หลินเสี่ยวเหอเอาแต่ใจเกินไปแล้ว
พวกจ้าวซื่อนั้นไม่เห็นค่าของครอบครัวก็จริง แต่แม้แต่หลินเสี่ยวเหอผู้นี้เองก็เป็เช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ?
ต่อให้ช่วยได้ นางก็ไม่อยากยื่นมือเข้าช่วยคนเช่นนี้หรอก
“พี่ฟู่อิน ข้า… ข้านึกว่าท่านเป็คนมีเมตตา เห็นใครลำบากเป็ต้องเข้าช่วย แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ยอมช่วยข้ากัน?” หลินเสี่ยวเหอกรีดร้องพลางน้ำหูน้ำตาไหล
นี่โทษนางหรือ? ไม่ช่วยหลินเสี่ยวเหอนี่นางผิดหรือ?
มุมปากของหลินฟู่อินยกขึ้นอย่างเ็า พลางลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องเพื่อเตรียมตัวกลับ และในขณะที่กำลังจะผ่านประตูไป นางก็หันกลับมาหาหลินเสี่ยวเหอ “เอาไว้เ้าเปลี่ยนตัวเองได้จริงๆ เมื่อไร เมื่อนั้นข้าจะพาเ้าไปด้วย” กล่าวจบแล้วนางจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนพยักหน้า “และเ้าพูดถูกเื่หนึ่ง ข้ามีวิธีอยู่ ไม่มีทางที่ข้าจะไม่มีวิธีใดๆ เลยอยู่แล้ว แค่มันเป็วิธีที่ข้าไม่อยากใช้เท่านั้น จำเอาไว้เสีย!”
“ทำไมกัน?” หลินเสี่ยวเหอร่ำไห้ ปากขยับถาม “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะเปลี่ยนตัวเอง!”
“‘ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนให้สำเร็จแล้วค่อยมาใหม่!” หลินฟู่อินไม่อยากกล่าวสิ่งใดกับนางอีก จึงออกจากห้องของหลินเสี่ยวเถาและหลินเสี่ยวเหอไปอย่างรวดเร็ว
หลินเสี่ยวเหออยากใช้ประโยชน์จากหลินฟู่อิน
หากหลินเสี่ยวเหออยากใช้ประโยชน์จากนางขนาดนั้น อย่างน้อยๆ ก็ควรจะรู้ตัวเสียก่อนว่าตัวเองทำอะไรได้แค่ไหน เมื่อรวมกับความไร้ความสามารถในการเก็บสีหน้านั่นแล้ว ต่อให้ออกจากบ้านหลินมาได้ แล้วจะไปทำอะไรกินได้กัน?
หลินเสี่ยวเหอตีค่าตัวเองไว้สูงเกินไปมาก นี่นางคิดจริงๆ หรือว่าตัวนางที่เป็เพียงเด็กสาววัยสิบขวบ จะสามารถอยู่ได้ด้วยลำแข้งตัวเองเหมือนกับหลินฟู่อินหลังออกจากบ้านหลินไปแล้วน่ะ?
“ฟู่อิน ให้ยาเสร็จหรือยัง?” ปู่หลินถามเมื่อเห็นหลินฟู่อินเดินออกมา
หลินฟู่อินพยักหน้าอย่างเ็า
นางรู้ว่าการที่ปู่หลินมาอยู่เฝ้าเช่นนี้ ย่อมแปลว่าเขามีเื่อยากคุยกับนางอีกแน่
หลินฟู่อินยิ้มอย่างหมดแรง นางรู้อยู่แล้วว่าบ้านใหญ่นั้นไม่ต่างอะไรจากบึงโคลนอันโสโครก แต่โชคร้ายที่นางยังคงต้องแหวกว่ายผ่านบึงอันโสมมนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำไปซ้ำมา
แต่นางจะไม่มีวันยอมแพ้!
“ในเมื่อให้ยาเสร็จแล้ว เช่นนั้นเ้าก็มากับข้า ข้ามีเื่อยากคุย!” คิ้วของปู่หลินขมวดแน่น สีหน้าเคร่งเครียด
หลินฟู่อินรู้ได้ว่าเื่ที่จะคุยนี้ไม่ใช่เื่ทั่วๆ ไปเป็แน่
ในใจนางจึงเพิ่มการระแวดระวังขึ้นมา
เมื่อตามปู่หลินเข้าไปในโถง ปู่หลินนั่งลงบนที่นั่งของเ้าบ้าน ก่อนจะชี้นิ้วที่เก้าอี้ทางขวาแล้วบอกให้หลินฟู่อินมานั่งตรงนี้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
หลินฟู่อินหรี่ตา แต่นางก็ยังนั่งลงบนที่นั่งนั้น ที่นั่งที่มีไว้สำหรับแขกคนสำคัญ
เมื่อปู่หลินเห็นว่านางนั่งลงแล้ว เขาจึงะโเรียกอู๋ซื่อ “ยายเฒ่า เอาชามา!”
หลินฟู่อินเพียงนั่งต่อไปเงียบๆ
ปู่หลินมองนางอีกครั้ง ครั้งนี้ด้วยรอยยิ้มอันแปลกประหลาด น้ำเสียงที่ใช้เองก็รื่นหูขึ้น “ฟู่อินเอ๋ย เ้าอาจจะเคยดื่มชาดีๆ ในเมืองมามากก็จริง แต่ชานี้เป็ชาที่เพื่อนร่วมรุ่นของต้าหลางพี่ของเ้านำมาฝากจากเมืองหลวง มันมีส่งมาสามชุด แต่เพราะต้าหลางเป็คนกตัญญู เขาจึงยกให้ข้าทั้งหมด ทั้งยังเป็ชาใหม่ที่กลิ่นหอมหวนยิ่งนัก!”
ปู่หลินบรรยายสรรพคุณให้ฟังด้วยสีหน้าพึงพอใจระคนไปด้วยความภูมิใจ
หลินฟู่อินแสยะยิ้มขึ้น กลายเป็รอยยิ้มเสียดสี “ท่านปู่ การที่พี่ต้าหลางกตัญญูต่อท่านนั้นนับเป็เื่ดี แต่เหตุใดเขาจึงไม่ไปแสดงความกตัญญูต่อซิ่วไฉชราที่เป็คนฝึกฝนเขามากัน? จากนี้ท่านปู่อย่าไปอวดเื่ความกตัญญูของพี่ใหญ่ให้คนอื่นฟังจะดีกว่า เพราะหากถูกถามกลับมาว่าแล้วไยจึงไม่แสดงความกตัญญูให้ซิ่วไฉชราด้วยเล่า? แล้วละก็ คงไม่เป็การดีเป็แน่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวอันสมเหตุสมผลของหลินฟู่อินแล้ว รอยยิ้มของปู่หลินก็หายไปทันที แล้วแทนที่ด้วยใบหน้าที่หมองหม่นแทน
ทั้งคำกล่าวนี้ยังไม่ได้แฝงความประสงค์ร้าย เป็เพียงการเตือนให้เขาได้สติเท่านั้น
แต่เหตุใดมันจึงชวนให้ไม่สบายใจได้ถึงเพียงนี้เมื่อได้ยินเช่นนั้นกัน?
หลินฟู่อินไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร นางวางสองมือทาบกันแล้วมองปู่หลิน ก่อนถาม “ท่านปู่ เรียกข้ามานี่มีธุระอะไรหรือ?”
“อ้อ... ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร” ปู่หลินกล่าวเรียบๆ แล้วกล่าวต่อ “มาดื่มชากับปู่ก่อน แล้วค่อยคุยกันทีหลัง”
เป็ตอนนี้เองที่อู๋ซื่อชงชาเสร็จและนำกาน้ำชามาขึ้นโต๊ะ แม้นางจะรู้ว่าปู่หลินพยายามซื้อใจหลินฟู่อินอยู่ก็ตาม แต่การให้ผู้เป็ย่าอย่างนางมาบริการให้หลานสาวเช่นนี้ นางก็ไม่ค่อยพอใจนัก
นางจึงบ่นกระปอดกระแปดไปพลางทำสีหน้าไม่พอใจ “ให้ผู้าุโอย่างข้ามาคอยบริการน้ำกับชาให้เด็กสาวอย่างนั้นหรือ จะมีใครที่ไหนที่มีโอกาสเช่นนี้อีกกัน!”
เมื่อหลินฟู่อินได้ยินเช่นนี้ นางจึงยิ้มแล้วมองปู่หลิน “ท่านปู่ ท่านย่าพูดถูกแล้ว ข้าไม่กล้าดื่มชานี้หรอก ท่านปู่ดื่มเองจะดีกว่า ส่วนข้าจะนั่งรอฟังท่านอยู่ตรงนี้”
ปู่หลินยิ้มออกมา แล้วตะคอกใส่อู๋ซื่อทันที “ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเ้าโง่หรอก ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!”
อู๋ซื่อสั่นสะท้าน มือนางสั่นไหว กาน้ำชาหล่นแตก ชาที่เพิ่งชงมาหกกระจายทั่วพื้น
โชคดีที่นี่เป็ฤดูหนาว นางจึงสวมเสื้อหน้า มิเช่นนั้นแล้วคงได้มีแผลพองเต็มไปหมดเป็แน่
ปู่หลินเห็นนางทำกาแตกจนชาดีๆ สูญเปล่าไปสิ้นก็รู้สึกผิดหวัง จึงทำหน้าถมึงทึงใส่อู๋ซื่อยิ่งกว่าเดิม
แล้วคำรามออกมา “อยู่มาจนปูนนี้แล้วกลับยังไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร สิ่งใดควรกล่าวสิ่งใดควรเงียบ เสียข้าวสุกสิ้นดี ไปตายเสียไป!”
อู๋ซื่อที่รู้สึกแย่จากการทำกาแตกอยู่แล้ว มาถูกปู่หลินต่อว่าต่อหน้าหลานเช่นนี้อีก ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นมา
ในใจนางคิดว่าทั้งหมดนี้เป็เพราะหลินฟู่อิน นางต้องเป็คนเสี้ยมปู่หลินจนเป็เช่นนี้เป็แน่ แต่นางก็ไม่กล้าพอที่จะต่อว่าหลินฟู่อินต่อหน้าปู่หลินอีก นางจึงใช้สายตาชราภาพนั้นจ้องหลินฟู่อินเขม็ง
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มบางออกมา ก่อนก้มหน้าลงเพื่อเลิกมองอู๋ซื่อ
ที่ปู่หลินดุด่าอู๋ซื่อให้เห็นนี้ก็เพื่อซื้อใจหลินฟู่อิน เพื่อให้นางพอใจขึ้นมาบ้างที่ได้เห็นอู๋ซื่อที่ไม่กล้าขัดขืน
จากนั้นเขาจึงหันหน้ามาหาหลินฟู่อิน “ย่าของเ้าก็เป็เสียอย่างนี้ อย่าได้ติดใจกับนางเลย”
“ข้าไม่ติดใจหรอกเ้าค่ะ” หลินฟู่อินคลี่ยิ้ม “ข้าถูกย่าดุด่ามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ท่านไม่เคยเห็นท่าทีที่นางมีต่อข้าหรือ?”
ปู่หลินสำลัก ปากเปิดปิดพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด
การพูดคุยกับหลินฟู่อินช่างเหนื่อยนัก หากเขาไม่ระวังให้ดี นางก็จะใช้คำพูดของเขาเองย้อนใส่ตัวเขาเอง
และเมื่อนางเริ่มตอกกลับแล้ว ก็จะไม่มีใครหยุดนางได้อีก
เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าปู่หลินมีสีหน้าเคร่งเครียด นางก็พอใจเป็อย่างมาก
แต่สีหน้านางยังคงสงบนิ่ง
ปู่หลินจัดท่านั่งใหม่ จากนั้นจึงทำสีหน้าอ่อนโยนเพื่อมองหลินฟู่อิน แล้วกล่าว “ฟู่อิน กิจการที่เ้าทำกับเถ้าแก่หลิวเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”
หลินฟู่อินพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยความจริงกึ่งหนึ่ง “ข้าเพียงจัดการเื่คนให้เขาเท่านั้น ดังนั้นหากกิจการเขาไปได้สวย ข้าก็ไปได้สวย”
“แล้ว” ประกายสายหนึ่งแวบขึ้นในสายตาของปู่หลิน ก่อนจะถามต่อ “แล้วกิจการไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนของเ้านี่ยังทำอยู่หรือไม่?”
“ทำสิเ้าคะ หากไม่ทำข้าก็คงต้องทานหมอกแทนข้าวแล้ว” หลินฟู่อินหัวเราะ “ตอนนี้ข้าไม่มีเงินติดมือก็จริง แต่ก็ยังมีเงินเก็บเหลืออยู่มาก”
หลินฟู่อินไม่ได้โกหก นางมีเงินเหลืออยู่มากจริงๆ แม้มันจะเป็เงินที่ต้องใช้เพื่อซื้อร้านของเจียงฮูหยินและบ้านในชิงเหลียนก็ตาม แต่นางก็ยังมีเงินอยู่นับหมื่นตำลึงเงินเลยไม่ใช่หรือ?
แต่เมื่อปู่หลินได้ยินกลับเข้าใจว่าหลินฟู่อินกำลังบ่นถึงความไม่มีอันจะกินของนาง ท่าทีเตรียมปอกลอกของเขาจึงหายไป แล้วรีบถามอย่างหวาดๆ ทันที “เป็เช่นนั้นได้อย่างไรกัน? แล้วเงินเ้าหายไปไหนหมด?”
หลินฟู่อินหัวเราะอยู่ในใจ ตาเฒ่านี่เรียกนางมาเพื่อคุยเื่เงินจริงๆ
นางจึงกางแขนออกด้วยสีหน้าลำบากใจ กล่าวว่า “ข้าซื้อเรือนหลังใหญ่ในหมู่บ้านต้าซู่ไปเมื่อสองวันก่อน หมดไปนับพันตำลึง ดังนั้นจึงไม่มีเงินเหลือติดมือแล้ว”
อย่างไรเสียเื่ที่นางซื้อเรือนก็คงเป็ที่รู้กันไปทั่วในอีกไม่ช้า นางจึงรีบยกเื่นี้ขึ้นมาอ้างกับปู่หลินเพื่อไม่ให้เขามาเกาะแกะเื่เงินอีกในภายหลังจะดีกว่า
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน ปู่หลินก็กลืนน้ำลายทันที ทั้งสายตายังเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง
“ฟู่อิน เรือนใหญ่ในหมู่บ้านต้าซู่ที่เ้าว่านี่ คือเรือนที่มีที่ดีๆ กว่าห้าถึงหกร้อยหมู่นั่นน่ะหรือ?” มาถึงตอนนี้ อู๋ซื่อก็เลิกสนเื่ความโกรธที่มีต่อหลินฟู่อิน แล้วตอบสนองต่อคำถามของปู่หลินทันที
“ย่ารู้จักเรือนนั้นด้วยหรือ์” หลินฟู่อินถาม
“ใครบ้างที่จะไม่รู้จัก? ตอนที่ปู่เ้ายังเล็กเองก็เคยทำงานที่นั่น ที่ไร่แห่งนั้นมีดินที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง ทั้งผลผลิตต่อหนึ่งหมู่ก็ยังเป็สองเท่าของไร่เรา!” อู๋ซื่อกล่าวอย่างละโมบ
หลินฟู่อินเพิ่งรู้ว่าปู่ของนางเคยไปทำงานที่นั่นด้วย นับเป็โชคชะตาโดยแท้
สายตาของปู่หลินดูเริงร่าขึ้นมา เขามองหลินฟู่อินแล้วกล่าว “นับเป็โชคชะตาจริงๆ ในตอนนั้นข้าก็เคยคิดอยู่ว่าหากไร่นั้นมันกลายมาเป็ของตระกูลเราได้ก็คงดี แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็ของตระกูลเราจริงๆ!”
ปู่หลินเข้าใจดียิ่งกว่าใครถึงความยอดเยี่ยมของไร่นั้น และเมื่อรู้ว่าหลินฟู่อินซื้อไร่นั้นมาแล้ว จิตใต้สำนึกของเขาก็ร่ำร้องว่ามันเป็ของเขาแล้วขึ้นมาทันที
และเมื่อมันเป็ของเขาแล้ว เขาก็จะส่งมันต่อให้หลานของเขา!
คำกล่าวที่ว่าเงินตราเปลี่ยนใจคนได้นั้นเป็จริง ปู่หลินได้เปลี่ยนใจแล้ว
เขาเลิกคิดที่จะขอยืมเงินจากหลินฟู่อินแล้ว มีไร่ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าเช่นนี้ จะไปสนยืมเงินอีกทำไมกัน?
ขอเพียงได้เรือนนั่นมาจากฟู่อิน บ้านใหญ่ก็ไม่ต้องกังวลเื่อาหารการกินอีก ต่อให้นอนแผ่อยู่บ้านไปทุกวันก็ไม่ต้องอดอยาก
ไม่เพียงเท่านั้น เื่ค่าเล่าเรียนของหลินต้าหลางก็จะไม่เป็ปัญหาอีกต่อไป!
หลินฟู่อินไม่พลาดที่จะเห็นความละโมบในสายตาของปู่หลิน แล้วจึงถอนหายใจเงียบๆ ในใจ
ปู่หลินนับวันก็ยิ่งบัดซบขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ มาถึงตอนนี้ก็ไม่แม้แต่จะพยายามปกปิดความโลภในใจแล้ว
“ท่านปู่ เรือนนั่นเป็ของข้า ไม่ใช่ของบ้านใหญ่” น้ำเสียงใสกระจ่างของหลินฟู่อินดังขัดฝันหวานของปู่หลิน
ปู่หลินหน้าตึงขึ้นแล้วมองหลินฟู่อินอย่างเ็า ในใจว่าร้ายนางไม่หยุด แต่ก็คิดได้ว่าหากว่าร้ายนางออกไปตรงๆ เขาคงมีแต่เสียกับเสีย
สีหน้าของปู่หลินยิ่งฉายไปด้วยความไม่พอใจหนักขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่ใช่คนพูดมาก จึงเพียงนั่งอารมณ์เสียไปเงียบๆ
แต่อู๋ซื่อนั้น เมื่อนางเห็นว่าปู่หลินเงียบไปแล้ว นางจึงรีบเดินเข้าไปอยู่ข้างหลินฟู่อินแล้วลูบๆ มือหลินฟู่อินทันที “หลานเอ๋ย ‘ของเ้า’ อะไรกัน พวกเราเป็ครอบครัวกันไม่ใช่หรือ ไยจึงต้องขีดเส้นแบ่งกันเช่นนี้ด้วยเล่า?”
เมื่อเห็นว่าภรรยาของตนทำอะไรมีสมองเป็ครั้งแรกหลังจากดูโง่มานาน สีหน้าของปู่หลินจึงดีขึ้นมา
เขารีดเอารอยยิ้มพิมพ์ใจออกมาประทับใบหน้า แล้วมองหลินฟู่อิน “ย่าเ้ากล่าวถูกแล้ว แม้พวกเราจะอยู่กันคนละบ้าน แต่พวกเ้าบ้านสามก็อยู่ในใจพวกข้าเสมอนะ”
อู๋ซื่อรีบตามน้ำแล้วกล่าวต่อ “ใช่ๆ เหมือนกับพ่อเ้าไง แม้ตอนยังเล็กเขาจะไม่เชื่อฟังพวกข้าก็ตาม แต่พอเขาเป็ตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้เช่นตอนนี้แล้ว พวกข้าก็ตื่นมาร้องไห้กลางดึกกันนับครั้งไม่ถ้วนเลย!”
ปู่หลินเห็นว่าครั้งนี้ภรรยาของเขาทำตัวมีประโยชน์เป็อย่างมาก ก็อดที่จะมองนางอย่างชื่อชมไม่ได้ อู๋ซื่อจึงตื่นเต้นขึ้นมาจนหน้าแดงสุก
ตลบตะแลง!
หลินฟู่อินมองสามีภรรยาเฒ่าพยายามป้อยอนางแล้วก็ได้แต่แค่นจมูกในใจ
นางเพียงนั่งมองทั้งสองไปเงียบๆ เท่านั้น
“จริงด้วย ฟู่อิน ในเมื่อซื้อที่มาแล้ว แล้วเ้าได้โฉนดมาหรือยัง? ตอนนี้อยู่กับตัวเ้าหรือไม่?” สายตาของปู่หลินจับจ้องใบหน้าของหลินฟู่อินไม่วางตา
หลินฟู่อินหลุบตาลงเพื่อไม่ให้ปู่เห็นสีหน้าเย้ยหยันของนาง
“โฉนดหรือ?” หลินฟู่อินทำท่าทีเหม่อลอยแล้วถามออกไป
“ใช่ เมื่อเ้าซื้อที่จากคนอื่นแล้ว เ้าต้องแลกโฉนดมาด้วย นี่เ้าไม่รู้หรือ?” เมื่อปู่หลินได้ยินคำถามของนางแล้ว เขาจึงเริ่มเป็กังวลขึ้นมา
“หืม? ข้าไม่ได้บอกหรือ ว่าข้ายังค้างเงินเขาอยู่?” หลินฟู่อินตอบ
หลินฟู่อินจงใจบอกความจริงเพียงกึ่งหนึ่งเพื่อให้ทั้งสองสับสน
ปู่หลินได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจได้ว่าหลินฟู่อินยังจ่ายไปไม่เต็มจำนวน จึงยังไม่ได้โฉนดมา เมื่อรู้แล้วสีหน้าก็หมองลง
“เอาเถาะ ถ้ามันไม่เท่าไรก็ยอมติดไปก่อน” ปู่หลินเหลือบมองหลินฟู่อินด้วยท่าทีเหมือนสั่งสอน “เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง เราจะใช้ไร่นั่นปลูกข้าวได้ และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วก็ค่อยเก็บไปขายทำเงิน แล้วไม่นานไร่นั้นก็จะกลายเป็ของตระกูลเรา!”
“ใช่ ใช่ ใช่!” อู๋ซื่อรีบเห็นด้วยเสียงดังทันที จากนั้นจึงหันไปมองหลินฟู่อิน “เ้าค่อยๆ ทยอยจ่ายไปก็ได้”
นางเฒ่านี่ไร้ยางอายจริงๆ
หลินฟู่อินอดที่จะยกมือก่ายหน้าผากไม่ไหว จากนั้นนางจึงคลี่ยิ้มออกมาก่อนมองปู่หลินและอู๋ซื่อ พร้อมย้ำคำ “ท่านปู่ ท่านย่า ฟังให้ดีๆ ที่ใดๆ ที่ข้าซื้อ มันเป็ของส่วนตัวของข้า หลินฟู่อินผู้นี้ และไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรใดๆ กับคนในตระกูลทั้งนั้น ต่อให้พ่อข้ากลับมาหรือเสี่ยวเป่าโตขึ้นก็ไม่เกี่ยวทั้งนั้น!”
“ฟู่อิน เ้าจะพูดเช่นนั้นไม่ได้ เด็กสาวตัวจ้อยเช่นเ้าจะไปยึดเรือนใหญ่เช่นนั้นไว้คนเดียวได้อย่างไรกัน?” ปู่หลินเห็นหลินฟู่อินย้ำเป็ครั้งที่สองว่าเรือนนั้นเป็ของนางเพียงผู้เดียว และไม่ใช่ของตระกูลหลิน สีหน้าของเข้าจึงไม่พอใจเป็อย่างมาก
“ใช่ มันจะไม่ใช่ของตระกูลได้อย่างไร เ้ายังเป็คนในตระกูลอยู่!” อู๋ซื่อกล่าวน้ำลายกระเซ็น มือลูบถูมือของหลินฟู่อินไม่หยุด “ดูมือของฟู่อินผู้โชคดีผู้นี้เสียสิ ทั้งขาวและนุ่มนวล แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่เหมาะกับงานใช้แรง!”
หลินฟู่อินชักมือออก จนอู๋ซื่อหน้าตึงไป
“ฟู่อิน ปู่เองก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้นัก แต่ตัวเ้าคนเดียวจะจัดการไร่มหาศาลนั้นได้หรือ เด็กสาวเช่นเ้าน่ะหรือ?” ปู่หลินกล่าวอย่างไม่พอใจ “ปู่เองก็ไม่เห็นหนทางอื่นแล้ว นอกจากการก้าวเข้าไปช่วยเ้าดูแลทรัพย์สินเช่นนี้! หากเ้าเห็นการบริหารอันเยี่ยมยอดของข้าแล้ว ไม่นานเ้าต้องอยากฝากฝังงานบางส่วนให้ต้าหลางจัดการแน่ หรือแม้แต่ฝากให้กับเสี่ยวเป่า!”
“ในอนาคตข้าจะตั้งกิจการของตัวเอง และจะจ้างใครก็ตามที่ข้าพอใจ ไม่ต้องลงแรงเอง” หลินฟู่อินกล่าวพลางมองปู่หลินอย่างเ็า “พวกปู่น่ะแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าทำอะไรบ้าง ดังนั้นแล้วไม่ต้องมาเสนอว่าข้าควรทำอะไร ต่อให้ข้านำเงินกองโตมาวางไว้ตรงหน้าพวกปู่ พวกปู่ก็คงเอาแต่กินๆ นอนๆ อยู่ดี ดังนั้นแล้วไม่ต้องมายุ่งกับเื่ของข้า”
คำพูดของหลินฟู่อินทำให้ปู่หลินเดือดดาลมากจนต้องลุกขึ้นยืน “ฟู่อิน ตอนที่ปู่ยังหนุ่มน่ะผ่านงานมามากมาย คนเฝ้าหนังสือที่ไร่นั่นก็เคยเป็ ข้ากัดก้อนเกลือมามากกว่าที่เ้าจะเคยได้ัั ข้ามสะพานมาหลายครั้งกว่าทั้งชีวิตของเ้า แล้วกล้าดีอย่างไรถึงมากล่าวเช่นนั้นกับข้า?”
เมื่อเห็นว่าปู่โกรธจริงๆ หลินฟู่อินก็ยิ่งมีความสุขขึ้นไปอีก
นางนั่งนิ่งอยู่ตรงที่นั่งของนาง แล้วกล่าวเนิบช้า “ท่านปู่ไม่ต้องโกรธไป แม้ตอนท่านยังหนุ่มจะมากความสามารถ แต่ตอนนี้ก็ชราแล้วไม่ใช่หรือ ทั้งผู้ที่ซื้อเรือนและไร่นั้นมามันก็คือข้าหลินฟู่อิน ไม่ใช่ท่าน และไม่ใช่หลินต้าหลางหลานแสนรักของท่านด้วย”
“นี่เ้า!” ปู่หลินแทบสำลักเื ชี้นิ้วใส่หลินฟู่อินอย่างไร้คำพูด
เมื่อโต้เถียงแพ้หลินฟู่อินอย่างหมดรูปเช่นนี้แล้ว ปู่หลินก็ไม่อยากกล่าวอะไรอีก
“นี่ก็มืดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนเ้าค่ะ” หลินฟู่อินหันไปมองฟ้า แล้วจึงลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น ก่อนทำการทักทายปู่หลินแล้วเดินออกไปข้างนอก
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” ปู่หลินหลับตาลง ปรับน้ำเสียงใหม่ให้แสดงความลำบากใจ “ฟู่อิน ปู่เองก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร เพียงคิดว่าเรือนในหมู่บ้านต้าซู่มันใหญ่ไปเท่านั้น หากเ้าได้โฉนดมาก็เอามาให้ปู่ เดี๋ยวปู่เก็บไว้ให้เอง”
หลินฟู่อินเลิกคิ้วขึ้น สายตาทอประกายขบขัน วิธีของปู่หลินนี่ช่างเก่าเก็บนัก
ตอนที่เขารู้ว่านางเป็คนทำไข่ดอกสนเอง เขาก็พยายามใช้วิธีนี้เพื่อเอาสูตรจากนางมารอบหนึ่งแล้ว
เมื่อปู่หลินเห็นว่าหลินฟู่อินไม่กล่าวอะไร เขาจึงกล่าว “ฟู่อิน เ้าไม่เชื่อปู่อย่างนั่นหรือ? ปู่น่ะขึ้นชื่อเื่ความซื่อสัตย์ในหมู่บ้านหูลู่แห่งนี้ ใครบ้างที่จะบอกว่าปู่เชื่อถือไม่ได้?”
หลินฟู่อินเชื่อไม่ลงแม้แต่น้อย
“ท่านปู่ พูดตรงๆ ข้าทำใจเชื่อท่านไม่ลงจริงๆ” หลินฟู่อินหัวเราะแล้วกล่าวออกมาตรงๆ “และเพราะท่านบอกว่าตอนหนุ่มๆ ท่านมีความสามารถมากมาย รู้หลายเื่ ทำได้หลายสิ่ง เช่นนั้นแล้วการนำเอาโฉนดไปเปลี่ยนชื่อที่คนกลางก็คงเป็เื่ง่ายดายสำหรับท่านด้วยใช่หรือไม่?”
ปู่หลินเดือดดาลขึ้นมาเมื่อถูกหลินฟู่อินจี้ใจดำ
แต่ก็ยังคงพยายามดึงดันต่อ “เ้าเห็นปู่เป็คนเช่นนั้นหรือ? ว่าข้าจะเอาโฉนดเ้าไปเปลี่ยนเป็ชื่อข้าน่ะ? ข้าไม่ทำหรอก!”
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มบางแล้วกล่าว “ท่านก็คงไม่เปลี่ยนเป็ชื่อท่านจริงๆ แต่จะเปลี่ยนเป็ชื่อหลินต้าหลางใช่หรือไม่ ข้าเดาถูกหรือไม่?”
ใบหน้าของปู่หลินแดงก่ำมากยิ่งขึ้น
แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาทำตาเหลือกแล้วตะคอกใส่หลินฟู่อิน “ไม่ใช่! หากข้าจะเปลี่ยน ข้าจะเปลี่ยนเป็ชื่อเสี่ยวเป่า มันเป็สิ่งที่เขาควรได้รับ เพราะเขาเป็บุรุษคนเดียวในบ้านสามของเ้า! เป็คนที่จะกลายเป็เ้าบ้านในภายภาคหน้า… ข้าเพียงเห็นว่าพ่อของเ้าไม่อยู่ที่นี่กับเ้า ข้าจึงจะลงมือทำแทนเขา ข้าผิดมากอย่างนั้นหรือ?”
ปู่หลินมีสมองจริงๆ ทั้งยังคิดได้เร็วด้วย หลินฟู่อินคิดอย่างเสียดสี
“อ้อ เช่นนั้นเป้าหมายของท่านปู่คือการเปลี่ยนเป็ชื่อเสี่ยวเป่า เสร็จแล้วการจะไปเปลี่ยนเป็ชื่อหลินต้าหลางต่อก็ยิ่งเป็เื่ง่ายดายใช่หรือไม่เ้าคะ?” หลินฟู่อินยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้