เมืองหยงโจวเริ่มมีหิมะตกแล้ว
หิมะดูบริสุทธิ์และสวยงาม คล้ายกับสมัยที่เสด็จแม่ยังอยู่
อวิ๋นจื่อเปิดม่านแล้วมองไปยังสีขาวโพลนของหิมะนอกหน้าต่าง
หิมะสีขาวบริสุทธิ์ปลิวไสวราวกับกระโปรงของนักร่ายรำ
หิมะนี้งดงามจนทำให้ผู้คนลืมเลือนทุกอย่าง
หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง
อากาศก็เริ่มหนาวเย็นลงเรื่อยๆ
แต่ฟู่หยงเฟิงหย่า[1]เหล่านี้กลับไม่ได้ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แขกของคณิกาขายศิลป์ในศาลาฉีอวิ๋นคับคั่งมากใน่สองสามวันนี้
แม้แต่อวิ๋นจื่อซึ่งปกติจะมีแขกเพียงไม่กี่คน วันนี้ก็ยังค่อนข้างยุ่ง
ครั้งนี้คุณชายมู่ไม่ได้มา
นางเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวเดินนำคุณชายหลายคนที่แต่งกายด้วยชุดหรูหราตรงมาที่ศาลาฉีอวิ๋นและเรียกหาปี้เหยียน
อวิ๋นจื่อเดินออกมาต้อนรับและมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ไม่มีใครในกลุ่มนี้ที่นางรู้จักเลย
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็ทุ่งเฟิงเยว่ อวิ๋นจื่อจึงเปลี่ยนท่าทางเป็อ่อนช้อยนุ่มนวลและกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “คุณชาย เชิญทางนี้เ้าค่ะ”
ชายหนุ่มในชุดสีเขียวซึ่งเป็ผู้นำกล่าวเบาๆ ว่า “แม่นางคือปี้เหยียนหรือ? ข้ามีนามว่าซูเจิน”
ซูเจิน?
เขาเป็บุตรชายของผู้ว่าการที่เย่เช่อกล่าวถึงใช่หรือไม่?
อวิ๋นจื่อกะพริบตาและพยักหน้าเล็กน้อย
ชายหนุ่มในชุดสีเขียวคนนี้ดูแตกต่างจากเย่เช่อโดยสิ้นเชิง
อวิ๋นจื่อนำทางเหล่าคุณชายไปยังห้องส่วนตัว นางจัดที่นั่งให้พวกเขาทีละคนก่อนจะถามว่า
“ไม่ทราบว่าคุณชายซู้าฟังเพลงใดเ้าคะ?”
ซูเจินจิบชาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ชาดี แต่มีไม่กี่เพลงที่เข้ากับบรรยากาศฟ้าหลังฝน ในความเห็นของเ้า เ้าคิดว่าเพลงใดเหมาะกับบรรยากาศนี้มากที่สุด?”
อวิ๋นจื่อนั่งลง นางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานและกล่าวว่า “เช่นนั้นปี้เหยียนขอบังอาจเล่นเพลงอารามดอกท้อ[2] รบกวนคุณชายแล้ว”
ซูเจินวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวว่า “ดีมาก ดีมาก”
ทันใดนั้นคุณชายในชุดสีน้ำเงินก็ยิ้มและพูดกับซูเจินว่า “ไม่รู้ว่าคุณชายซูได้พบกับสตรีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ั้แ่เมื่อใด ตอนนี้ยังเต็มใจที่จะพาพวกเรามาพบนางอีก ข้ายินดีด้วยจริงๆ”
คุณชายในชุดสีม่วงอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเ้าพูดเข้าสิ น่าตีให้ตายนัก”
ซูเจินกล่าวว่า “ถ้าพวกเ้าสร้างปัญหาก็ออกไปซะทั้งคู่”
คุณชายทั้งสองหยุดการสนทนาและฟังกู่ฉินเงียบๆ
อวิ๋นจื่อยิ้มและเล่นกู่ฉินอย่างจริงจัง
“เมืองดอกท้อมีอารามดอกท้อ
ในอารามดอกท้อมีเซียนดอกท้อ
เซียนดอกท้อปลูกต้นท้อ
แล้วเก็บดอกท้อไปขายแลกสุรา
ยามสร่างเมานั่งอยู่หน้าต้นท้อ
ยามเมามายนอนอยู่ใต้ต้นท้อ
ครึ่งวันตื่น ครึ่งวันเมา ปีแล้วปีเล่า
บุปผาเบ่งบาน จากนั้นก็ร่วงหล่น
ยอมแก่ตายท่ามกลางสุราและบุปผา
ไม่ขอก้มหน้าให้แก่รถเกวียน[3]
ได้แต่หวังว่าเมื่อแก่เฒ่าจะได้ตายในหอสุรา
รถม้าทางโลกมีไว้ให้คนรวยเสาะหา
จอกบิ่นและกิ่งหักมีไว้ให้คนยากจน
หากเอาความร่ำรวยสูงศักดิ์มาเทียบกับความยากจนต่ำต้อย
หนึ่งอยู่บนดิน อีกหนึ่งอยู่ที่ฟากฟ้ากลางหาว
หากเปรียบความยากจนต่ำต้อยกับรถม้า
พวกเขาทะเยอทะยาน แต่ข้าว่างเปล่า
ใต้หล้าเย้ยหยันว่าข้าบ้า
แต่ข้ากลับหัวเราะคนอื่นว่ามองไม่ขาด
พวกเขาไม่เคยเห็นสุสานของคหบดีผู้ทรงอำนาจ
ไร้ดอกไม้ ไร้สุรา เป็แค่ผืนนากว้าง”
เสียงร้องอันไพเราะและนุ่มนวลสอดประสานกับเสียงกู่ฉินอย่างลงตัว หัวใจของการเล่นกู่ฉินอยู่ที่อารมณ์ความรู้สึก เพลงนี้ค่อนข้างใช้พลัง อวิ๋นจื่อได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้และอารมณ์ของนางก็ไม่คงที่ นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกที่ยังค้างคากับเย่เช่อ ทุกครั้งที่ปลายนิ้วััสายกู่ฉินล้วนมีอารมณ์ของหญิงสาววัยแรกแย้มปะปนอยู่เล็กน้อย แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ทันได้สังเกต เดิมทีมันเป็เพลงที่สนุกสนาน แต่ที่ปลายนิ้วของอวิ๋นจื่อกลับมีรสชาติของความโศกเศร้าและถวิลหาหลั่งไหลออกมา
แววตาของอวิ๋นจื่อสลดลงเล็กน้อย
หลังจากเพลงจบ ชายหนุ่มในชุดสีม่วงก็ยิ้มและกล่าวว่า “แม่นางปี้เหยียนช่างมีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ถ้าฟังจากเพลงที่เ้าเล่น ข้าขอถามว่านายท่านคนใดทำให้เ้าโศกเศร้าถึงเพียงนี้ เ้ารับความรักจากข้าแทนได้หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อรู้สึกหวาดกลัวและกล่าวเสียงต่ำ “ข้าไม่รู้ว่าคุณชายหมายถึงอะไร? ปี้เหยียนเพียงสะบัดมืออย่างไม่ตั้งใจเท่านั้นเอง”
ซูเจินทำลายความอึดอัดและกล่าวว่า “เ้าไม่ต้องยุ่งกับนาง! วันนี้ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเพลงของเ้า”
อวิ๋นจื่อจ้องมองเขาอย่างกระตือรือร้น ดวงตาของนางสบกับดวงตาลึกล้ำคู่หนึ่ง
ดูเหมือนว่าเขากำลังช่วยนาง?
หรือเพราะเขาเป็สหายของเย่เช่อ?
ราวกับมองเห็นความสงสัยในดวงตาของนาง เขาก้าวมาข้างหน้าช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ออกมา แล้วเช็ดคราบน้ำชาที่นางทำหกใส่กระโปรงเพราะความตื่นตระหนกก่อนจะกล่าวว่า “เ้าไม่ต้องกังวล พวกเราสามคนไม่ได้มีเจตนาร้าย”
อวิ๋นจื่อมองไปยังชายหนุ่มผู้อ่อนโยน น้ำตารื้นขึ้นมาที่ดวงตาอันสดใสของนาง ความรู้สึกนี้เหมือนกับได้พบพี่ชายที่จากไปนาน
เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ใบหูของนางและกระซิบว่า “เย่เช่อจะกลับมาที่หยงโจวในวันส่งท้ายปีเก่า”
เสียงของเขาเบาจนคนอื่นไม่ได้ยิน แต่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน
นางพยักหน้า ก้าวถอยหลังช้าๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ขอบคุณคุณชายซู”
มุมริมฝีปากของซูเจินกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อกล่าวลาอวิ๋นจื่อแล้ว เขาก็พาเหล่าสหายออกไปด้วยท่าทางสง่างาม
อวิ๋นจื่อเอาแต่จ้องด้านหลังของเขา
เมื่อชายผ้าของเขาลับตาไป นางก็กลับมามีสติอีกครั้ง นางหยิบจี้หยกออกจากแขนเสื้อและจ้องมองอย่างว่างเปล่า
นางควรใช้่เวลาปีใหม่แรกหลังออกจากวังกับเย่เช่อหรือไม่?
นางมีความสุข แต่ในขณะเดียวกันก็เศร้าโศกอย่างอธิบายไม่ได้ เพราะหากปราศจากเบื้องลึกเื้ั ปราศจากตัวตนที่ไม่สามารถอธิบายได้ของเขาและนาง อวิ๋นจื่อคิดว่าตนเองจะต้องตกหลุมรักเย่เช่ออย่างแน่นอน อันที่จริงนางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกมีความสุข เป็เพราะจะได้พบเขาอีกครั้งหรือ?
นางไม่รู้ และไม่้าที่จะรู้ด้วย
วันเวลาผ่านไป
วันปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว
พรุ่งนี้เป็วันส่งท้ายปีเก่า
วันนี้หอจุ้ยฮวนเงียบราวกับถูกทิ้งร้าง แทบไม่มีแขกมาเยือนเลย
หญิงสาวทุกคนจึงดูเฉื่อยชาและไม่อยากจะหยิบจับสิ่งใด
ยกเว้นก็แต่อวิ๋นจื่อ
นางกำลังคิดว่าเมื่อไหร่ที่นางจะได้พบเย่เช่อ?
อะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับเขากันแน่? มันคือการชดเชยความบริสุทธิ์ของนางหรือไม่?
อันที่จริงมีสิ่งที่นางหวังมากกว่านั้น มันคือความปรารถนาบางอย่างซึ่งกำลังจะปะทุออกมา
เหล่าหญิงสาวในศาลาฉีอวิ๋นเห็นว่าปกติอวิ๋นจื่อที่สงบเสงี่ยมตลอดเวลากลับดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมากในวันนี้ พวกนางจึงเล่นมุกตลกเล็กๆ น้อยๆ ทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ อวิ๋นจื่อทำเพียงแค่หัวเราะแต่ไม่ตอบโต้ ยิ่งทำให้เหล่าหญิงสาวอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก
หวังฉีอวิ๋นก็รู้เื่นี้เช่นกัน นางแวะมาหาอวิ๋นจื่อและถามอย่างตรงไปตรงมา อวิ๋นจื่อเชื่อใจหวังฉีอวิ๋นจึงเล่าให้นางฟังว่าผู้มีพระคุณจะมาหานางในวันส่งท้ายปีเก่า อวิ๋นจื่อรู้สึกกังวลเล็กน้อยที่ต้องพูดชื่อเย่เช่อจึงเรียกเขาว่าผู้มีพระคุณแทน
หวังฉีอวิ๋นย่อมรู้ทันอยู่แล้ว นางครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าอวิ๋นจื่อหมายความว่าอย่างไร แต่นางยังไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางเพียงปล่อยให้อวิ๋นจื่อพูดให้จบก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ถ้าเขาเป็คนที่ควรค่าแก่การไว้วางใจ เ้าก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป อาจื่อ ป้าอวิ๋นก็เหมือนกับแม่ของเ้า ข้าย่อมหวังให้เ้ามีความสุข”
อวิ๋นจื่อตระหนักถึงความหวังดีและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย หวังฉีอวิ๋นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเื่คุยด้วยรอยยิ้ม เมื่อพูดคุยไปได้สักพัก นางจึงหาข้ออ้างออกจากห้องไป
ขณะที่อวิ๋นจื่อซึ่งยืนส่งหวังฉีอวิ๋นกำลังจะหันหลังกลับ นางก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น
------------------------
[1] ฟู่หยงเฟิงหย่า หมายถึงผู้ที่ไม่ได้มีหน้าตาทางสังคมแต่ชอบผูกมิตรกับบัณฑิตผู้รู้หนังสือเพื่อยกระดับตนเอง
[2] บทเพลงอารามดอกท้อ เป็บทกวีของถังป๋อหู่ กวีแห่งราชวงศ์ิ
[3] รถเกวียนในบทกวีนี้ หมายถึง เงิน อำนาจ ชื่อเสียง