทรุดลงนั่ง
“บันไดนี้ ไม่มีทางออกไปได้จริงๆ เหรอ?” ฉันบ่นพึมพำพลางพูด ฉันเคยลองแล้ว ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็ไม่มีทางเดินออกไปได้ ไม่ว่าจะเดินยังไง ทุกชั้นล้วนเป็ชั้น 2
ดั่งกับลำดับตัวเลขที่วกวนไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าพวกเราจะเดินยังไง ล้วนไม่มีทางไปถึงอีกขั้น ทั้งหอพักหญิง ซึ่งเหมือนกับคำสาป เพียงแค่ก้าวเข้าไปก็ไม่มีทางที่จะออกมาได้
สีหน้าของฉันแทบจะขาวดั่งกระดาษแล้ว ไม่ผิด ยังคงเป็ชั้น 2 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น พวกเราติดอยู่ในบันไดที่เดินออกไปไม่ได้ และก็ไม่มีทางออกไปได้อีกแล้ว
เย่รั่วเซวี่ยร้องไห้ฟุมฟาย แม้แต่จิตใจของฉันก็พังร่อแร่อย่างรวดเร็ว บันไดที่ไม่มีทางเดินออกไปได้ ได้เปรียบดั่งคำสาปที่ยิ่งใหญ่คำสาปหนึ่ง ทำให้พวกเราไม่มีทางหายใจ
“ควรจะทำยังไงกัน ควรจะทำยังไงกันแน่” ฉันบ่นกับตนเองด้วยความหวาดกลัว แขนของฉันสั่น ร่างกายของฉันก็คล้ายกับว่ากำลังสั่นเทา ความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีทางบรรยายได้จริงๆ
“ครั้งนี้พวกเราเดินขึ้น” ฉันจูงมือเย่รั่วเซวี่ยพลางพูด เวลานี้เธอไม่มีข้อคิดเห็นแม้แต่น้อยแล้ว เป็ดั่งกับหุ่นกระบอกที่ถูกฉันจูงอยู่ แค่เดี๋ยวเดียวฉันพาเย่รั่วเซวี่ยเดินขึ้นไป 7 ชั้นแล้ว
“แม้ว่าไม่มีทางจะเดินลง ฉันก็เดินขึ้น ฉันอยากรู้ว่าตึกนี้มีกี่ชั้นกันแน่” ฉันพูดอย่างกัดฟัน ก็เหมือนกับผีพนันที่แพ้หมดตัวคนหนึ่ง
แม้แต่ชั้น 7 ก็ล้วนมีสภาพแวดล้อมเหมือนกัน บนกำแพงล้วนมีรอยที่เหมือนกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งบันได คล้ายกับว่าเป็วังวนที่ไม่มีที่สินสุด ไม่ว่าฉันจะเดินยังไง ก็ล้วนหาทางออกไม่เจอ
“ทางนี้ไม่ได้ งั้นก็ไปตรงทางเดินอีกทางหนึ่ง” ฉันชี้ไปที่ทางเดินอีกทางหนึ่งพลางะโพูด หลังจากนั้นก็จูงมือเย่รั่วเซวี่ยเดินไปที่บันไดที่อยู่ข้างๆ ทางเดิน
แต่ทว่ายังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ชั้นนี้ยังเป็ชั้น 2 ชั้นล่างก็ยังเป็ชั้น 2
“เธอเดินบันไดทางนี้ ฉันเดินทางนั้น พวกเราขึ้นไปพร้อมกัน” ฉันพูดกับเย่รั่วเซวี่ย เวลานี้ฉันเตรียมทุ่มสุดตัวแล้ว เย่รั่วเซวี่ยก็ให้ความร่วมมือเป็อย่างดี เธอพยักหน้า พวกเราต่างคนต่างก็มาถึงบนบันไดหนึ่ง หลังจากนั้นก็มองคนที่อยู่ตรงทางเดินอีกด้าน เริ่มเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกันอีก
แต่ทว่าเหตุการณ์ต่อไปนี้ กลับทำให้ฉันหวั่นไหวลึกๆ ฉันกับเย่รั่วเซวียมาถึงชั้น 2 ในเวลาเดียว มองเย่รั่วเซวี่ยที่อยู่ตรงทางเดินอีกด้านหนึ่ง ฉันทรุดลงนั่งกับพื้น ใบหน้าดับมอด
วิธีที่ควรจะคิดถึง ฉันก็คิดหมดแล้ว วิธีไหนที่ควรจะทำฉันก็ทำหมดแล้ว แต่พวกเรายังคงไม่มีทางเดินออกไปจากบันไดนี้ได้
“ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างล้วนไม่มีประโยชน์” เย่รั่วเซวี่ยมาพูดต่อหน้าฉัน ร่างกายของเธอเหนื่อยล้าจนไม่ไหวแล้ว ใบหน้าได้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ฉันส่ายหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ เธอแต่ก็ยังคงครุ่นคิดอยู่
ตอนนี้ฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงแล้ว ถ้ายังออกไปไม่ได้อีก พวกเราต้องตายแน่นอน ใน่กลางดึก พลังอำนาจของผีจะเพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ถึงเวลานั้นพวกเราทั้งสองจะต้องตายแน่นอน
แต่ทว่าจะออกไปได้อย่างไรล่ะ ไม่ว่าจะเป็ทางที่ขึ้นและลง ก็ล้วนถูกปิดหมดแล้ว ไม่ว่าพวกเราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร ล้วนไม่มีความหมายอะไร
“ไม่สามารถเดินขึ้นได้ และก็ไม่สามารถเดินลงได้ ยังมีวิธีอื่นอีกไหม?” ฉันบ่นพึมพำด้วยอาการพลุ่กพล่าน และเย่รั่วเซวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงแขนฉันไม่ปล่อยแล้วก็บ่นพึมพำด้วยความหวาดกลัว
ในระหว่างที่ฟ้าค่อยๆ มืดลง สถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้ก็ยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อยๆ หากไม่คิดหาวิธี พอถึงกลางดึกแล้ว สถานที่ที่พวกเราอยู่นี้จะอันตรายยิ่งกว่าตอนนี้
“ใช่แล้ว ในเมื่อไม่มีทางเดินขึ้นได้ และไม่มีทางเดินลงได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องใช้แรง” ฉันพูดอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นในสายตาที่ประหลาดใจของเย่รั่วเซวี่ย ฉันก็ได้หยิบอิฐที่อยู่ข้างๆ ขอบหน้าต่างขึ้นมาทุบ
และก็แตกออกเป็ชั้นๆ ทั้งหน้าต่างถูกฉันใช้กำลังทุบให้แตกออก ฉันบิดต่ออีกสองสามที ทั้งกรอบหน้าต่างได้แตกออก จริงๆ ก็เป็ตึกเก่าแล้ว กระจกและหน้าต่างของที่นี่ก็ล้วนเก่ามาก
“ที่นี่คือชั้น 2 หากะโจากตรงนี้ลงไปคงจะไม่เป็ไร” ฉันพูดอย่างมั่นใจ ฉันชะโงกหัวออกไปนอกหน้าต่าง แท้ที่จริงแล้วอยู่ในระหว่างสายตาฉัน นี่ก็คือชั้น 2 ด้านล่างห่างจากหน้าต่างก็แค่ 2 เมตรกว่า ระยะห่างนี้ปลอดภัยแน่นอน หากโดดลงไปก็คงไม่เป็ไร
“นี่มันสูงเกินไปแล้ว” เย่รั่วเซวียพูดด้วยความรู้สึกว่าลำบาก
“เวลานี้ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากแล้ว ฉันะโก่อน หลังจากนั้นเธอก็ะโตามมา ฉันรับเธอได้แน่นอน” ฉันยิ้มพลางพูด หลังจากนั้นได้ปลดหน้าต่างออก และทิ้งไว้ข้างๆ แล้วขึ้นเหยียบบนหน้าต่างเพื่อที่จะะโลงไป
“แต่ ณ เวลานี้ ทันใดนั้นฉันได้หยุดลง ดวงตาฉันเป็ประกายอย่างไม่หยุด และสั่นเทาไปทั้งตัว ฉันได้ะโจากหน้าต่างกลับมาในห้องเรียนอีก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสับสบ”
“หากฉันะโแล้ว แล้วตายล่ะ” ฉันพูดขึ้นมาทันใด ในตาทั้งคู่เต็มไปด้วยการครุ่นคิด
“เป็ไปไม่ได้หรอก นายเพิ่งพูดเองว่านี่แค่ชั้น 2 เอง” เย่รั่วเซวี่ยพูด
“ไม่ เธอลืมแล้วเหรอ เมื่อ 3 ปีนักเรียนหญิงคนนั้นตายยังไง?” ทันใดนั้นฉันก็พูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ก็ะโตึกฆ่าตัวตายไง” เย่รั่วเซวี่ยพูด
“ไม่ผิด ใช่ะโ แต่อาจจะไม่ใช่การฆ่าตัวตาย” ฉันแสยะยิ้มพลางพูด