ในเมื่อเด็กสาวแสดงความตั้งใจจริงถึงเพียงนี้ การเล่นแง่อีกต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ป้าิ่เองก็มองออกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ได้มาเล่นๆ ท่าทางเอาจริงเอาจัง ราวกับเป็คนตัดสินใจได้เองทั้งหมด
นั่นหมายความว่า ถ้าตัวเธอแสดงความจริงใจ การซื้อขายครั้งนี้ก็อาจสำเร็จลงได้ แต่ถ้ายังยึกยักต่อไป ธุรกิจนี้อาจหลุดมือไป เด็กสาวก็พูดมีเหตุผลอยู่บ้าง เธออายุยังน้อย รอได้ แต่ตนเองชักจะรอไม่ไหวแล้ว
“หลันเยว่ ในเมื่อเธอพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ป้าก็จะเปิดอกคุยกันตรงๆ เลย หนึ่งหมื่นหกพันหยวน ถ้าตกลง เราเซ็นสัญญาเดือนนี้เลย ป้าจะย้ายออกให้ทันสิ้นเดือน ถ้าไม่ได้ ก็จบกัน ไม่ต้องเสียเวลา ป้าร้อนใจจริงๆ แต่ก็ไม่อยากขายของถูกๆ หรอกนะ ห้าปีแล้ว ป้าก็ผูกพันกับที่นี่เหมือนกัน”
แม่เจิ้งกับลูกชายยืนอยู่หน้าโต๊ะคิดเงิน ฟังหมี่หลันเยว่คุยกับอันิ่ ทั้งคู่ตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าการซื้อขายจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ ในความคิดของสองแม่ลูก การซื้อขายห้องแถว ควรใช้เวลาคุยกันเป็ชั่วโมง ต่อรองกันไปมาเสียก่อน
เจิ้งซวี่เหยาแทบจะนั่งไม่ติด อยากจะลุกขึ้นไปช่วยหมี่หลันเยว่พูดสักสองสามคำ กลัวว่าเด็กสาวจะตกลงไปจริงๆ ท่าทางของอันิ่ดูจริงใจเสียจนคนที่ไม่ค่อยค้าขายอาจหลงเชื่อได้ แต่แม่กลับดึงเขาไว้
“อย่าเพิ่งไป นี่ไม่ใช่แค่พันสองพันหยวน การค้าขายเป็หมื่นๆ อย่าทำให้เสียเื่เพราะคำพูดเพียงคำเดียว ตอนนี้เรายังไม่รู้ราคาต่ำสุดของป้าิ่ และก็ไม่รู้ราคาที่หลันเยว่ตั้งไว้ด้วย อีกอย่าง แม่ดูแล้วหลันเยว่ไม่ใช่คนที่จะหลอกง่ายๆ อยากจะให้เธอเสียเปรียบ คงไม่ง่ายขนาดนั้น”
เมื่อโดนแม่เตือนสติ เจิ้งซวี่เหยาจึงนั่งลงอย่างเดิม แต่ก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ กลัวจะพลาดแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย สายตาก็จับจ้องไปที่สองคนที่นั่งเจรจาอยู่ พวกเขาดูไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด มั่นคงมาก แม้แต่หมี่หลันหยางและเพื่อนๆ ก็ยังนั่งนิ่ง
เมื่อเห็นหนุ่มๆ เ่าั้ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์ ยังกระซิบกระซาบอะไรกันเบาๆ แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับห้องแถวนี้มากนัก ทำให้เจิ้งซวี่เหยาเริ่มรู้สึกว่า พวกเขาอาจไม่ได้อยากได้ที่นี่จริงๆ
“คุณป้าิ่ ในเมื่ออยากจะจริงใจ เราก็มาคุยกันตรงๆ เลยดีกว่า หนึ่งหมื่นสามพันหยวน หนูจ่ายมัดจำเดี๋ยวนี้เลย สามพันหยวนถือว่าเป็ราคาที่เพิ่มขึ้นตลอดห้าปีที่ผ่านมา ไม่น้อยเลยนะคะ ป้าอย่าโลภมากเกินไปสิคะ แล้วก็ป้าต้องเห็นแก่ที่หนูยังเด็ก ช่วยเหลือกันหน่อยนะคะ”
“ถ้าเราตกลงกันได้ก็ดีไป แต่ถ้าเช่าร้านไม่ได้ ธุรกิจของหนูก็อาจถูกที่บ้านลากไปอีกเป็ปีเลยนะคะ คุณป้าิ่ หนูอยากจะทำธุรกิจกับป้าจริงๆ ป้าช่วยหนูหน่อยนะคะ เราจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”
เจิ้งซวี่เหยายิ้มออกมา เด็กสาวคนนี้ฉลาดเป็กรด พูดได้ถูกจังหวะเหลือเกิน ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าอยากขาย ฉันก็จะสนองให้ แต่ถ้าไม่อยากขาย ฉันก็ค่อยๆ หาไปเรื่อยๆ ยังไงฉันก็เด็ก เวลายังมีอีกเยอะ พูดอีกอย่างก็คือ เวลาของเธอเหลือน้อยแล้ว ในคำพูดมีแต่การขอความช่วยเหลือ แต่ในน้ำเสียงกลับแข็งกร้าว
“เห็นไหมล่ะ แม่บอกแล้วว่ายัยหนูคนนี้ไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบง่ายๆ เป็ไงล่ะ รีบร้อนอยู่ได้ การค้าขายมันก็ต้องมีต่อรองกันไปมาแบบนี้แหละ”
แม่เจิ้งรู้สึกภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของตัวเอง
“ครับ แม่พูดถูกที่สุด ผมก็คิดว่าพวกเขาสองคนจะซื้อขายกันเสร็จภายในครั้งเดียวซะอีก ที่ไหนได้ สุดท้ายก็ต้องต่อรองกันอยู่ดี ผมว่าประสบการณ์ของผมไม่น่าจะผิดพลาดนะ”
เจิ้งซวี่เหยาเริ่มฮึกเหิมเล็กน้อย รู้อยู่แล้วว่าการซื้อขายคงไม่จบลงง่ายๆ
“ใช่ๆ ลูกชายแม่ฉลาดที่สุด แล้วลูกว่าราคาซื้อขายสุดท้ายจะอยู่ที่เท่าไหร่”
แม่เจิ้งมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ จึงกระซิบถามราคาจากลูกชาย เธอเองก็มีราคาที่ตั้งไว้ในใจแล้วเหมือนกัน
“ผมว่าหนึ่งหมื่นสี่พันหยวนน่าจะพอดี หนึ่งหมื่นสามพันหยวน คุณป้าิ่คงไม่ยอม แต่ถ้าสูงกว่านั้น หลันเยว่ก็คงไม่จ่าย”
เจิ้งซวี่เหยาฟังราคาที่ทั้งสองฝ่ายให้มาแล้ว ก็มีราคาในใจแล้ว ถ้าเป็การค้าขายที่เขาเป็คนเจรจาเอง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็จะได้ราคานี้
“แม่ว่านะ ในเมื่อเมื่อกี้ป้าิ่กล้าเรียกราคาถึงสองหมื่น หนึ่งหมื่นหกพันหยวนน่าจะเป็ราคาที่ค่อนข้างซื่อสัตย์แล้วล่ะ ไม่มีใครยอมลดให้เยอะขนาดนี้หรอก ดังนั้นแม่ว่าโอกาสที่จะสำเร็จที่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวนมีมากที่สุด”
แม่เจิ้งก็วิเคราะห์ด้วยตัวเอง เธอคิดว่าหมี่หลันเยว่อยากได้ร้านนี้มาก ถ้าเสี่ยวิ่ยืนกรานที่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน เธอก็คงต้องยอมจ่าย แม้จะรู้สึกเสียดายเงิน
“นั่นคือกรณีที่ป้าิ่ยืนกรานที่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน แต่ในความเห็นของผม ป้าิ่คงยืนกรานไม่ได้ เพราะเธออยากจะขาย แล้วด้วยฐานะทางการเงินของเธอ เธอก็คงไม่สนใจเงินแค่พันหยวน”
เจิ้งซวี่เหยายังคงยืนหยัดในความคิดเห็นของตนเอง ไม่เปลี่ยนแปลง
“งั้นเราสองคนก็คอยดูกันต่อไปสิ ว่าสุดท้ายใครจะชนะ”
การเจรจาที่อีกฝั่งยังคงดำเนินต่อไป ส่วนสองแม่ลูกที่นี่ก็ประเมินกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครยอมใคร ต่างก็เบิกตากว้าง อยากจะดูผลลัพธ์
แต่ฟังไปฟังมา แม่เจิ้งก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแพ้ เจิ้งซวี่เหยาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะชนะ เพราะเสี่ยวิ่ได้ลดราคาลงมาที่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวนแล้ว แต่หมี่หลันเยว่ก็ยังไม่ยอม
“คุณป้าิ่ นี่เป็เงินอั่งเปาทั้งหมดของหนูเลยนะคะ แค่ป้าลดให้หน่อย ก็จะได้สัญญาเซ็นกันแล้ว”
“หลันเยว่ เธอต่อราคาโหดเกินไปแล้ว ทำเลที่ตั้งร้านของป้านี่มันสุดยอดเลยนะ จะขายได้ราคาหนึ่งหมื่นห้า หรือหกพันหยวนก็ไม่แปลก ต่อให้รีบร้อนแค่ไหน ป้าก็ขายต่ำกว่าราคานี้ไม่ได้หรอก ไม่ใช่เื่เงิน แต่เป็เื่หน้าตา เสียหน้าแย่ ทำร้านดีๆ แต่ขายไม่ได้ราคาดีๆ ธุรกิจที่ทำมาหลายปีก็เสียเปล่า”
“คุณป้าิ่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ตอนนี้คุณป้ากำลังจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ คนทำธุรกิจคนไหนที่ทำได้ถึงระดับคุณป้าบ้าง สามารถจัดการทรัพย์สินของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ต่างประเทศได้อย่างราบรื่น นี่ต่างถ้าคือสิ่งที่คุณป้าควรจะคิดถึงมากที่สุด”
“อีกอย่าง ต่อให้ร้านนี้มีราคาหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนจริงๆ ก็ต้องมีคนมีเงินจ่าย แล้วก็ต้องมีคนอยากจะซื้อร้านใน่เวลานี้ด้วยไม่ใช่เหรอคะ ธุรกิจก็ต้องมีโอกาส ชีวิตก็ต้องมีจังหวะ เราสองคนมาเจอกันโดยบังเอิญ ในเวลาที่หนูอยากซื้อ แล้วคุณป้าอยากขาย นี่ก็ถือเป็โชคชะตาแล้ว”
“ถ้าคุณป้าิ่จะขายในราคาที่ร้านของป้าควรจะได้จริงๆ หนูไม่ได้พูดให้เสียกำลังใจนะคะ ชั่วครั้งชั่วคราว คุณป้าอาจจะหาคนซื้อที่เหมาะสมไม่ได้ก็ได้ ถ้าป้ารอได้ หนูเองก็ไม่ว่าอะไร ตอนที่คุณป้าเปลี่ยนฤดูกาลเปลี่ยนเสื้อผ้า สินค้าในมือของป้าก็ยังต้องลดราคา แล้วตอนที่คุณป้าเปลี่ยนมือร้าน คุณป้าไม่จำเป็ต้องคิดถึงปัญหานี้เลยเหรอคะ”
หมี่หลันเยว่พูดอย่างไม่เร่งรีบ ไม่ได้ทำให้ใครเสียหน้า แต่คำพูดก็ไม่ได้รักษาน้ำใจใครเลย ตอนลดราคา ก็ต้องขายในราคาถูกๆ บางครั้งอาจต้องขาดทุนด้วยซ้ำ ตอนนี้ราคาที่ขายร้านนี้ยังได้กำไรอยู่
แต่ถ้าคิดว่าได้กำไรน้อย ก็เก็บไว้ในมือแล้วค่อยๆ หาผู้ซื้อรายต่อไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดจาดีเหมือนเขา ไม่ใช่ทุกคนที่จะหยิบเงินหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนออกมาได้ง่ายๆ บางครั้ง อย่ามองแค่ตรงหน้า ต้องมองให้ไกลกว่านั้น
“ยัยหนู ต่อให้ยุ่งแค่ไหน ป้าก็ไม่ได้รีบร้อนถึงขนาดรอไม่ได้แค่เดือนสองเดือนหรอกนะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่กำลังอยากหาร้านมาเจออีกก็ได้ ใครจะไปรู้เื่ในอนาคตล่ะ ยังไงซะต่อให้ป้ารีบแค่ไหน จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วเดินทางไปต่างประเทศ ก็ต้องใช้เวลาเดือนสองเดือนอยู่ดี ป้ารอก็ได้”
หมี่หลันเยว่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว หนุ่มๆ ทั้งสี่คนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน พวกเขาทำตามหมี่หลันเยว่อย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อคุณป้าิ่พูดแบบนี้แล้ว พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันต่อแล้วล่ะค่ะ”
หมี่หลันเยว่ก้าวเท้าออกไปข้างนอกก้าวหนึ่ง แล้วหยุดเท้าลง พูดอย่างเสียดายว่า
“คุณป้าิ่คะ คุณป้าก็พูดเองว่าอาจจะเจอ เพื่อรอคำว่า 'อาจจะ' คุณป้าถึงกับตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวขนาดนี้ หนูไม่เคยเห็นนักธุรกิจแบบนี้มาก่อนเลย อย่างน้อยหนูคงไม่ทำแบบนั้น”
“อีกอย่าง ในเมื่อคุณป้าบอกว่าตัวเองเป็นักธุรกิจ คุณป้ายิ่งต้องรู้ว่าที่เราสองคนคุยกันไปมา มันไม่ใช่แค่เื่บ้าน ปริมาณเสื้อผ้าในร้านของป้าในตอนนี้ก็เริ่มน้อยลงแล้ว แสดงว่าคุณป้าอยากจะขายร้านจริงๆ ไม่ได้อยากจะทำธุรกิจต่อไปแล้ว ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องนาน แค่ลากไปอีกสองเดือน หนูว่าคุณป้าอาจจะขาดทุนมากกว่าหนึ่งหรือสองพันหยวนก็ได้”
“นักธุรกิจต้องระมัดระวัง แต่คนที่ทำธุรกิจใหญ่ๆ ไม่มีใครที่ไม่กล้าตัดสินใจ การลังเล อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรงกว่าที่ป้าคิด คิดดูแล้ว ป้าโชคดีมาก น่าจะราบรื่นมาตลอดไม่เคยแพ้เลย ลองเดิมพันครั้งนี้ดูไหม อีกสองเดือนเรามาดูผลลัพธ์กัน หนูไม่ซื้อร้านก็ไม่เสียหายอะไร แต่หนูพนันว่ารายได้สุดท้ายของป้า จะไม่เกินจำนวนเงินที่หนูให้”
พูดจบอย่างง่ายๆ สบายๆ หมี่หลันเยว่โค้งตัวเล็กน้อยอย่างสุภาพ
“ขอโทษที่รบกวนคุณป้านานขนาดนี้นะคะ แต่มีคุณป้าเจิ้งเป็คนกลาง หนูว่าคุณป้าิ่คงไม่ใจแคบหรอก งั้นขอให้คุณป้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ ขอให้ทุกอย่างราบรื่น หวังว่าถ้ามีโอกาส จะได้กลับมาที่ประเทศ แล้วมาดูความสำเร็จของหนู”
คำพูดเ่าั้หนักแน่น ทำให้คนในห้องต่างก็ชื่นชมในความมุ่งมั่นของหมี่หลันเยว่
“คุณป้าิ่ สวัสดีค่ะ คุณป้าเจิ้งจะนั่งคุยกับคุณป้าิ่ต่อ หรือจะไปกับพวกเราด้วยกันคะ”
หมี่หลันเยว่ทักทายแม่เจิ้งอย่างไม่รู้สึกกดดัน
เมื่อเห็นเด็กสาวกลับมายิ้มหวานอีกครั้ง แล้วกล่าวอำลาตนเองเหมือนน้องสาวข้างบ้าน เสี่ยวิ่ก็รู้ว่าตัวเองแพ้แล้ว จริงๆ แล้ว ถ้าลากไปอีกสองเดือน ต่อให้ขายได้หนึ่งหมื่นห้าพันหยวน รายได้ที่แท้จริงก็คงไม่เกินหนึ่งหมื่นสามพันหยวน การลดราคาสินค้าใน่สองเดือนนี้ ต้องขาดทุนแน่นอน
หมี่หลันเยว่คิดว่าตัวเองจะต้องเดินไปถึงหน้าประตู เสี่ยวิ่ถึงจะเรียกให้หันกลับไป แต่หลังจากที่ทักทายกับแม่เจิ้ง เสี่ยวิ่ก็พูดขึ้นแล้ว
“ยัยหนู เธอชนะแล้ว เราเซ็นสัญญากันเถอะ”
หมี่หลันเยว่แสดงสีหน้าประหลาดใจ ราวกับไม่คิดว่าความคิดของเสี่ยวิ่จะเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ เจิ้งซวี่เหยาดูการแสดงที่ยอดเยี่ยมชุดนี้ของเด็กสาวจนแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ ยอมรับว่าตัวเองยอมแพ้แล้ว ส่วนหมี่หลันเยว่ก็กลับมายิ้มอย่างมีความสุขอย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปจับมือกับคุณป้าิ่
“ดีจังเลยค่ะ คุณป้าิ่ ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จในการซื้อขายครั้งนี้ด้วยนะคะ”
