ร่างของสัตว์อสูรในเตาหลอมโอสถหลังจากได้ถูกเปลวเพลิงเข้าถาโถมโรมรันแผดเผาจึงเริ่มละลายกลายเป็ก้อนพลังงานบริสุทธิ์ประกายแพรวพราวระยิบระยับงดงาม เช่นเดียวกับไขกระดูกและโลหิตที่ถูกรีดเค้นจนไร้ซึ่งมลทินแล้วยามนี้ หนึ่งชั่วยามให้หลังหนิงอ้ายใช้พลังจิติญญาบีบอัดแก้ไขกลุ่มก้อนพลังงานบริสุทธิ์จากร่างของสัตว์อสูรให้หลอมรวมกับแก่นปราณอสูรอย่างไม่รอช้า กลิ่นอายความลึกล้ำพิสดารได้ปะทุสาดซัดไปทั่วทั้งบริเวณ เปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งยังคงเร่งแผดเผาเชื่อมประสานไม่หยุดยั้ง
“องค์รัชทายาทเฉิงรุ่ยท่านพร้อมแล้วใช่หรือไม่ขอรับ การดูดกลืนโอสถปลุกสายเืคงทำให้ท่านรู้สึกเ็ปทรมาน อย่างไรข้าจะช่วยโคจรพลังลมปราณให้ท่านเ็ปน้อยที่สุด...” หนิงอ้ายกล่าวกับชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับนำขวดหยกโอสถออกมา
“รบกวนปรมจารย์โอสถหนิงอ้ายแล้ว” องค์รัชทายาทหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น จากนั้นหนิงอ้ายจึงได้ป้อนโอสถปลุกสายเืให้กับองค์รัชทายาทเฉิงรุ่ย ไม่นานนักอีกฝ่ายจึงได้เข้าสมาธิสงบจิตใจพร้อมกับโคจรพลังลมปราณในร่างกายเพื่อชักนำฤทธิ์โอสถวิเศษดังกล่าว
ร่างกายขององค์รัชทายาทพลันกระตุกเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาฉายชัดถึงความเ็ป หนิงอ้ายไม่รอช้าจึงรีบแผ่จิติญญาเข้าโอบล้อมอีกฝ่ายด้วยความละเอียดอ่อน ห้วงกระแสพลังลมปราณฟ้าดินจำนวนมหาศาลต่างไหลรินเข้าสู่ร่างกายของเฉิงรุ่ยด้วยความรวดเร็วยิ่ง นับเป็ปริมาณที่เหมาะสมด้วยการช่วยเหลือของหนิงอ้าย สิ่งนี้ย่อมไม่อาจสร้างความเ็ปรวมไปถึงเส้นชีพจรลมปราณอันสำคัญของอีกฝ่าย
สภาพร่างกายของชายหนุ่มขณะที่ปลุกสายเืนั้นได้สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนเพราะไม่คิดว่าเพียงแค่ เริ่มต้นดูดซับโอสถและแก่นปราณอสูร รูปลักษณ์และกลิ่นอายเฉพาะก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว นั่นหมายความว่าร่างกายของเฉิงรุ่ยสามารถเข้ากันได้ดีกับสิ่งเหล่านี้ สำหรับตอนนี้แล้วนับว่าไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก ขอเพียงต้องโคจรพลังลมปราณในร่างกายเคี่ยวกรำให้มีความยิ่งยวด อีกทั้งต้องหล่อหลอมสายเืเหล่านี้ให้ดีและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้เพื่อการก้าวะโของพลังฝีมือและสายโลหิต
เวลาที่ผันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วนั้นทำให้พลังงานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็โอสถปลุกสายเืและแก่นปราณอสูรได้ถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างกายหมดแล้วทั้งสิ้น ทางฝั่งของหนิงอ้ายเองยังคงถ่ายเทพลังปราณของตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถดูดกลืนพลังและปลุกสายเืได้อย่างราบรื่นและสมบูรณ์พร้อมมากที่สุด
ห้วงจังหวะนั้นประกายแสงสีส้มทองประกายได้สว่างวาบขึ้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันกล้าแกร่งรอบกายของชายหนุมและกำลังพวยพุ่งทะลวงสู่ชั้นเมฆา้า คลื่นกระเพื่อมพลังงานกร้าวแกร่งหลายระลอกได้ปลดปล่อยกลางเวลาจนทำให้ห้วงมิติบริเวณนั้นถึงกับบิดเบี้ยว กระแสพลังลมปราณอันเข้มข้นยังคงไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาไม่นานก็สามารถดูดซับเข้าไปได้ทั้งหมด ดวงตาของเฉิงรุ่ยในตอนนั้นแฝงไปด้วยประกายอันลึกล้ำของห้วงพลังของราชทินนามเทพ์ิญญาที่แกร่งกร้าวไม่ธรรมดา
“จากความลึกล้ำของโอสถก็พอจะคาดเดาได้ว่าองค์รัชทายาทคงสามารถข้ามเขตขั้นจากราชทินนามเทพยุทธิ์ิญญาเป็ราชทินนามเทพ์ิญญาได้ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะทะลวงเขตขั้นเป็ถึงราชทินนามเทพ์ิญญาขั้นกลางเลยทีเดียว อีกทั้งกลิ่นอายของสายเืใหม่ที่หลอมรวมขึ้นมานั้นนับเป็สายเืของเผ่าพันธ์ัพสุธารัตนพิภพที่มีความพิศดารยิ่งนัก...” ผู้าุโเหลียงเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม บัดนี้กระแสพลังปราณธาตุอัคคีที่ปลดปล่อยออดมาจากร่างของเฉิงรุ่ยได้แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง หากพิจารณาแล้วอาจพอกล่าวให้เข้าใจโดยง่ายว่าเป็เปลวเพลิงที่แฝงไปด้วยพิษก็เป็ไปได้เช่นกัน...
เมื่อกระแสพลังลมปราณอันเข้มข้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสายโลหิตผันแปรสุดแปลกประหลาดที่โอบล้อมร่างถูกคลายออก จึงได้ปรากฎร่างกายสูงใหญ่ขององค์รัชทายาทที่ภายนอกไม่ได้มีสภาพที่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ทว่ากับทุกคนในที่นี้ล้วนเป็สุดยอดฝีมือระดับสูงอีกทั้งยังเป็นักปรุงโอสถที่มีพลังจิติญญาที่ไม่ธรรมดาสามัญจึงรับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขามและความแกร่งกร้าวของกลิ่นอายที่องค์รัชทายาทเฉิงรุ่ยได้ปลดปล่อยออกมา บัดนี้สามารถกล่าวได้ว่าพิษร้ายที่เคยบั่นทอนกัดกินพลังชีวิตทำลายร่างกายในก่อนหน้า อีกทั้งสายเืสองเผ่าพันธุ์ สองปราณธาตุคู่อริที่เคยขัดแย้งจนทำให้การเลื่อนระดับพลังิญญาในแต่ละเขตขั้นเป็ไปได้อย่างยากลำบาก กล่าวว่าข้อจำกัดเหล่านี้ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้แล้วหลังจากนี้
“องค์รัชทายาทเฉิงรุ่ย ท่านยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งในการปรับตัวเข้ากับพลังสายเืใหม่ ระหว่างนี้จงดูดซับโอสถของข้านี้ไปอย่างต่อเนื่องกระแสพลังลมปราณในร่างกายก็จะเข้าสู่สมดุลได้มากยิ่งขึ้น และในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ท่านควรเร่งดูดซับแก่นปราณอสูรสังกัดปราณธาตุไฟและปราณธาตุน้ำเพื่อให้สายโลหิตของท่านมีความสมดุลมากที่สุด...” หนิงอ้ายกล่าวอธิบายถึงสิ่งที่อีกฝ่ายควรปฏิบัติหลังจากนี้
“ขอบคุณผู้าุโเหลียงและผู้าุโนักปรุงโอสถทุกท่านที่ช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ขอรับ” เฉิงรุ่ยประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม
“โดยเฉพาะปรมาจารย์โอสถหนิงอ้าย พลังปราณสุริยะธาตุที่ท่านถ่ายทอดให้ข้ามีความล้ำลึกเป็อย่างมาก ด้วยสิ่งนี้จึงสามารถทำให้ข้าทะลวงเขตขั้นเป็ราชทินนามเทพ์ิญญาได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง อีกทั้งยังทำให้พลังปราณอัคคีของข้ามีความแกร่งกร้าวขึ้นอย่างมากด้วย บุญคุณนี้ข้าย่อมจดจำเอาไว้แล้ว...” เฉิงรุ่ยประสานมือขึ้นโค้งคำนับขอบคุณด้วยความจริงใจ
“องค์รัชทายาทอย่าได้คิดเป็บุญคุณถึงเพียงนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ข้อตกลงระหว่างข้ากับบิดาของท่านที่ได้แลกเปลี่ยนให้สัญญาต่อกัน” หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปยังทิศทางตรงเื้ัเห็นเป็กลุ่มคณะขององค์ราชันัพสุธารัตนพิภพกำลังเดินมุ่งตรงมา
ก่อนหน้านี้หนิงอ้ายย่อมไม่ลืมใส่พิษอันเข้มข้นจากิญญายุทธ์ลงไปในเม็ดโอสถดังกล่าว หากว่าองค์ราชันผู้เป็บิดาของอีกฝ่ายคิดผิดคำพูด เส้นทางผู้ฝึกตนขององค์รัชทายาทผู้นี้คงไม่ได้เรียบง่ายสักเท่าใดนัก แม้ว่าวิธีการดังกล่าวจะดูอำมหิตไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็อีกหนทางหนึ่งที่หนิงอ้ายใช้ปกป้องตนเอง
“ปรมาจารย์โอสถหนิงอ้ายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว...” เสียงของราชันัพสุธารัตนพิภพดังขึ้นด้านหลัง พร้อมกับมุ่งตรงมาด้วยสีหน้าผ่อนคลายอย่างแท้จริง ยามนี้บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาได้กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์แล้วในที่สุด
“ท่านพ่อ ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ท่านต้องเป็ห่วงตลอดหลายปีมานี้ขอรับ” เฉิงรุ่ยคุกเข่าคำนับด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง ก่อนที่จะถูกกระแสพลังปราณอ่อนหยุนสายหนึ่งประคองร่างกายให้ลุกขึ้นยืน เมื่อสำรวจด้วยสายตาและญาณััจนมั่นใจว่าการปลุกพลังสายเืครั้งนี้เป็ไปด้วยดีแล้ว ภาระหนักอึ้งที่เคยแบกรับไว้ในก่อนหน้าจึงหายไปในที่สุด
“ปรมาจารย์โอสถหนิงอ้ายได้โปรดวางใจ กระดูกิญญาอายุแสนปีของอสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคี ไม่เกินสิบสองชั่วยามหลังจากนี้ข้าจะนำมามอบให้กับท่านด้วยตนเอง เพียงแต่ว่าสิ่งนี้หากเทียบกับชีวิตบุตรชายของข้าแล้วการตอบแทนเช่นนี้คงดูเล็กน้อยเกินไปกระมัง ฟังว่าการไหว้วานนักปรุงโอสถย่อมมีค่าตอบแทนอันมหาศาล เช่นนั้นแล้วท่านยังมีความ้าอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่??” ราชันัพสุธารัตพิภพได้ให้คำสัตย์อย่างหนักแน่นอีกครั้งพร้อมกับถามออกไป ที่กล่าวเช่นนี้นั่นเป็เพราะ้าตอบแทนอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใดใดขึ้นในวันข้างหน้า ส่วนอีกนัยสำคัญคือตัวตนของรุ่นเยาว์ทั้งสองนั้นหาใช่เป็ตัวตนทั่วไป อย่างไรแล้วไมตรีที่หยิบยื่นแลกเปลี่ยนกันวันนี้ย่อมได้รับการตอบแทนที่มีประโยชน์ในสักวัน
“น้องชายของข้าได้รับภารกิจจากท่านเทพโอสถาเสวี่ยจิงในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็เวลาหนึ่งปี ความตั้งใจแต่แรกเริ่มนั่นคือการเสาะหากระดูกิญญาที่ช่วยส่งเสริมการป้องกันที่ลึกล้ำ อีกทั้งยัง้าสมุนไพรวิเศษเพื่อใช้ในการปรุงโอสถหรือแม้กระทั่งสมบัติวิเศษติดตัว หากองค์ราชันมีเมตตาต่อน้องชายของข้า...” ฟานหลิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมจริงจัง เวลานั้นสีหน้าของบรรดาผู้าุโทุกคนในที่นี้ต่างเผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา ไม่คาดคิดว่าองค์รัชทายาทจิ้งจอกเหมันต์เก้าหางผู้นี้จะกล่าวอย่างขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบยิ่ง
“สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา สหายน้อยทั้งสองเข้าไปเลือกในคลังสมุนไพรและสมบัติของอาณาจักรเถอะ หากถูกใจสิ่งใดสามารถนำกลับไปได้ทั้งสิ้น ฮ่าฮ่าฮ่า” ราชันัพสุธารัตนพิภพกล่าวพร้อมกับหัวเราะร่าออกมาอย่างชอบใจ ก่อนจะพูดคุยสั่งการกับผู้าุโเหลียงให้คอยดูแลหนิงอ้ายกับฟานหลิงกับดีที่สุด จากนั้นจึงสั่งการรวบรวมเหล่าสุดยอดองครักษ์ที่มากไปด้วยฝีมือแล้วมุ่งตรงไปยังบริเวณบ่อน้ำอมฤตอัคคีกาฬทมิฬทันที
หลังจากนั้นไม่ถึงสิบสองชั่วยาม ราชันัพสุธารัตนพิภพก็ได้รักษาสัจจะสัญญาที่เคยกล่าวเอาไว้โดยการนำร่างไร้ิญญาและกระดูกิญญาอายุแสนปีของอสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคีมอบให้กับหนิงอ้ายครบถ้วนอย่างไม่มีตกหล่น ไม่เพียงเท่านั้นหนิงอ้ายยังได้สมุนไพรวิเศษหายากจำนวนไม่น้อยที่คาดว่าจำเป็ต่อการหลอมสร้างปรุงโอสถในวันข้างหน้ารวมไปถึงได้สมบัติวิเศษที่มีคุณสมบัติปกป้องชีวิตจำนวนหลายชิ้นเลยทีเดียว เมื่อทำการดูดซับกระดูกิญญาของอสูรัแมงป่องเพลิงอัคคีเสร็จเรียบร้อย หนิงอ้ายกับฟานหลิงจึงเอ่ยขอตัวลาและออกเดินทางจากอาณาจักรต้าเหลียงจิ่วในที่สุด
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงหกเดือนเท่านั้นก็จะครบตามกำหนดเวลาแล้ว จดหมายเวทย์ที่ท่านลุงเสวี่ยจิงส่งให้เ้าเมื่อเช้านี้มีเนื้อความว่าอย่างไร??” ฟานหลิงถามหนิงอ้าย ขณะที่พวกเขาทั้งสองได้นั่งเรือเหาะลงมาทางใต้ของสี่ทะเลมหาสมุทรนี้แล้วเพื่อเสาะหาสมุนไพรระดับเซียนอีกสองสามชนิดที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
“ท่านอาจารย์แนะนำให้เดินทางไปยังอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสง เป็อีกหนึ่งอาณาจักรที่แข็งแกร่งและมีองค์ราชันปกครองที่ทรงพลังอำนาจไม่ด้อยกว่าเผ่าพันธ์ระดับสูง สถานที่แห่งนั้นเคยเป็ที่ประทับอาศัยของท่านอาจารย์นับร้อยปีเลยทีเดียว และสถานที่แห่งนั้นจะเป็แหล่งฝึกฝนชั้นดีในการเพิ่มพูนเขตขั้นความสามารถของข้าให้มากกว่านี้ขอรับ”
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ...” ฟานหลิงจึงพยักหน้ารับคำด้วยความเข้าใจจากนั้นพวกเขาทั้งสองจึงออกเดินทางด้วยเรือเหาะโลหะอีกครั้ง แม้ก่อนหน้าจะได้คำข้อเสนอจากองค์ราชันัพสุธารัตนพิภพ แต่พวกเขาได้ปฏิเสธด้วยเพราะไม่้าให้การเดินทางครั้งนี้ดูโดดเด่นมากเกินไป
“จากที่เ้าเคยเล่าให้พี่ฟัง อาจมีความเป็ไปได้สูงว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้เข้าแทรกซึมตั้งกองกำลังสั่งสมตลอดเวลาหลายร้อยปีมานี้ ยังไม่นับรวมถึงตัวตนที่ซุกซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ไม่เปิดเผย ไม่เลือกข้างฝั่งใด เพียงแต่พวกเขาเ่าั้ย่อมไม่อาจพบเจอได้อย่างง่ายดายนัก หากสามารถสานสัมพันธ์หรือสร้างมิตรภาพอันดีต่อกันไว้ได้ อาจเป็ขุมกำลังสำคัญที่จะช่วยจัดการเผ่าพันธ์มารปีศาจก็เป็ไปได้” ฟานหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงไปด้วยความเป็ห่วงไม่น้อย
สำหรับหนิงอ้ายแล้วเวลาที่เขาจะต้องกลับมหาพิภพเดิมเริ่มใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว แน่นอนว่าการกลับไปยังดินแดนเดิมครั้งนี้จำเป็ต้องอาศัยหลากหลายปัจจัยในการหล่อหลอมเพิ่มพูนความสามารถของเขาให้ถึงพร้อมครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด เส้นทางฝึกฝนของเขาหลังจากนี้เทพาทั้งสามได้คำนวนเวลาอย่างถี่ถ้วนเหมาะสม หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งนี้สำเร็จในอีกสามปีให้หลังเขาจะต้องรับการฝึกฝนโดยตรงจากเทพาาม่อเหยียนผู้เป็บิดาบุญธรรมของเขาอีกครั้ง
ดังนั้นหลังจากนี้หนิงอ้ายจะต้องบรรลุระดับพลังิญญาให้รวดเร็วที่สุด แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ด้วยวิธีการลัดโดยไม่คำนึงถึงรากฐานบ่มเพาะ ด้วยสิ่งที่เขาต้องกลับไปจัดการเผชิญหน้านั้นคือแม่ทัพมาร ซึ่งอาจมีเื้ัอย่างเผ่าพันธ์มารปีศาจที่มีความแข็งแกร่ง ที่ไม่อาจทำลายลงได้อย่างง่ายดายด้วยเพราะตลอดหลายร้อยปีมานี้อีกฝ่ายอาจสั่งสมกองกำลังที่อาจทัดเทียมได้กับขุมพลังของเผ่าพันธ์าก็อาจเป็ไปได้
แต่สิ่งที่สำคัญเป็อันดับต้น ๆ และสามารถกระทำได้ไม่ต้องรั้งรอนั่นคือการเร่งฝึกฝนพัฒนาฝีมือรวมไปถึงดูดซับสายเืในร่างกายให้ประสานสมบูรณ์ หลังจากนี้หนิงอ้ายอาจจะต้องเสาะหาดูดกลืนแก่นปราณอสูรจำนวนที่มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามตอนนี้หนิงอ้ายยังคงต้องรีบเร่งบ่มเพาะพัฒนาระดับพลังิญญาให้เพิ่มขึ้นรวมไปถึงสั่งสมประสบการณ์และสิ่งต่าง ๆ ที่เป็ประโยชน์ในวันข้างหน้าหลังจากกลับดินแดนเดิม
ใช้เวลาไม่กี่วันหนิงอ้ายกับฟานหลิงก็เดินทางมาถึงเขตพื้นที่ของอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสง สถานที่ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาเขียวขจีน้อยใหญ่ที่ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ของอาณาจักร หนิงอ้ายสังเกตว่าพื้นที่โดยรอบอาณาจักรแห่งนี้ได้ถูกสลักด้วยมหาค่ายกลาที่มีความแข็งแกร่งเป็อย่างมาก จิติญญาของเขายังััได้ถึงสมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดมากกว่าหนึ่งชิ้นที่ถูกสลักกำกับรวมเข้าด้วยกัน
ด้วยความพิศดารลึกล้ำของมหาค่ายกลแห่งนี้จึงส่งผลให้พื้นที่โดยรอบล้วนมีกระแสพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์หนาแน่นเป็อย่างมาก ส่งผลให้สรรพสิ่งที่อยู่ภายในอาณาจักรแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วและแฝงเร้นไปด้วยพลังิญญากล้าแกร่ง นี่อาจเป็อีกหนึ่งเหตุผลที่ส่งเสริมให้อาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงแห่งนี้ได้ถูกเลือกเป็สถานที่พำนักครั้งหนึ่งของเทพโอสถาเมื่ออดีตที่ผ่านมา จากนั้นพวกเขาทั้งสองจึงบัญชาการเรือเหาะให้มุ่งตรงไปยังพระราชวังที่ตั้งอยู่ใจกลางของมหานคร ทว่าไม่ทันถึงประตูด้านหน้าก็พบว่าเรือเหาะได้หยุดชะงักราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยจับไว้
“ผู้มาเยือนทั้งสองเป็ผู้ใดกัน เหตุใดจึงไม่รู้ถึงกฎข้อห้ามของอาณาจักรที่ไม่ให้เรือเหาะทุกชนิดเหินเวหาในพื้นที่เขตปกครองของเรา!!!” เสียงตวาดกร้าวสายหนึ่งดังขึ้นสะท้านไปทั่วทั้งบริเวณ จากนั้นได้ปรากฎกลุ่มผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งเข้ามาขัดขวาง บุรุษที่อยู่หน้าสุดนั้นเป็ถึงราชทินนามเทพ์ที่ไม่ธรรมดาสามัญ สีหน้าแววตาของอีกฝ่ายดุดันจ้องมองรุ่นเยาว์ทั้งสองอย่างพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“นี่ถือป้ายหยกประจำตัวของข้า รบกวนพาเราทั้งสองไปพบองค์ราชันปกครองอาณาจักรด้วย” เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีดังกล่าว ฟานหลิงจึงตอบกลับไปพร้อมกับแสดงป้ายหยกสีขาวรุ้งแวววาวออกมายืนยันตัวตน
“จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าป้ายหยกนี้เป็ของจริง ท่าทางพวกพวกเ้าน่าสงสัยยิ่งนัก” หลังจากพิจารณาป้ายหยกในมือไปครู่หนึ่ง บุรุษคนเดิมจึงเอ่ยถามออกมาเสียงแข็ง ด้วยเพราะป้ายหยกเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็ผู้ใดก็สามารถได้ง่ายดายยากที่จะยืนยันได้ว่าเป็ของจริงหรือของปลอม ทว่าไม่ทันที่ฟานหลิงจะเอ่ยสิ่งใดกลับไปหนิงอ้ายได้สงสัญญาณให้แก่อีกฝ่ายพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า
ครืน!!!
“ด้วยฐานะของข้า สมญานามปรมาจารย์โอสถ นักปรุงโอสถระดับเจ็ดคงเพียงพอให้พวกท่านต้อนรับพวกข้าทั้งสองด้วยมารยาทแล้วกระมัง??” กล่าวจบลงหนิงอ้ายได้แผ่พลังจิติญญาอันลึกล้ำในเขตขั้นของนักปรุงโอสถออกมาอย่างท้วนท้น กระแสพลังปราณฟ้าดินและห้วงมิติถึงกับบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ปรากฎการณ์ดังกล่าวนั้นทำให้หน้าของเหล่าทหารต่างถอดสีกันทั้งสิ้น การล่วงเกินนักปรุงโอสถระดับสูงเพียงนี้หากยังมีสติย่อมรู้ได้ว่าสิ่งใดควรกระทำไม่ควรกระทำ ดังนั้นหัวหน้าองครักษ์จึงรีบนำทางหนิงอ้ายกับฟานหลิงเข้าพบองค์ราชันในทันที...