มีผู้คนมากมายในโลกที่พูดว่าอัจฉริยะบางคนก็มีโอกาสขึ้นเป็บรรพชนในภายภาคหน้า แต่คนที่มีโอกาสจะได้เป็จริงๆ นั้นจะมีมากน้อยเพียงใด? แน่นอนว่าเป็คนเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น และแน่นอนว่าด้วยจำนวนคนหนึ่งในร้อยนี้ก็นับว่าน้อยจนหาตัวจับได้ยาก เมื่อพิจารณาถึงเื่บรรพชนนี้แล้ว ก็นับว่าคนที่มีพลังอยู่ในระดับนี้นั้นมีน้อยจนน่าใ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความน่าจะเป็จะน้อยจนน่าทึ่ง แต่มันก็หมายความว่าขอเพียงมีโอกาส แม้จะไม่ได้ขึ้นเป็บรรพชนแต่พลังก็คงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
บรรพชนก็เป็เช่นนี้
และเทพก็ยิ่งมีน้อย นับจากอดีตมาจนถึงตอนนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้
แม้แต่จักรพรรดิแดนประจิมไท่อีที่ทรงอำนาจทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ก็ยังไม่ได้ขึ้นเป็เทพ เช่นนี้ก็น่าจะเห็นแล้วว่าการขึ้นเป็เทพนั้นยากเพียงใด
โอกาสที่จะได้ขึ้นเป็เทพก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มีน้อยคนนักที่กล้าพูดว่าตนจะเป็เทพ
อย่างไรก็ตาม มีคนน้อยมากที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเขามีศักยภาพพอที่จะขึ้นเป็เทพ แม้ว่าศักยภาพนั้นจะอยู่ที่หนึ่งในร้อยก็ตาม และการยืนยันของเผ่าัว่ามีัตัวใหญ่อยู่ในหัวใจของพวกเขา ก็ถือว่าเป็หนึ่งในนั้นสัญญาณของเทพเช่นกัน
สิ่งที่เรียกว่าัตัวใหญ่ในหัวใจ คือคำพูดที่บรรพบุรุษของเผ่าัทิ้งเอาไว้
ท่าทางของเทพจะต้องแตกต่างจากคนทั่วไป
ในใจมีความทะเยอทะยานของัที่ยิ่งใหญ่ และหากคนคนนั้นยังเป็เด็ก ก็หมายความว่าจะสามารถดึงดูดสมบัติของเผ่าัได้!
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมกลองจู่หลงจึงมีไอพลังที่แข็งแกร่งของสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าัปะปนอยู่ด้วย เพราะการทดสอบนี้เป็อีกหนึ่งบทพิสูจน์คุณสมบัติการขึ้นเป็เทพของหลัวเลี่ย
หลงชาใช้เวลานานในการสงบสติอารมณ์ “ปัจจุบันมีอัจฉริยะจำนวนมาก มีคนที่สร้างปาฏิหาริย์นับไม่ถ้วน แต่ไม่มีใครได้รับการยืนยันว่าพวกเขามีศักยภาพในการขึ้นเป็เทพมาก่อน หลัวเลี่ยถือว่าเป็คนแรก"
“หรือบางทีก็อาจจะมี แต่ไม่ได้ประกาศต่อสาธารณชน” หลงโต้วไห่กล่าว “แต่พวกเราสองคนโชคดีที่ได้เห็นมันด้วยตาของเราเอง ถือว่าเป็พรที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต เราควรบอกองค์หญิงสามเกี่ยวกับเื่นี้หรือไม่?”
“หืม?” หลงชาเงียบไป
หลงโต้วไห่กล่าวว่า “ความเมตตาที่องค์หญิงสามมีต่อหลัวเลี่ยได้ช่วยเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีความเป็ไปได้ที่จะพิชิตใจองค์หญิงสาม แต่ถ้าองค์หญิงสามทราบเื่นี้ ว่าคนที่มีใจมีความเป็ไปได้ที่จะเป็เทพ แล้วองค์หญิงสามที่ไม่มีความเป็ไปได้ที่จะเป็เทพจะทรงคิดอย่างไร? นอกจากนี้ด้วยนิสัยของหลัวเลี่ยแล้ว เขาคงเป็คนของเผ่าัไม่ได้แน่”
หลงชาพยักหน้าเงียบๆ
พวกเขามองไปที่หลัวเลี่ยอีกครั้ง
“การดังเจ็ดครั้งนั้นไม่ใช่เื่ที่น่าสงสัย แต่การที่มีัผู้พิทักษ์อยู่ก็แสดงว่าความยากได้เพิ่มขึ้นอีกเท่า ดังนั้นจึงยากที่จะเอ่ยว่าหลัวเลี่ยจะทำได้ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่”
การดังเจ็ดครั้งเป็เกณฑ์ที่เผ่าักำหนดไว้
ซึ่งเมื่อมาถึงระดับนั้นแล้วก็จะทำให้ไม่มีเยาวชนัผู้ใดลงมือกับหลัวเลี่ยได้อีก
เมื่อเห็นว่าผู้ที่จะได้เป็เทพปรากฏตัว พวกเขาก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นที่จะให้เยาวชนจากเผ่าัประลองกับหลัวเลี่ย ไม่ว่าผลที่ออกมาจะแพ้หรือชนะก็ตาม
หลัวเลี่ยมองไปที่ัผู้พิทักษ์บนกลองจู่หลง
“ความยากดูเหมือนจะเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง”
“น่าสนใจ ดูเหมือนว่าจะไม่อยากให้ข้าทำได้จริงๆ”
ตูม!
หลังจากนั้นไม่นาน ความว่างเปล่าบริเวณด้านหลังของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยกระแสน้ำไหลเชี่ยว มันสั่นะเืไปทั่วทั้งมิติลวงตา
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
“น้ำจากแม่น้ำฮวงโหไหลมาจากท้องฟ้าลงสู่ทะเลและไม่ไหลย้อนกลับ!”
นี่คือเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนที
ระดับสำริด!
หมายความว่าพลังการต่อสู้ของหลัวเลี่ยได้เพิ่มขึ้นถึงหกเท่าแล้ว
“ลองอีกครั้ง!”
หลัวเลี่ยะโขึ้นไปในอากาศราวกับเสือที่ลงมาจากูเา เขาเหวี่ยงกำปั้นขนาดใหญ่ดูดุร้ายและทรงพลังราวกับอ๋องผู้พิชิต
ตูม!
ด้วยหมัดนี้ กระแสน้ำนับพันสายมารวมกันที่จุดเดียว
ตูม!
เพียงหมัดเดียว ลวดลายัผู้พิทักษ์ที่อยู่บนกลองจู่หลงก็สั่นสะท้านและส่งเสียงออกมา
นี่ก็นับว่าเป็เสียงครั้งที่สี่เช่นกัน
มุมปากของหลงโต้วไห่และหลงชากระตุก พวกเขาใที่ได้ยินเสียงนี้ดังขึ้น พวกเขาประหลาดใจที่กลองจู่หลงซึ่งตกอยู่ภายใต้การคุ้มครองของัผู้พิทักษ์ ยังคงถูกคนที่มีพลังอยู่ในระดับหยินหยางทำให้ส่งเสียงดังออกมาได้
หลัวเลี่ยเลิกคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินได้เพิ่มพลังของข้าถึงหกเท่า แต่ข้ากลับทำให้ดังได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น”
“ข้าไม่พอใจ ไม่พอใจมาก”
“ในเมื่อเ้าทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็จะไม่เมตตาเ้า!”
ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้น
หมัดในครั้งนี้แตกต่างจากหมัดผู้พิชิตครั้งก่อน ครั้งนี้ฝ่ามือของหลัวเลี่ยเหยียดออกจนสุด ซึ่งเป็การแสดงถึงการประทับตรา
มันคือการเคลื่อนไหวของไพ่ลับ ตราประทับมหาหลุนิ!
หมัดผู้พิชิตเป็วิชายุทธ์ที่คนในระดับวังชะตาเช่นอ๋องผู้พิชิตเป็ผู้สร้างขึ้น
แต่วิชามหาหลุนิสร้างขึ้นจากข่งเซวียน ซึ่งเป็บรรพชนลำดับหนึ่งเมื่อครั้งที่เขามีพลังอยู่ในระดับทลายยุทธ์
ดังนั้นวิชายุทธ์ทั้งสองย่อมแตกต่างกันมาก
หลัวเลี่ยที่ไม่พอใจลงมือโดยไร้ความปรานี
หากกล่าวว่าหมัดของเขาที่ส่งไปก่อนหน้านี้ได้ใช้พลังไปครึ่งหนึ่งของการเพิ่มพลังเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินไปหกเท่า เช่นนั้นครั้งนี้เขาก็ออกแรงไปเต็มที่โดยไม่ได้หลงเหลือกำลังเอาไว้อีก
ภายใต้อากาศที่ไหลผ่านไม่ได้ ภายใต้สนับมือยุวราช และภายใต้ความแข็งแกร่งของพลังจากเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนที ตราประทับมหาหลุนิก็กลายเป็รอยฝ่ามือขนาดราวๆ สามจั้งในทันที
รอยฝ่ามือนี้ได้หดและบีบอัดพลังลงมาอย่างรวดเร็ว
จนในที่สุดมันก็มีขนาดเท่าฝ่ามือของหลัวเลี่ย จากนั้นเขาก็ตบไปที่กลองจู่หลง
กึก!
เสียงแตกร้าวดังขึ้น
ฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวยังคงโหมกระหน่ำลงไปที่กลองจู่หลงอย่างหนักหน่วง
มันเป็การโจมตีที่ไม่ได้หลงเหลือแรงไว้เลย ดังนั้นการโจมตีในครั้งนี้จึงทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดแรงแล้ว
ย้อนกลับไปในการต่อสู้ครั้งแรกระหว่างเขากับไก้อู๋ซวง แม้ว่าเขาจะโจมตีโดยไม่ได้กักเก็บพลังไว้ แต่เขาก็ยังทิ้งพละกำลังเอาไว้เล็กน้อยเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ครั้งนี้เขาทุ่มสุดตัวโดยไม่ได้หลงเหลืออะไรเอาไว้เลย
ดังนั้นการโจมตีในครั้งนี้จึงเป็การโจมตีที่ละเอียดที่สุด ตรงไปตรงมามากที่สุด และทรงพลังมากที่สุด
พรึ่บ!
เมื่อฝ่ามือทาบทับลงไป ลวดลายัผู้พิทักษ์บนพื้นผิวก็แตกเป็เสี่ยงๆ ราวกับว่ามันกลายเป็เศษแก้วจำนวนนับไม่ถ้วนที่แตกเป็เสี่ยงๆ และกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง ก่อนจะหลอมละลายไปในอากาศ
แต่พลังของฝ่ามือไม่ได้หายไป มันยังคงตกลงไปที่กลอง
กลองจู่หลงที่ไม่มีการป้องกันจากัผู้พิทักษ์จึงบุบลง เนื่องจากขาตั้งกลองยังคงพยุงตัวกลองเอาไว้อยู่ กลองที่ถูกกระแทกจึงยังคงตั้งอยู่ได้โดยไม่ลอยออกไป และรับแรงกระแทกโดยการบุบลงไปแทน
ตุ้บ!
เสียงกลองไม่ดังออกมา
แต่มีเสียงที่แสดงว่ากลองแตก
“ไม่มีทาง กลองจู่หลงอ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“เช่นนั้นหากปราศจากัผู้พิทักษ์ ตอนนี้ข้าก็สามารถทำลายกลองจู่หลงด้วยหมัดผู้พิชิตได้แล้ว”
หลัวเลี่ยดูตกตะลึงเล็กน้อย
นี่มันเื่อะไรกัน?
การที่กลองดังได้เจ็ดครั้งเป็เกณฑ์ที่จะป้องกันไม่ให้กลุ่มเยาวชนของเผ่าัมาคุกคามเขา
แต่เขาทำให้กลองดังได้เพียงสี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่เป็ไปตามเงื่อนไข
แต่ตอนนี้กลองจู่หลงได้พังไปแล้ว ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงไม่สามารถทำให้มันส่งเสียงดังได้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะไม่ได้รวมอยู่ในกฎของเผ่าั หรือกล่าวได้ว่าไม่มีกฎข้อใดที่เอ่ยถึงเงื่อนไขการทำลายกลองจู่หลง
ในขณะที่หลัวเลี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทันใดนั้นเขาก็ได้รับพลังบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลออกมาจากกลองจู่หลงอย่างรวดเร็ว
พลังนี้บริสุทธิ์และโบราณมาก และเขายังััถึงความอ้างว้างได้อีกด้วย
“แก่นพลังั?”
หัวใจของหลัวเลี่ยเต้นไม่เป็จังหวะ เขาก้าวไปข้างหน้าทันที
แก่นพลังัดูเหมือนจะมีจิตสำนึกเป็ของตัวเอง ไม่เพียงแต่ไม่หลบเท่านั้น แต่มันยังพุ่งตรงไปที่หลัวเลี่ย
ฟู่!
แก่นพลังัหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหลัวเลี่ย
ร่างของเขาไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น แต่ภาพที่น่าใเกิดขึ้นในจิตใต้สำนึกของเขา
ดูเหมือนว่าในห้วงเวลาและสถานที่อันห่างไกลมีร่างของับรรพชนลอยอยู่ท่ามกลางดวงดาวและดวงจันทร์ ัตัวนั้นดูราวกับเป็เ้าแห่งท้องฟ้า ในดวงตาคู่นั้นของจ้าวัที่ทอดยาวไปดั่งสายน้ำที่มีความสงบนิ่งและลึกลับไม่มีจุดสิ้นสุด ทั่วทั้งร่างของมันเปล่งแสงออกมา
ช่างดูลึกลับและกว้างใหญ่