ยามเที่ยงคืนเสียงประทัดทั้งใกล้และไกลในหมู่บ้านเขตูเาได้ปลุกผู้คนที่ง่วงเหงาหาวนอนให้ตื่นขึ้น
“อ่า จุดประทัดกันแล้ว!”
บนเตียงดินด้านข้าง ผิงอันที่นอนไม่ค่อยสบายก็ใตื่นลุกขึ้นมานั่ง
“เอ๋ ถึงเวลาแล้ว พ่อเ้า พวกเรายังจะจุดประทัดหรือไม่?” ในมือหลี่ซื่อยกเกี๊ยวที่เพิ่งต้มเสร็จมาวางลงบนโต๊ะอาหารอย่างระมัดระวัง
เมื่อก่อนฐานะทางบ้านลำบากยากแค้น เพื่อที่จะฉลองปีใหม่ก็ซื้อประทัดมาเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ทุกครั้งจะซื้อหนึ่งพวงเป็ของที่ระลึก
หูฉางกุ้ยถูกถามจนชะงักงันไปเล็กน้อย อดมองไปทางเจินจูไม่ได้ ความหมายในดวงตานั้นเป็การสอบถามอย่างชัดเจน
“…”
เจินจูอดหางตากระตุกไม่ได้ เื่เล็กเช่นนี้ก็ต้องถามนางหรือ?
เอ่ยแขวะอยู่ในใจแต่ไม่ได้กล่าวออกมา หูฉางกุ้ยมองนางด้วยใบหน้าที่วางใจ ก้นบึ้งหัวใจเจินจูจึงใจอ่อน “ปีนี้ซื้อประทัดมาห้าพวง ท่านพ่อ ท่านคำนวณดูว่าต้องจุดหรือไม่นะเ้าคะ”
“…เอ่อ นี่…” พอหูฉางกุ้ยได้ฟังเจินจูกล่าวเช่นนั้น ก็คำนวณด้วยความจริงจังขึ้นมา “วันส่งท้ายปีจุดหนึ่งพวง วันที่หนึ่งจุดหนึ่งพวง วันที่สิบห้าจุดอีกหนึ่งพวง ยังมีอีกสองพวง…”
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! เก็บไว้หนึ่งพวงให้ข้า เก็บไว้หนึ่งพวงให้ข้านะขอรับ!” ผิงอันที่อยู่ด้านข้างฟังได้ชัดเจน จึงะโขึ้นมาอย่างกระวนกระวายใจ
“ได้ เก็บไว้ให้เ้าหนึ่งพวง” หูฉางกุ้ยรับปากหัวเราะทันที “โอ้ ท่านพ่อดีที่สุดเลยขอรับ” ผิงอันดีใจจนส่งเสียงโห่ร้องยินดี เริ่มกลิ้งพลิกหกคะเมนตีลังกาบนเตียง
“ฮ่าๆ…”
เห็นสภาพการณ์เช่นนั้น ทุกคนล้วนถูกเขาเย้าแหย่จนหัวเราะขบขัน
เสียงประทัดจากที่ไกลๆ ยังคงดังเขาหูไม่หยุดไม่หย่อน หูฉางกุ้ยถือประทัดขึ้นหนึ่งพวง นำทางผิงอันกับหลัวจิ่งออกไปจุดประทัดนอกบ้าน
เดิมทีหลัวจิ่งไม่ได้ตั้งใจจะตามไป เขาไม่ได้มีความสนใจต่อการจุดประทัดนัก เมื่อก่อนที่บ้านฉลองปีใหม่มักขาดดอกไม้ไฟและประทัดไม่ได้เลย เขาเห็นมามากแล้ว แล้วก็เคยจุดไปไม่น้อย ประทัดพวงเล็กธรรมดาเช่นนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขา แต่ต้านทานผิงอันที่เอาแต่ดึงเขาไม่ไหว จึงทำได้เพียงเดินตามเขาออกไป
“ปุงๆๆ”
ประทัดหนึ่งพวงเล็กจุดขึ้นมาใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็หมดลง
จุดประทัดเสร็จจึงปิดประตูลานบ้าน เสียงประทัดของคนในหมู่บ้านก็เกือบจะสิ้นสุดเช่นกัน
หลี่ซื่อใช้กระบวยตักเกี๊ยวใส่ชามไว้เรียบร้อย เรียกทุกคนมาทานให้หมดตอนยังร้อนๆ ปีเก่าก็นับได้ว่าผ่านไปแล้วและเปิดฉากหนึ่งปีใหม่ขึ้นมา
เช้าตรู่วันที่สอง ครอบครัวสกุลหูตื่นกันแต่เช้า
หลี่ซื่อช่วยเจินจูเกล้ามวยผมสองห่วงอย่างประณีต ก่อนมัดด้วยเชือกไหมพรมสีแดงเส้นยาว แล้วค่อยใส่ต่างหูเงินที่ซื้อมาใหม่ให้นางอีกครั้ง บนกายสวมเสื้อหนาวบุนวมปุยฝ้ายตัวเล็กสีแดงอ่อนเข้าคู่กับกระโปรงตัวยาวสีส้มอมชมพูอ่อน นางกำนัลในวังตัวน้อยงดงามของยุคโบราณหนึ่งคนก็ปรากฏออกมา
หลี่ซื่อพยักหน้าด้วยความพอใจอย่างมาก บนใบหน้ายิ้มแทบไม่หุบ
วันขึ้นหนึ่งค่ำประเพณีของที่นี่ไม่สามารถนอนี้เีได้ เพื่อเป็สัญญาณว่าปีใหม่จะเป็ปีที่ดี จำเป็ต้องตื่นแต่เช้าทานอาหารเช้าในวันปีใหม่ทั้งครอบครัวด้วยกัน
อาหารเช้าเรียบง่ายมาก ล้วนเป็การตระเตรียมไว้ดีแล้ว อุ่นเล็กน้อยก็สามารถทานได้เลย
ทานอาหารมื้อเช้าเสร็จอย่างมีความสุข สีท้องฟ้าก็สว่างจ้าพอดี ทั้งบ้านเก็บกวาดกันตามความเหมาะสม เสร็จแล้วจึงโบกมือลาหลัวจิ่งที่ไม่สะดวกออกจากบ้าน แล้วจึงมุ่งเดินทางไปบ้านเก่า วันขึ้นหนึ่งค่ำต้องไปอวยพรปีใหม่เคารพผู้าุโก่อน
วันขึ้นหนึ่งค่ำตามปฏิทินจันทรคติจีน ไร้ลมไร้ฝน อากาศดี แม้ไม่ใช่วันที่อากาศแจ่มใสมากมาย แต่ดวงอาทิตย์ก็ส่องทะลุชั้นเมฆลงมาส่องแสงทั่วทั้งผืนแผ่นดินกว้าง
สี่คนหนึ่งขบวนเดินผ่านบนถนนลูกรังในหมู่บ้าน ในยามเช้าตรู่เช่นนี้ มีชาวไร่ชาวนาไม่น้อยที่ตื่นแต่เช้าเพื่อเร่งไปอวยพรปีใหม่เหมือนดังเช่นพวกเขา
ครั้นได้พบกับคนคุ้นเคยกันก็ร้องทักทายอวยพรปีใหม่กันและกัน ครอบครัวไหนพาลูกมาด้วยก็ล้วนมอบแต๊ะเอียให้กัน พร้อมกับกล่าวคำมงคลสองสามประโยค หลังจากนั้นจึงต่างคนต่างไปบ้านผู้าุโของตนเอง
จนกระทั่งพวกเขาหนึ่งขบวนมาถึงบ้านเก่า หวังซื่อเงยหน้ามองรอคอยอยู่นานแล้ว
ชายชราสกุลหูสวมเสื้อแบบจีนตัวยาวใหม่เอี่ยมนั่งอยู่ขอบเตียง รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้เกิดรอยย่นบนหางตาขึ้นมา เส้นผมสีดำที่งอกออกมาใหม่ขับให้เขามีความกระปรี้กระเปร่าขึ้น
หวังซื่อต้อนรับครอบครัวเจินจูเข้ามา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน นั่งเลียบขอบเตียงตัวตรงเรียบร้อย พิธีอวยพรปีใหม่ของครอบครัวสกุลหูก็เริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ
เรียงผู้ใหญ่และเด็กตามลำดับ หูฉางหลินนำเหลียงซื่อ ชุ่ยจู และผิงซุ่นคุกเข่าแสดงความเคารพด้วยกันก่อน ทันทีหลังจากนั้นจึงเป็ครอบครัวของหูฉางกุ้ย
ในมือหวังซื่อซ่อนซองแดงหนึ่งปึกเอาไว้ มอบให้ทีละคนเรียงตามลำดับ
ผิงซุ่นรับซองแดงมาก็เปิดออกอย่างทนรอไม่ได้ “ว้าว” เขาส่งเสียงร้องแสดงความดีใจะโโลดเต้นขึ้นมา “ปีนี้มีเงินหกเหวิน เยอะมากเลย”
“ผิงซุ่น เ้าเป็เด็กน้อย ถือเงินมากมายเช่นนั้นน่าจะไม่ดี ให้แม่เก็บไว้ต่อไปซื้อลูกกวาดให้เ้าทาน” เหลียงซื่อเข้ามาดูใกล้ๆ เป็เงินหกเหวินจริงๆ แต๊ะเอียของปีที่แล้วๆ มาส่วนใหญ่เป็เงินหนึ่งเหวิน ปีนี้ที่บ้านหาเงินได้ เงินแต๊ะเอียก็น้ำขึ้นเรือย่อมสูง [1] นางแอบชั่งน้ำหนักซองแดงในมือของตนเอง รับรู้ถึงปริมาณในนั้นในใจอดมีความสุขไม่ได้
“ไม่ขอรับ ข้าจะเก็บไว้เอง ท่านแม่ ข้าโตแล้ว ไม่มีทางจ่ายเงินตามอำเภอใจ ท่านดู แต๊ะเอียของผิงอันก็ยังเก็บเอาไว้เองเลย” ผิงซุ่นปิดเงินหกเหวินซ่อนไว้ในอ้อมอกเสื้อ ทุกปีท่านแม่ล้วนกล่าวว่าจะช่วยตนเองเก็บไว้ หลังเก็บไว้แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นเหรียญเงินอีกเลย
“เฮ้อ เ้าเด็กคนนี้ เด็กที่ไหนเก็บเงินไว้เองกันเล่า เ้าจะเทียบกับผิงอันได้หรือ ปีนี้บ้านของท่านอารองของเ้าหาเงินได้ก้อนใหญ่ ย่อมมองเงินไม่กี่เหวินไม่อยู่ในสายตาหรอก” เหลียงซื่อดึงผิงซุ่นไว้กล่าวอย่างเจตนาเสแสร้ง หางตาชำเลืองมองผ่านโลหะเงินส่องแสงแวววับบนมวยผมที่ปักปิ่นเงินลายหงส์เมฆาของหลี่ซื่อ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
พอทุกคนได้ฟัง รอยยิ้มชะงักค้างบนใบหน้า ทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที
หูฉางหลินที่อยู่ด้านข้างหยัดกายขึ้นทันที กล่าวตำหนิเสียงดัง “ปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ กล่าวเพ้อเจ้ออะไรกัน ต่อไปแต๊ะเอียของผิงซุ่นก็ให้เขาเก็บไว้เอง มีเงินได้เล็กน้อยนี่ยังโต้เถียงกับลูกอีก เ้าอยู่ข้างๆ ทำตัวดีๆ พูดจาให้น้อยหน่อย”
เหลียงซื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้เข้า ในใจก็ไม่ยอม คิดจะโต้แย้งกลับสองสามประโยค แต่พอเงยหน้ามอง กลับเห็นใบหน้าของหวังซื่อกับชายชราหูที่มองมายังนางอย่างไม่แสดงสีหน้าออกมา ทันใดนั้นคำที่มาถึงปากก็กลืนกลับลงไป ยิ้มหน้าเหยเกถอยหลังมานั่งลงด้านข้าง
หลังจากที่นางก่อความวุ่นวายขึ้นเช่นนี้ บรรยากาศปีใหม่ที่มีความสุขก็จืดจางลงไม่น้อย ชายชราสกุลหูรั้งให้ทุกคนพูดคุยสนทนา จัดเรียงให้ครอบครัวของสองพี่น้องสกุลหูแต่ละคนเข้ามาอวยพรปีใหม่เรียบร้อยแล้วจึงแยกย้ายกันไป
ชุ่ยจูดึงเจินจูให้ออกมาจากห้องโถง เดินไปด้วยหารือด้วยความอิจฉานางไปด้วย “เ้าสวมชุดใหม่นี้แล้วสวยมากจริงๆ เหมือนกับคุณหนูครอบครัวตระกูลร่ำรวยเลย”
สีชมพูอ่อนตัดกับใบหน้าขาวผ่องอันบอบบางของแม่นางตัวน้อยให้เด่นขึ้น ดวงตาแบ่งแยกขาวดำชัดเจนดุจฝังด้วยอัญมณี ดึงดูดความสนใจของผู้คนขึ้น ริมฝีปากอมชมพูระเรื่อที่งดงามโค้งได้มุมอย่างพอดี
“พรืด…” เจินจูเม้มปากหัวเราะ จูงชุ่ยจูแล้วกล่าวอย่างขบขัน “พี่รอง นี่ท่านเปลี่ยนวิธีชมตัวเองหรือ? ท่านก็สวมเสื้อผ้าเหมือนกันกับข้าทุกอย่างเลย”
ชุ่ยจูท่อนบนสวมสีแดงหม่น ท่อนล่างสวมกระโปรงสีดอกบัว รูปแบบเหมือนกับเจินจูทั้งหมดจริงๆ แค่สีแดงหม่นค่อนข้างฉูดฉาดกว่าเล็กน้อย ชุ่ยจูขนาดรูปร่างสูงกว่านิดหน่อยสวมได้สง่างามเหมือนสาวน้อยมากกว่า
“…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าบอกว่าเ้าสวมชุดนี้แล้วสวยมากกว่า” ชุ่ยจูหน้าแดงรีบอธิบาย
“ฮ่าๆ มีความหมายเช่นนั้นแล้วเป็อย่างไร เพราะพี่รองสวมชุดใหม่นี้แล้วเหมือนคุณหนูครอบครัวตระกูลร่ำรวยมากจริงๆ” เจินจูปิดปากแอบยิ้ม
“…พอแล้ว เ้าเด็กไม่ดีนี่ล้อข้าเล่นหรือ ดูสิว่าข้าจะไม่จัดการลงโทษเ้า…” ชุ่ยจูตะลึงงันเล็กน้อย ดึงเจินจูไว้ทำท่าจะตี
เจินจูะโก้าวเร็วๆ จากไปทันที... วิ่งไปอย่างยิ้มกริ่ม
สองคนหยอกล้อกันอย่างเ้าไล่กวดข้ารีบเร่ง [2] อยู่ครู่หนึ่งถึงหยุดลง
วันเวลาฉลองปีใหม่มักผ่านไปไวเสมอ ความสัมพันธ์โดยตรงของญาติๆ ครอบครัวสกุลหูมีไม่มาก สองสามวันก็เยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายเสร็จสิ้น
ชายชราสกุลหูมีหนึ่งน้องชายหนึ่งน้องสาว ผู้เป็น้องชายยังไม่ทันได้โตเป็ผู้ใหญ่ก็จากไปั้แ่วัยเยาว์แล้ว น้องสาวก็แต่งให้กับพ่อค้าขบวนนักเดินทาง ตลอดทั้งปีวิ่งเต้นทำการค้าขายไปทั่ว ปัจจุบันนี้หยุดพักอยู่ในตำบลและเมืองหนึ่งทางตอนใต้ หลายปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาบ้านเก่าสกุลหู
หูฉางกุ้ยอุปนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สันทัดในการเข้าสังคม หลี่ซื่อก็ไร้ญาติชิดใกล้และมิตรสหาย ดังนั้นปีใหม่ของครอบครัวหูฉางกุ้ยจึงผ่านไปอย่างเงียบสงบมาก
คนคุ้นเคยในละแวกใกล้เคียงที่ไปๆ มาๆ มีเพียงครอบครัวเจิ้งเอ้อร์หนิว เจิ้งซวงหลินที่อายุมากกว่าหูฉางกุ้ยไม่กี่ปี เหมือนปีที่แล้วๆ มา พอเข้าสามค่ำในวันที่สามหูฉางกุ้ยก็พาผิงอันเอาของขวัญไปอวยพรปีใหม่ครอบครัวเจิ้งเอ้อร์หนิว
บรรยากาศของการเฉลิมฉลองคึกคักพอผ่านวันที่เจ็ดไปก็ค่อยๆ ซาลง แม้อากาศยังคงหนาวมากอยู่ แต่ชาวไร่ชาวนาที่ขยันเป็อันว่างไม่ได้ก็เริ่มตระเตรียมงานเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิขึ้น
หูฉางกุ้ยเป็หนึ่งในจำนวนนั้นเช่นกัน พอทานอาหารมื้อเช้าเสร็จก็วิ่งไปที่ดินที่บ้านตนซื้อไว้ทันที
ในลานบ้านเล็กของครอบครัวหูเสียงอ่านหนังสือที่ไม่ค่อยพร้อมเพรียงดังแว่วออกมา ห้องเรียนเล็กที่พักผ่อนไปหลายวันกลับมาเริ่มเรียนอีกครั้ง
“ฝนตกปรอยไม่พอให้เปียก ต้นกล้าไม่มีทางโตได้ ฝนตกหนักไม่อาจรอหลังดินแห้ง อุณหภูมิพลิกผันต้นกล้าตาย [3]” หลัวจิ่งกำลังถือไม้ยาวหนึ่งกิ่งชี้ตัวอักษรบรรจงอ่านทีละอักษรทีละประโยคบนแผ่นหินด้วยความจริงจัง
ก้านไม้ไผ่เล็กในมือของเขาเป็เจินจูให้หูฉางกุ้ยประดิษฐ์ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้หลัวจิ่งใช้สอน
ทุกวันนี้ขาของหลัวจิ่งโดยรวมดีขึ้นมากแล้ว ไม่จำเป็ต้องใช้ไม้เท้าก็สามารถเดินได้ปกติ แค่ไม่สามารถวิ่งหรือหิ้วของหนักได้เท่านั้นเอง
“ฝนตกปรอยๆ ไม่พอให้เปียก…” สี่คนที่นั่งอยู่เงยหน้าอ่านออกเสียงตาม
ในระหว่างนั้นคนที่จริงจังที่สุดคือผิงอันกับผิงซุ่น เมื่อผ่านวันที่สิบห้าไปแล้ว เด็กชายสองคนก็ต้องเข้าโรงเรียนส่วนตัวอย่างเป็ทางการ ตอนนี้ชายชราสกุลหูเรียกสองคนไปกำชับหนึ่งรอบโดยเฉพาะ ให้พวกเขาตั้งใจเรียนเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพราะเข้าเรียนต้องผ่านการสอบเข้า
ผิงอันกับผิงซุ่นเมื่อผ่านปีนี้ไปแล้ว หนึ่งคนอายุแปดปีหนึ่งคนอายุเก้าปี คำนวณขึ้นมาแล้วเวลาที่เข้าเรียนช้ากว่าบัณฑิตเด็กผู้อื่นไปเล็กน้อย เป็ธรรมดาที่ต้องตั้งใจเรียน พยายามสอบให้ผ่านให้ได้
เดิมทีผิงซุ่นยังมีนิสัยเกียจคร้านและะโโลดเต้น ผ่านการกล่าวพร่ำสอนหมุนเวียนกันของชายชราสกุลหูกับหูฉางหลิน และเปรียบเทียบลักษณะการเรียนของผิงอันอีกทีแล้ว เขาก็เริ่มเรียนรู้อ่านหนังสือด้วยความจริงจังขึ้นมา กลัวมากว่าตนเองจะสอบเข้าเรียนไม่ผ่านถึงเวลาจะเสียหน้าอย่างมากเอาได้
อ่านประโยคหนึ่งรอบ อธิบายความหมายของประโยคหนึ่งรอบ แล้วค่อยให้คำศัพท์ใหม่ที่ยังไม่ได้เรียนพร้อมอธิบายอีกครั้ง หลังจากนั้นเริ่มคัดลอกประโยคกับคำศัพท์หนึ่งรอบ หลักสูตรการสอนเช่นนี้เป็หลัวจิ่งกับเจินจูปรึกษาหารือขั้นตอนกันมาแล้ว
ตอนนี้การเงินภายในบ้านดีขึ้นอย่างมาก เครื่องมือที่ใช้ขีดเขียนตอนเรียนไม่จำกัดอยู่ที่กระดานหินเล็กอีกต่อไป เขียนคล่องมือเมื่อไรก็ขีดเขียนบนกระดาษ
พวกเด็กๆ ต่างรู้ว่าเครื่องเขียนราคาแพง ยามลงมือฝึกคัดตัวอักษรล้วนระมัดระวังและพิถีพิถัน กลัวมากว่าพอไม่ระวังให้ดีจะทำกระดาษขาวหนึ่งแผ่นเสียได้
หลังโรงเรียนเล็กเลิกเรียนตามปกติ ผิงอันกับผิงซุ่นก็ถูกรั้งไว้เป็พิเศษ นี่เป็เจินจูไหว้วานหลัวจิ่งโดยเฉพาะ ให้สอนเนื้อหาล่วงหน้าที่ต้องใช้ในการสอบเล็กน้อย
หลัวจิ่งหวนรำลึกอยู่ครึ่งค่อนวันในตอนที่เขาอายุห้าหกปี จึงเขียนเนื้อหาคร่าวๆ ออกมาหนึ่งชุดตามที่จำได้ เป็การให้ความรู้ในระดับที่สูงขึ้น หลังปรับปรุงแก้ไขอยู่รอบสองรอบก็เริ่มสอนเป็พิเศษล่วงหน้าให้สองพี่ชายน้องชาย
“อีกไม่กี่วัน พวกเขาสองคนต้องไปโรงเรียนส่วนตัวแล้ว” ชุ่ยจูมองไปยังสองคนที่เรียนหนังสือด้วยความตั้งใจอยู่ภายในบ้าน ในดวงตาเต็มไปด้วยความปีติยินดีและความอิจฉา
“ใช่สิ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รับบัณฑิตสตรี ไม่เช่นนั้นข้ากับพี่รองก็ไปด้วยกันได้” เจินจูดึงมือชุ่ยจูมากล่าวพร้อมยิ้มแป้น
“เอ๊ะ ดูเ้ากล่าวเข้า จะมีสตรีที่ไหนไปโรงเรียนส่วนตัวกัน” ชุ่ยจูจิ้มศีรษะของนางอย่างน่าขัน
เชิงอรรถ
[1] น้ำขึ้นเรือย่อมสูง หมายความว่า อิงตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นๆ
[2] เ้าไล่กวดข้ารีบเร่ง เป็การบรรยายว่าวิ่งไล่หลังกันอย่างไม่ยอมแพ้
[3] ฝนตกปรอยไม่พอให้เปียก ต้นกล้าไม่มีทางโตได้ ฝนตกหนักไม่อาจรอหลังดินแห้ง อุณหภูมิพลิกผันต้นกล้าตาย หมายถึง การที่ฝนตกน้อยดินจะไม่ชุ่มพอให้เพาะปลูกได้ และเมื่อหลังฝนตกไปแล้วหากรอให้ดินแห้งถึงเพาะปลูกต้นอ่อนจะตายได้เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นในดิน