"ข้าเลี้ยงดูเ้าอย่างยากลำบาก! เ้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?" โจวซื่อใบหน้าเชิดขึ้น ขมวดคิ้วจนเป็ริ้ว นางพูดอย่างกำเริบเสิบสาน
ฉือหางเงยหน้าขึ้นมองโจวซื่อปราดหนึ่ง ลดศีรษะลงและนิ่งเงียบ
เมื่อเห็นท่าทีของฉือหาง โจวซื่อก็ยิ่งขัดเคือง ั้แ่ลูกชายของนางแต่งงานกับลูกสะใภ้คนที่สาม เขาก็ไม่ฟังนาง ตอนนี้เขาไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย
"ข้าทำงานอย่างยากลำบากเพื่อเลี้ยงเ้าจนโต มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?" โจวซื่อพินิจมองที่ฉือหางด้วยใบหน้าดุร้าย "เ้าดู เ้าตอนนี้กลายเป็อย่างไรแล้ว?"
ฉือซู่เดินไปหาฉือหาง ดึงฉือหางไปข้างๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านแม่ ท่านพูดอะไรหรือ น้องสามเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ยังไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ!"
"ไม่กินข้าวก็พูดกับข้าเช่นนี้ได้หรือ?" โจวซื่อชี้ไปที่ปลายจมูกของฉือหาง ดวงตาสามเหลี่ยมกลับด้านของนางเบิกกว้างมากเป็พิเศษ ฟันหยักไม่เป็ระเบียบของนางเป็สีเหลืองและสีดำ แผดเสียงะโใส่ฉือหาง "ก็แค่ขอให้เ้าทำเตียงให้ข้า ทำไมหรือ ทำให้เ้าต้องตายหรืออย่างไร? เ้าทำกับข้าเช่นนี้..."
คำพูดที่ทนฟังไม่ได้เข้ามาในใบหูของเขาทีละคำ ฉือหางทั้งเบื่อหน่ายทั้งรำคาญ
ถ้าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่โจวซื่อพูดถึงโต้ซา เขาก็คงไม่เชื่อว่าท่านแม่ของเขากลายเป็คนเช่นนี้
“ในเมื่อเราแยกครอบครัวกันแล้ว” ฉือหางเงยหน้าขึ้นมองโจวซื่ออย่างไม่แยแส ในใจของเขาไม่มีอะไรนอกจากความเบื่อหน่ายระคนรำคาญ “ถ้าเช่นนั้น…”
สายตาของฉือหางมองไปที่ก้อนอิฐที่กองอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงของเขาเ็า ไร้ซึ่งความอบอุ่น ดวงตาของเขามืดมนและลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง “สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนตกอยู่ที่พี่ใหญ่”
โจวซื่อฟังคำพูดของฉือหาง นางไม่ทันได้ตอบสนอง พอนางก้าวไปข้างหน้า้าจะคว้าแขนเขาไว้ แต่ไม่คาดคิดว่าฉือหางได้พรวดเดินจากไปแล้ว
โจวซื่อหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธขึ้ง ชี้ไปที่เงาด้านหลังของฉือหาง นางตะลึงอ้าปากค้าง "เ้า เ้าดูสิ เขากลายเป็คนอย่างไรแล้ว?"
ฉือหางกลับไปที่ลานบ้าน ปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างในบ้าน
เมื่อเปิดประตู ความอบอุ่นภายในห้องช่วยปัดเป่าความเย็นบนร่างกายของเขาไปมาก
"ใช่แล้ว ช่วยหั่นพริกให้ข้าด้วย" หลินกู๋หยู่กำลังง่วนอยู่กับการล้างผัก โดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
ฉือหางม้วนแขนเสื้อขึ้น ดึงก้านพริกออก ตักน้ำเต็มกระบวยแล้วนำมาล้างพริก จากนั้นเอ่ยว่า "เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกเราไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ"
หลินกู๋หยู่หยุดชะงักชั่วคราว ฉีกยิ้มและเงยหน้าขึ้นมองฉือหาง "เช่นนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นโต้ซาก็โตแล้ว เราสร้างห้องแยกต่างหากให้เขา"
มือที่กำลังหั่นพริกของฉือหางหยุดชั่วครู่ จากนั้นหั่นต่อ ก่อนที่จะโน้มลงมองดูหลินกู๋หยู่อย่างจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหางด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง หัวใจของฉือหางก็คันคะเยอ เขาพูดอย่างเขินอายว่า "ข้าจะดูแลเ้าเอง"
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินกู๋หยู่หยุดชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะ "ทำไมวันนี้เ้าถึงได้คิดที่จะพูดเช่นนี้?"
ฉือหางไม่พูดไม่จา วางมือลงในอ่างไม้ช่วยหลินกู๋หยู่ล้างผัก
“วันข้างหน้าจะไปที่ไหนหรือ?” ฉือหางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างจริงจัง
"คอยดูกันปีหน้า ่นี้อากาศหนาวมาก วันหลังเ้าไปซื้อฟืนเถอะ จะได้ทำเงินให้กับคนในหมู่บ้านได้บ้าง" หลินกู๋หยู่พูดงึมงำ
"ดี"
“ข้าทายาให้โต้ซาแล้ว คิดว่าผลลัพธ์ไม่เลว เห็นว่าจะมีตลาดในอีกสามวันใช่หรือไม่ พวกเราไปเดินตลาดดีหรือไม่?”
"ดี"
“ข้ากำลังคิดว่า เสื้อผ้าของน้องชายสี่ไม่ค่อยอุ่น หรือข้าควรทำเสื้อกันหนาวให้เขาด้วยหรือไม่ เขาถูกแยกมาอยู่บ้านของเราแล้ว”
"ดี"
หลินกู๋หยู่หยุดงานที่กำลังทำ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็สามี
เตาไฟทำให้ภายในห้องอุ่นมาก แสงไฟส่องกระทบใบหน้าด้านข้างของเขา เค้าโครงใบหน้าของเขาดูนุ่มนวล และดวงตาคู่คมของเขาก็ดูล้ำลึกไม่อาจคาดเดาได้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยในเวลาเดียวกัน
“พี่ฉือหาง” หลินกู๋หยู่เพ่งพินิจมองใบหน้าของฉือหาง คาดเดาอยู่ในใจ นางมักจะรู้สึกแปลกเล็กน้อย “เ้าเป็อะไรไป?”
"ไม่เป็ไร" ฉือหางแสดงสีหน้าแปลกพิกล หันศีรษะไปด้านข้างด้วยความลำบากใจ
เมื่อเห็นท่าทีของฉือหาง หลินกู๋หยู่ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดีสักอย่าง ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขา้าดูแลหลินกู๋หยู่ให้ดีทุกวัน แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะดูแลนางอย่างไร
หลินกู๋หยู่มองเขาแล้วขมวดคิ้ว เช็ดมือบนเสื้อผ้าตรงเข่าก่อนจะวางนิ้วมือที่ระหว่างคิ้วของเขาเบาๆ "หากเ้ามีเื่อะไรไม่สบายใจ ก็อย่าได้เก็บไว้ ในเมื่อพูดไม่ได้เช่นนั้นก็อย่าเอาแต่คิดมาก มีอะไรให้ต้องกังวลมากหรือ”
"คล้ายกับข้า ข้าเรียนแพทย์อยู่ดีๆ แต่ข้ารนหาที่ตายตาม..." เมื่อหลินกู๋หยู่พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็ชะงักงันเล็กน้อย กลืนน้ำลายอย่างกระวนกระวาย พูดอย่างกระอักกระอ่วน "ไม่มีอะไรแล้ว"
เรียนแพทย์ เรียนอยู่ดีๆ งั้นหรือ?
แววตาของฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นใบหน้าที่หลบเลี่ยงของนาง เขารู้สึกเป็ครั้งแรกว่านางอยู่ห่างจากเขามาก แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะวิ่งไปตามนาง แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อาจตามนางทัน
เขาทำได้เพียงเดินตามหลังนางตลอดไป เช่นเดียวกับตอนที่เขาป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อในตอนแรก เขาทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองนางเท่านั้น
เขาที่เป็เช่นนี้ กอดนางไว้แน่นด้วยความต่ำต้อยเสมอ
เห็นได้ชัดว่านางสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า แต่ตอนนี้นางทำได้เพียงอยู่เคียงข้างเขา
ฉือหางรู้สึกทรมานใจเล็กน้อย เขาลดสายตาลงเล็กน้อย ได้ยินเสียงสั่นของตนเอง "เ้าเสียใจหรือไม่?"
“อะไรหรือ?” หลินกู๋หยู่เอ่ยถามด้วยความงุนงง
"ข้าไม่ดีพอ"
ฉือหางก้มศีรษะลง สุ้มเสียงของเขาแ่เบา ถ้าหลินกู๋หยู่ไม่ตั้งใจฟัง นางจะไม่ได้ยินเสียงของฉือหางเลย
“เ้าคิดฟุ้งซ่านอะไร?” หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เ้าเสียใจแล้วใช่หรือไม่”
ฉือหางส่ายศีรษะอย่างแรง และพูดด้วยใบหน้าจริงจัง "ไม่ ไม่ ไม่"
“ข้าหิวแล้ว” หลินกู๋หยู่ล้างผัก “ยังไม่รีบล้างผักอีก แล้วเมื่อไรเราจะได้กินข้าวกัน?”
เมื่อเห็นว่าฉือหางยังคงจ้องมองนางอย่างว่างเปล่า มุมปากของหลินกู๋หยู่ก็ค่อยๆ โค้งขึ้น
นางไม่เชื่อในความรัก แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด นางเชื่อในตัวฉือหาง
บางทีฉือหางอาจจะรู้สึกว่าเขาไม่ดีพอ แต่ในมุมมองของหลินกู๋หยู่ เขาทำให้นางรู้สึกปลอดภัย ซึ่งสิ่งนี้เพียงพอแล้วสำหรับนาง
เมื่อได้ยินว่าครอบครัวของพวกเขาจะรับซื้อฟืน หลายคนในหมู่บ้านจึงขึ้นไปบนูเาเพื่อตัดฟืนอย่างแข็งขัน ทุกเย็นในทุกวันจะมีคนสองสามคนนำฟืนมาขายเสมอ
ค่าฟืนเพียงสองอีแปะต่อหนึ่งมัด แต่สำหรับชาวบ้าน เงินเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยได้เงินเพิ่มก็สามารถซื้อเนื้อหมูได้หนึ่งชิ้น
ในไม่ช้าก็ถึงวันเปิดตลาด และหลินกู๋หยู่รู้สึกสนใจตลาดที่นี่มาก นางจึงปลุกฉือหางและโต้ซาั้แ่เช้าตรู่
อาจเป็เพราะมีตลาดในเมืองในวันนี้ เมื่อฉือหางและหลินกู๋หยู่เดินไปที่ประตูหมู่บ้าน พวกเขาก็เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ที่นั่น
“พี่ชายสาม พี่สะใภ้สาม!” เมื่อหวังเสี่ยวเชี่ยนเห็นฉือหางและหลินกู๋หยู่ นางก็โบกมือให้พวกเขาอย่างตื่นเต้น
หวังเสี่ยวเชี่ยนรีบเดินไปหาหลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้ม "พี่กับพี่ชายสามจะไปขายของในเมืองด้วยหรือไม่?"
"ข้าแค่อยากรู้ว่าในเมืองมีอะไรขายบ้าง?" หลินกู๋หยู่ยิ้มและชำเลืองมองฉือหางที่อยู่ข้างๆ "บังเอิญว่าพี่สามของเ้ามีเวลาว่างพอดี จึงไปดูด้วยกัน!"
หวังเสี่ยวเชี่ยนยิ้มและจับแขนของหลินกู๋หยู่ สายตาของนางจับจ้องไปที่ใบหน้าของฉือหางอย่างหยอกเย้า "พี่ชายสาม พี่ใจดีกับพี่สะใภ้สามจริงๆ!"
"ท่านน้า!" โต้ซาสวมชุดสีฟ้า ใบหน้าเล็กๆ ของเขาขาวกว่าเดิมมาก
"โต้ซา เด็กดี" หวังเสี่ยวเชี่ยนถอนหายใจอย่างจริงใจ เมื่อนึกย้อนกลับไปในอดีตของโต้ซา เขามักจะซ่อนตัวจากผู้คนและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดซอมซ่อ เมื่อมองดูเขาในตอนนี้ช่างต่างกันราวกับท้องฟ้ากับเหว
หวังเสี่ยวเชี่ยนนึกถึงสิ่งที่ท่านแม่ของนางพูด พี่สะใภ้สามไม่ใช่คนธรรมดา
"อ้อ ใช่แล้ว" หลินกู๋หยู่มองไปที่ผู้คนที่ยืนอยู่ข้างเกวียนวัวด้วยความสงสัยว่า "สิ่งนี้มีไว้ทำอะไรหรือ?"
เมื่อมองตามแนวสายตาของหลินกู๋หยู่ หวังเสี่ยวเชี่ยนเห็นคนเ่าั้ลากเกวียนวัวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า "สิ่งนี้หรือ ใน่ที่ตลาดเปิด คนส่วนใหญ่จะนำของไปขายในเมือง แต่พวกเขาไม่สามารถแบกได้จึงนั่งเกวียนวัว จ่ายเงินหนึ่งอีแปะก็สามารถไปที่เมืองได้อย่างรวดเร็วและยังสามารถนำสิ่งเ่าั้ทั้งหมดใส่ลงในเกวียนวัวได้"
"นั่งได้หรือไม่?" เมื่อหลินกู๋หยู่คิดว่าไม่ต้องเดิน นางก็ดีใจมาก "พวกเราสามคนนั่งได้หรือไม่?"
"นั่งได้สิ เกวียนวัวยังไม่ได้ออกก็เพราะว่าคนไม่พอ!" หวังเสี่ยวเชี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม "บังเอิญว่าพวกพี่มาพอดี พวกเราก็ออกเกวียนได้แล้ว"
หลินกู๋หยู่ยิ้มพลางจับแขนของฉือหางเดินไปที่เกวียนวัว จากนั้นจ่ายเงินไปสองอีแปะ
ในระหว่างที่หลินกู๋หยู่นั่งอยู่บนเกวียนวัว นางฟังหวังเสี่ยวเชี่ยนพูดจอแจไม่หยุด
ฉือหางนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง พูดคุยเกี่ยวกับฟืนกับชาวนาในหมู่บ้าน
หวังเสี่ยวเชี่ยนเอ่ยอธิบายจนในที่สุดหลินกู๋หยู่ก็เข้าใจ
รถเกวียนวัวออกเดินทางทุกเช้ายามเหม่า[1] และเมื่อถึงยามเซิน[2] ก็อยู่รอที่ประตูเมืองเพื่อรอทุกผู้คนในหมู่บ้านกลับไป
เนื่องจากพวกเขาไปในเมืองและนำสิ่งของมีน้ำหนักมากมายไปด้วย คนส่วนใหญ่จึงเลือกนั่งเกวียนวัว
ระหว่างทางหลินกู๋หยู่ยังเห็นผู้คนมากมายเดินเท้าไปยังเมือง เห็นพวกเขาแต่ละคนแบกของหนักๆ ขนาดนั้น นางรู้สึกเห็นใจเล็กน้อย
เมื่อพวกเขาไปถึงเมือง หลินกู๋หยู่บอกลาหวังเสี่ยวเชี่ยน นางตามฉือหางไปซื้อผ้าโดยคิดว่าจะทำเสื้อกันหนาวให้ฉือเย่
ทั้งสองคนเดินไปที่ตลาดดอกไม้
สำหรับดอกไม้และต้นไม้เ่าั้ แม้ราคาจะไม่แพง แต่อย่างไรก็มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่จะซื้อ
ในขณะที่ยืนอยู่กลางตลาดดอกไม้ ในที่สุดหลินกู๋หยู่ก็พบร้านขายว่านหางจระเข้
ซื้อต้นว่านหางจระเข้มาสองสามต้น ใช้เงินไปยี่สิบอีแปะ
“หิวหรือไม่? อยากกินซาลาเปาหรือไม่?” ริมฝีปากของฉือหางโค้งขึ้นเล็กน้อย มองหลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้ม
"ข้ายังไม่หิว" หลินกู๋หยู่เดินไปข้างหน้า นี่เป็ครั้งแรกที่นางเห็นตลาด นางมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าร้านขายของเล่น พูดกับโต้ซาในอ้อมแขนของฉือหาง "โต้ซาชอบอะไร?"
แววตาของฉือหางมองไปทางหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ม่านตาหดลงเล็กน้อย
"กู๋หยู่ เ้าดูลูกสักครู่ รอข้าที่นี่" ฉือหางพูดพร้อมกับยัดโต้ซาเข้าไปในอ้อมแขนของหลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่รีบอุ้มโต้ซาด้วยความตื่นตระหนก มองไปที่ใบหน้าที่จริงจังของฉือหาง จากนั้นมองตามแนวสายตาของเขาก็เห็นผู้คนจำนวนมากอยู่ที่นั่น
ฉือหางเดินไปทางด้านนั้นอย่างรวดเร็ว หลินกู๋หยู่อยากจะติดตามไปด้วย แต่ก่อนที่จะก้าวไปก็เห็นฉือหางเลี้ยวหายไป
นางวิ่งไปพร้อมกับโต้ซาในอ้อมแขน ภายในซอยว่างเปล่า ทั้งหมดที่นางเห็นคือคนเดินถนนที่เดินไปมาในฝั่งตรงข้าม
…………………………………
[1] ยามเหม่า คือเวลา 05.00 น. – 07.00 น.
[2] ยามเซิน คือเวลา 15.00 น. – 17.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้