เซียวจิ่นหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย ราวกับเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตัวเองก่อนหน้านี้เมื่อหมอหลวงบีบนวดให้เขายังไม่บังเกิดความรู้สึกชัดเจนเช่นนี้ กล้ามเนื้อเพียงแต่รู้สึกเมื่อยล้าราวกับได้เดินทางมาด้วยระยะทางไกลแสนไกลทว่าเมื่อหลินชิงเวยนวดให้เขาความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่เขาได้รับทำให้เขาแทบจะส่งเสียงครางออกมาด้วยทนไม่ไหว
เซียวจิ่นกล่าว “เ้าเป็เจาอี๋ของเจิ้น มิใช่พี่สาวของเจิ้น”
“โปรดประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเคยชินเสียแล้ว ฝ่าาอย่าได้ถือสาแต่เื่ที่หม่อมฉันอายุมากกว่าฝ่าาสามปีเป็ความจริงเช่นกัน”
“แต่เ้ายังคงเป็เจาอี๋ของเจิ้น”
หลินชิงเวยยังไม่โง่เขลาขนาดมาทุ่มเถียงเพื่อเอาชนะกับเด็กน้อยคนหนึ่งดังนั้นจึงกล่าวว่า “ถูกต้องเพคะ ฝ่าาตรัสถูกต้องแล้วเพคะ”
เซียวจิ่นพักหายใจหายคอแล้วจึงกล่าวอีกว่า “ในยามปกติเสด็จอางานยุ่งมากทั้งงานหลวงงานราษฎร์ เขายังต้องแบ่งเวลามาดูแลเจิ้น เจิ้นรู้ว่าเขาทุ่มเทจิตใจมาโดยตลอดหากมีเื่ใดที่เขาทำให้ให้เ้าโกรธเคืองเ้าก็อย่าได้กล่าวโทษเขาเลย”หลินชิงเวยเพิ่งจะคิดว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่เพียงมีจิตใจอ่อนไหว อีกทั้งยังเป็คนจิตใจเมตตาละเอียดอ่อนถี่ถ้วน เซียวจิ่นยังกล่าวอีกว่า “เพราะต่อให้เ้ากล่าวโทษเขาแล้วเขาก็ไม่มีทางปรับปรุงความโกรธเคืองนั้นคงได้แต่เก็บอัดเอาไว้ในใจ”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวจิ่น หลินชิงเวยหัวเราะขึ้นมาอย่างปราศจากเหตุผลเมื่อได้ยินคำพูดของเซียวจิ่นนางกล่าวว่า “ดูท่าแล้วฝ่าาทรงเข้าใจเซ่อเจิ้งอ๋องมากนะเพคะ”
คิดไม่ถึงว่าเซียวเยี่ยนออกไปครั้งนี้กระทั่งท้องฟ้าใกล้มืดแล้วก็ยังไม่กลับมาหลินชิงเวยจึงถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เสด็จอายังไม่กลับมา เย็นนี้ฝ่าาจะทรงรอเสด็จอากลับมาเสวยพระกระยาหารค่ำพร้อมกันหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นส่ายหน้า “ไม่รอแล้วเมื่อเช้าเสด็จอาเสียเวลาอยู่ที่เจิ้นเป็เวลาครึ่งค่อนวัน คาดว่าเวลานี้จะยังคงสะสางงานอยู่กระมัง”
เซียวเยี่ยนและเซียวจิ่นสองอาหลานมีความผูกพันใกล้ชิดแน่นแฟ้นนี่เป็ความจริงที่ทุกคนต่างรู้ดีเพื่อเป็การสะดวกต่อการดูแลเซียวจิ่นในยามปกติเซียวเยี่ยนจะพำนักอยู่ในวังหลวง ขอเพียงเซียวเยี่ยนมีเวลาเพียงเล็กน้อยก็จะมาอยู่เป็เพื่อนเซียวจิ่นด้วยเซียวจิ่นยังเล็กนัก ความรู้ ความคิดเห็น ทฤษฎีการบริหารราชกิจ ทัศนคติทั้งสามด้านของเซียวจิ่นล้วนเป็เซียวเยี่ยนที่อบรมสั่งสอนมากับมือ
หลินชิงเวย “ยุ่งอะไรเพคะ?”
เซียวจิ่นกล่าวเปิดเผยอย่างไม่คิดจะปิดบังว่า“ระยะนี้เสด็จอากำลังไต่สวนคดีอยู่คดีหนึ่ง คดีนี้เกี่ยวพันกับผู้คนในวงกว้างโทษสถานเบาเป็คดีขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดประชาชน โทษสถานหนักคือพวกเขาซ่องสุมกำลังพลมีแผนการก่อการฏ”
เซียวเยี่ยนไม่อยู่ดังนั้นหลินชิงเวยจึงได้แต่อยู่ร่วมทานอาหารเย็นเป็เพื่อนเซียวจิ่นนางแตกต่างจากเซียวเยี่ยนนางจำเพาะเจาะจงเลือกกับข้าวที่เซียวจิ่นไม่ชอบกินให้เขากิน เนื้อปลาที่เลาะก้างปลาออกแล้วเนื้อไก่ที่เอาหนังออกแล้ว จากนั้นวางลงในถ้วยของเซียวจิ่น
เมื่อเห็นเซียวจิ่นอิดออด หลินชิงเวยจึงกล่าวว่า“เด็กน้อยที่เลือกกินไม่ใช่เด็กดีเพคะ”
ใบหน้าของเซียวจิ่นมีรอยยิ้มเฉกเช่นสายลมอันอบอุ่นในฤดูวสันต์เขาขยับตะเกียบและกล่าวว่า “เจิ้นไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว”
หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว หลินชิงเวยอุ้มเซียวจิ่นไปเอนกายนอนลงบนเตียง“หากฝ่าายังไม่รู้สึกง่วง นั่งเอนหลังอ่านหนังสือไปก่อนหากเหนื่อยแล้วก็นอนลงนะเพคะ”
เซียวจิ่นยื้อยุดมือของหลินชิงเวยเอาไว้ มือของเขาให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อยเหมือนผ้าไหมเนื้อเย็นอย่างดี เขากล่าวยิ้มๆ กับนางว่า “ชิงเวยเ้าจะกลับไปแล้วหรือ? เ้าอยู่เป็เพื่อนเจิ้นอีกสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลินชิงเวย “ไม่ได้เพคะ หม่อมฉันต้องกลับไปนอนพักผ่อนแล้วเช่นกัน”
เซียวจิ่นปล่อยมือของนาง “เช่นนั้นก็ได้ เ้ากลับไปเถิด”
หลินชิงเวยหันกายเดินออกไปได้สองก้าวรู้สึกเหมือนมีสายตาหักใจไม่ได้จับจ้องมองตนอยู่ นางก้าวเท้าไม่ออก เอาเถอะรอยยิ้มของเด็กคนนี้ช่างทำให้คนยากที่จะปฏิเสธลงคอ ดูเหมือนหากนางไปจริงๆก็เป็เช่นคนบาป
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงหันกายกลับมาอีกครั้ง นางนั่งลงริมเตียงของเซียวจิ่นรอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นพลันสว่างไสวเจิดจ้ายิ่งขึ้นนางนั่งเฝ้ากระทั่งเซียวจิ่นนอนหลับสนิท จึงลุกขึ้นออกไป
ขณะเดียวกันนี้เป็เวลาดึกมากแล้ว
หลินชิงเวยออกมาจากตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นและน้ำค้างกลางดึกทำให้นางต้องต่อสู้กับาแห่งความหนาวเหน็บเวลานี้นางเป็ทั้งหมอและเป็ทั้งพี่เลี้ยงเด็กในเวลาอันรวดเร็ว
หลินชิงเวยออกจากตำหนักซวี่หยาง มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักฉางเหยี่ยนนางเดินเพียงลำพัง แสงไฟจากโคมไฟใต้เงาร่มไม้นั้นไม่สว่างนัก แต่ยังเพียงพอที่จะทำให้นางเห็นทางเดินได้ชัดเจน
ความหนาวเย็นในยามรัตติกาล เหมือนหมอกหนาๆที่เป็คล้ายผ้าไหมสีดำห่อหุ้มร่างกายของหลินชิงเวยเอาไว้
หากเป็เวลากลางวันระยะทางจากตำหนักซวี่หยางถึงตำหนักฉางเหยี่ยน หลินชิงเวยเองได้ใช้เส้นทางนี้หลายครั้งอย่างน้อยนางสามารถกลับไปถึงที่พักได้อย่างราบรื่นทว่าเวลานี้ท่ามกลางแสงสลัวในความมืด หลินชิงเวยเป็คนไม่เอาไหนในเื่ทิศทาง นางเดินไปเรื่อยๆอ้อมไปอ้อมมาไม่รู้ว่าตนเองเดินมาถึงที่ไหน เมื่อนางเงยหน้าขึ้น รอบด้านล้วนเป็ทางเล็กๆที่เต็มไปด้วยป่าไม้อันร่มรื่น เบื้องหน้าคือทางแยกแยกหนึ่งนางรู้สึกว่าทุกทิศทางล้วนไม่แตกต่างกัน
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงอาศัยััที่หกของตน เลือกทางแยกหนึ่งในนั้นเดินไปข้างหน้า นางเดินไปเรื่อยๆ กลับไม่พบสระน้ำที่ตนเคยเดินผ่านเสมอทว่าต้นไม้ข้างทางกลับดูหนาแน่นขึ้นกว่าเดิมและเส้นทางที่ตนเดินอยู่นั้นมองไปไม่เห็นปลายทาง
นางจึงหยุดยืนใต้ต้นไทรต้นหนึ่งต้นไทรต้นนี้อายุมากเสียจนลำต้นของมันโน้มลงถึงพื้นดิน ดูไปแล้วบังเกิดความน่าสะพรึงกลัวอยู่หลายส่วน
โคมไฟบนทางเส้นนี้บางดวงยังคงสว่างไสว บางดวงนั้นดับไปเพราะสายลมยามดึกที่พัดผ่านมานางกำนัลในวังไม่ได้มีมากนักจึงไม่อาจดูแลให้โคมไฟทุกดวงสว่างไสวได้ตลอดทั้งคืน
หลินชิงเวยยกมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วทอดถอนใจ คนจำทางไม่เก่งไม่อาจเดินไปไหนยามค่ำคืนได้จริงๆ
ขณะที่นางกำลังจะตัดสินใจเดินย้อนกลับไปเลือกทางแยกอีกทางหนึ่งพลันได้ยินเสียงลอยมาจากสนามหน้าท่ามกลางกลุ่มต้นไทรที่หนาแน่นดูเหมือนจะมีเสียงคน
หลินชิงเวยหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปดูรากของต้นไทรที่โน้มลงมานั้นเหมือนม่านหน้าต่างบดบังให้ทัศนียภาพเื้ัถูกอำพราง
นางค่อยๆ เดินย่องเข้าไป เดินเข้าไปหาต้นไทรต้นนั้น จากนั้นยื่นศีรษะออกไปดู
ดียิ่งนัก ท่ามกลางแสงจากโคมไฟเก่าคร่ำคร่าเพียงครู่เดียวหลินชิงเวยก็มองเห็นขายาวๆ ขาวๆ ทั้งสี่ข้างบนพื้นหญ้านั้นถึงกับเป็ชายหญิงคู่หนึ่ง
ไม่ กล่าวให้ถูกต้องก็คือ เป็คู่ยวนยางท่ามกลางน้ำค้าง[1]คู่หนึ่ง
หญิงสาวถูกชายหนุ่มกดข่มอยู่บนพื้น แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ถอดไม่ทันจึงปลดเพียงกางเกงก่อนอาภรณ์้าเปิดออกเห็นลาดไหล่งดงาม เส้นผมไม่เป็ระเบียบ เครื่องประดับบนศีรษะร่วงหล่น
นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยั่วยวนว่า “คนเลว ดูท่านใจร้อน”
ชายหนุ่มจึงได้แต่หัวเราะเสียงต่ำสองครั้ง กล่าวว่า “คนดีเ้าใจไม่ร้อน?” จากนั้นโอบเอวอ่อนราวกับงูน้ำนั้นขึ้นมา
หลังจากที่คนทั้งสองเสร็จกิจ จึงสวมเสื้อผ้าอาภรณ์กลับไปแล้วจัดผมเผ้าให้เข้าที่แล้วพากันออกไปจากที่นี่ ทว่าพวกเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าหลินชิงเวยอยู่ด้านหลังต้นไทร
หลินชิงเวยออกมาด้านหลังจากต้นไทร แล้วเดินไปตามทางต่อไปนางไม่ได้ย้อนกลับไป แต่เดินหน้าต่อไปจนสุดปลายทาง
และทางเส้นนี้ถือว่าสุดทาง สุดปลายทางเดินมีแสงไฟสว่างไสวหลินชิงเวยพรูลมหายใจโล่งอก ต่อให้ไม่ใช่ตำหนักฉางเหยี่ยนเข้าไปถามทางก็คงได้กระมัง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ที่นี่เรียกว่า ทิงจู๋เซวียน
ผู้ที่พักอาศัยอยู่ด้านในควรจะเป็เ้านายท่านใดสักคนเมื่อรายงานเข้าไป ข้างในมีกุ้ยเหรินสกุลจู๋นางหนึ่งอยู่จริงๆ
สกุลจู๋ถือเป็สกุลที่มีน้อยมากในชาวฮั่นมีเพียงชนกลุ่มน้อยจึงจะมีสกุลเช่นนี้
[1]หมายถึงคู่รักที่ยังไม่ได้ตกแต่งเป็ทางการเปรียบได้กับน้ำค้างที่มีเวลาการอยู่คงที่สั้นๆ