จากนั้นซูเจินก็วางถ้วยชาลง เขายิ้มและกล่าวว่า “เ้าไม่ถนัดกู่ฉิน หมากล้อม คัดลายมือ และวาดภาพ แต่ฝีมือชงชาของเ้ากลับยอดเยี่ยมมาก เ้าเล่นเพลงเทพธิดา์ให้ข้าฟังอีกรอบได้หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ข้าเล่นกู่ฉินไม่เก่ง ข้าอาจทำให้หูของคุณชายแปดเปื้อนได้”
ถึงจะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่นางก็หยิบกู่ฉินขึ้นมาแล้วเริ่มเล่น
ยังคงเป็เพลงเทพธิดา์ แต่เป็อีกท่อนหนึ่ง
“ถือจอกสุราฟังเสียงน้ำไหล ตื่นจากความเมามาย ฤดูใบไม้ผลิเคลื่อนจากไปเมื่อไหร่จะหวนมา
มองกระจกยามพลบค่ำ ยิ่งย้ำวันคืนในอดีตกาล”
อวิ๋นจื่อควรหยุดบรรเลงตรงนี้ แต่นางกลับบรรเลงเพิ่มอีกหนึ่งท่อน
“เมฆเคลื่อนผ่านดวงจันทร์ เงาบุปผาไหวตามลม
ผืนทรายเงียบสงบในค่ำคืนมืดมิด ครั้นพรุ่งนี้มีแสงอาทิตย์จะกลับมาคึกคักอีกครา”
เสียงกู่ฉินเปรียบได้กับเสียงสายน้ำไหลริน
ซูเจินวางถ้วยชาและจากไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
เมื่อเย่เช่อมาถึง อวิ๋นจื่อยังไม่ได้เก็บถ้วยชาที่ใช้แล้ว
เขาสวมชุดสีดำ ดูเคร่งขรึมและเ็า
“ข้าได้ยินมาว่าเ้าจะเป็ศิษย์ของสำนักชิงซาน?”
คำพูดของเขาตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม วิธีพูดเช่นนี้ถือเป็ธรรมชาติของทหาร
อวิ๋นจื่อมองตาเย่เช่อ มันดำขลับเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีจุดสิ้นสุด นางพยักหน้าและกล่าวว่า “หากข้าได้ฝึกวรยุทธ์ก็จะสามารถปกป้องตนเองในวันข้างหน้าได้”
เย่เช่อถอนหายใจเบาๆ ดวงตาของเขาดูจริงจังและร้อนแรง “ซูเจินบอกข้าแล้ว แต่เหตุใดเ้าไม่บอกข้าก่อน? ข้าทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้เ้าต้องลำบากเพียงลำพัง”
อวิ๋นจื่อรู้สึกอบอุ่นในใจ และเมื่อนางนึกถึงแผนการของตนเองในอนาคต นางก็รู้สึกเ็ปเล็กน้อย นางกลั้นน้ำตาและกล่าวว่า “แต่ท่านเป็ทหาร เป็แม่ทัพของราษฎรทั้งปวง ไม่ใช่ของข้าคนเดียว เห็นจินเหนียงจากไปเช่นนี้แล้ว ข้าจึงอยากเรียนวรยุทธ์ไว้บ้าง ประมุขตระกูลมู่ปฏิบัติต่อข้าเป็อย่างดีเพราะเห็นแก่มารดาของข้า”
เย่เช่อสวมกอดหญิงสาวไว้แน่น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าหยกเนื้อนุ่มและกลิ่นหอมอันอบอุ่นได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้ว เขากอดนางแน่นจนััได้ถึงอุณหภูมิและการเต้นของหัวใจของกันและกันผ่านเนื้อผ้าบางๆ
เย่เช่อกล่าวเบาๆ ว่า “ปี้เหยียน ข้ายังลังเลอยู่”
อวิ๋นจื่ออยากกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ปากของนางถูกทักทายด้วยริมฝีปากของเย่เช่อและจูบอันอ่อนโยนของเขา
ขณะที่หญิงสาวกำลังตกตะลึง ริมฝีปากของเย่เช่อก็ััริมฝีปากของนางแล้ว เขารู้สึกว่าเขาสามารถอดทนและหักห้ามใจได้เสมอ ที่ผ่านมาไม่เคยมีหญิงสาวคนใดทำให้เขาสับสนเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นเขาก็เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าความยับยั้งชั่งใจนั้นดำรงอยู่เพียงเพราะเขายังไม่ได้พบกับปี้เหยียน
เขาเคยคิดถึงเหวินฮวา แต่ในตอนนี้ร่างกายและจิตใจของเขาเต็มไปด้วยหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกว่ามีความอ่อนโยนสายหนึ่งผุดขึ้นในใจของเขา มันเป็สิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
เขาหวังเป็อย่างยิ่งว่ามันจะเป็เช่นนี้ตลอดไป
อุณหภูมิในห้องค่อยๆ สูงขึ้น เขาไม่สามารถหักห้ามใจได้ เขาใช้เวลานานกว่าจะปล่อยหญิงสาวในอ้อมแขนเป็อิสระ
ใบหน้าของอวิ๋นจื่อเป็สีแดงเข้ม นางหอบหายใจอย่างหนักโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์แม้แต่น้อย
หลังจากนั้นไม่นานนางก็กล่าวว่า “คุณชายไม่ต้องกังวล ข้ายังมีไป๋จื่อและหงหลิงคอยดูแล”
“ให้ข้าชงชาให้เ้าเถิด” ชายหนุ่มกล่าวอย่างสุขุม
อวิ๋นจื่อพยักหน้าเล็กน้อย
พวกเขาสองคนชงชาด้วยความกลมเกลียวราวกับคู่รักที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี แม้กระทั่งการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมีความหมายซุกซ่อนอยู่ เมื่อนางบิดแขนเสื้อเขาจะพูดคุยปลอบโยนเพื่อให้นางรู้สึกดีขึ้น และหากเขามองนาง นางจะรู้ว่าเขา้าอะไร
ความเข้าใจระหว่างคนทั้งสองเป็ธรรมชาติมาก
หลังจากชงชาเสร็จ เย่เช่อก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามักรู้สึกเหมือนว่าเราเคยพบกันมาก่อนแล้ว หรืออาจเคยอยู่ด้วยกันแต่ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัด เ้าเติบโตขึ้นที่เมืองใด?”
อวิ๋นจื่อใเล็กน้อย แต่นางยังคงกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าเติบโตขึ้นในย่านชานเมืองอวิ๋นเมิ่ง ข้ากับจินเหนียงถูกเลี้ยงมาด้วยกัน ตอนข้ายังเด็กครอบครัวของข้าค่อนข้างมีฐานะ แต่ต่อมาบิดามารดาของข้ารู้สึกว่าย่านชานเมืองอวิ๋นเมิ่งไม่ค่อยดีนัก จึงย้ายมาที่เมืองหยงโจว ต่อมาบิดามารดาของข้าจากไปอย่างกะทันหัน ข้าจึงเกลี้ยกล่อมให้จินเหนียงพาข้ามาที่ศาลาฉีอวิ๋นเพื่อหาเลี้ยงชีพ ส่วนหลังจากนี้ท่านคงรู้อยู่แล้ว”
ขณะที่นางพูด เสียงของนางก็ลดต่ำลงเรื่อยๆ และน้ำตาก็ดูเหมือนจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
เย่เช่อรู้สึกสงสารนางจับใจ เขารั้งนางมากอดอย่างแแ่และกล่าวว่า “ปี้เหยียน เ้าต้องทนลำบากเช่นนี้มานานสินะ” เขา้าถามว่าบรรพบุรุษของนางอาศัยอยู่ที่เมืองใด แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้ เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ถาม
เย่เช่อกลัวว่าการถามออกไปจะทำให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกไม่ดี เขาจึงหยิบยกเื่เรื่อยเปื่อยขึ้นมาพูดคุยและหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขอตัวกลับ
ทันทีที่เขาจากไป อวิ๋นจื่อได้ส่งข่าวถึงชิงซีเพื่อบอกนางว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้
นางรู้สึกไม่สบายใจ
นาง้าทะนุถนอมความสัมพันธ์นี้เอาไว้และปฏิบัติต่อเย่เช่ออย่างจริงใจ เมื่อใดก็ตามที่นางลังเล นางจะนึกถึงวันนั้นในวังหลวง เสียงดาบ การต่อสู้ เสียงะโ และเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่น ตลอดจนการหลบหนีของนาง ในเวลานี้แม้ว่าหัวใจของนางจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ความเศร้าก็ไม่เคยจางหายไป
แต่นางจะทำอะไรได้?
นางไม่มีทางเลือก
นางพยายามอย่างมากที่จะปลอบใจตัวเองว่าอย่าลังเล อย่ารู้สึกเสียใจ
นางมักย้ำเตือนตัวเองให้นึกถึงตอนที่โจวยี่สังหารเสด็จพ่อต่อหน้านาง
วันหนึ่งนางจะใช้กระบี่อันคมกริบฆ่าโจวยี่ด้วยมือของนางเอง
…
ณ เรือนตะวันตก จวนตระกูลมู่
ชิงซีนั่งอยู่บนตั่งหลักเพื่อรับรองผู้มาเยือนจากแดนไกล
ผู้มาเยือนครั้งนี้เป็คนพิเศษ
แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับมีใบหน้าที่ผุดผ่อง คิ้วคมเฉียง และดวงตาอ่อนโยน กลิ่นอายเช่นนี้คล้ายนักบวชในศาลาน้ำแข็งหิมะ ดูงดงามและสงบราวกับเทพเซียน
“ซีฉานเข้าเฝ้าองค์หญิง”
ตามที่คาดไว้ไม่มีผิดนางเป็นักบวช และดูเหมือนจะเป็ศิษย์ของหมี่เจียด้วย
ชิงซีมองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างใจเย็น ศิษย์พี่คนนี้เปิดเผยตัวตนของนางได้อย่างไร? ลืมไปแล้วหรือว่านางยังอยู่ในโลกมนุษย์!
ชิงซีเม้มปากและกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่มาที่นี่ได้อย่างไร?”
ซีฉานยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนองค์หญิงตามคำสั่งของเหนียงเหนียงเพคะ”
เหนียงเหนียงที่นางพูดถึงไม่ใช่หลวนฮองเฮาหรือ? ก่อนหน้านี้หมี่เจียเคยบอกว่าแม้แต่นางเองก็แทบไม่มีโอกาสเข้าพบหลวนฮองเฮาไม่ใช่หรือ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้