ฮั่วเสี่ยวเหวินโอบคอจางเจียิ เธอยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “ฉันจะอยู่กับพี่ อยู่กับพี่ตลอดชีวิต พี่อย่าคิดว่าจะสลัดฉันพ้น”
จางเจียิกลับนิ่งเงียบ ผ่านไปเนิ่นนานจึงพูดขึ้นว่า “เธอไม่ใช่ฮั่วเสี่ยวเหวิน… ใช่ไหม…?”
“พี่…รู้ได้ยังไง…”
ฮั่วเสี่ยวเหวินถามออกไปโดยไม่รู้ตัว จางเจียิกอดเธอแน่นกว่าเดิม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ “ทีู่เาหนานซาน ิญญาของเธอเป็คนนำทางฉันมาพบเธอ มาช่วยเธอ”
ฮั่วเสี่ยวเหวินเบิกตาโพลง “พี่มองเห็นเธอหรือ?”
“อื้ม ดังนั้น ฉันถึงได้รู้ว่าเธอไม่ใช่ฮั่วเสี่ยวเหวิน ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่เคยกลัวผี เธอตัวจริงเคยชินกับความมืดและความโดดเดี่ยว เคยชินกับชีวิตที่ไร้แสงสว่าง” น้ำเสียงของจางเจียิเ็ปขึ้นเรื่อยๆ มันแฝงไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ของเด็กหนุ่มอายุสิบหกผู้เปรียบดังหมาป่าเดียวดาย
ฮั่วเสี่ยวเหวินรู้สึกเศร้าโศกไปกับเขา เธอตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่เด็กชายคนนี้มีต่อเ้าของร่างเดิมนั้นมั่นคงลึกซึ้งเป็อย่างยิ่ง เช่นนั้นเธอ…
“พี่เจียิ ขอโทษด้วย ฉันควรจะไปดีกว่า…” ฮั่วเสี่ยวเหวินทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกจางเจียิที่ก้มหน้าอยู่ดึงแขนไว้ ท่ามกลางความมืดมิด ฮั่วเสี่ยวเหวินมองเห็นหยดน้ำตาระยิบระยับดุจดวงดาวของเขา เด็กหนุ่มพูดกับเธอว่า “แม้แต่เธอก็ไม่อยากอยู่กับฉันหรือ…”
ฮั่วเสี่ยวเหวินรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ขอบตา เธอคว้ามือจางเจียิไปวางบนอกตรงตำแหน่งหัวใจของตนเอง ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “พี่เจียิ ฉันจะไม่แยกจากพี่เป็อันขาด ไม่มีวัน เว้นเสียแต่ว่าพี่จะไม่้าฉันแล้ว”
“ดี…ดี!!!”
เสียงลมแรงพัดผ่านด้านนอก ฮั่วเสี่ยวเหวินถูกจางเจียิโอบกอดอยู่ในอ้อมอก เธอฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขา ฮั่วเสี่ยวเหวินพลันรู้ว่าตัวเองได้พ่ายแพ้เสียแล้ว ชีวิตนี้เธอพ่ายแพ้หมดรูปให้กับความอ่อนโยนของชายผู้นี้แล้ว
แต่เป็แบบนี้ก็ดีเช่นกัน ท่ามกลางยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคย การที่มีคนรักคนที่พร้อมจะมอบแรงสนับสนุนและความอบอุ่นให้ อนาคตในภายภาคหน้าของเธอต้องดีอย่างแน่นอน
“ฮั่วเสี่ยวเหวิน เธอนอนไม่หลับหรือ? เพราะหนาวเกินไปใช่หรือไม่?” จางเจียิถามอย่างว้าวุ่นใจ ฮั่วเสี่ยวเหวินเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาตื่นแล้ว และกำลังดึงผ้าห่มมาทางเธอ ฮั่วเสี่ยวเหวินจึงรีบผลักผ้าห่มคืนกลับไปพร้อมกับยิ้มตาหยี “พี่เจียิ พี่ไม่อยากรู้หรือว่าฉันเป็ใคร? มาจากที่ใด? ไม่กลัวว่าคนในผ้าห่มจะเป็ปีศาจร้าย แอบออกมากัดพี่ในตอนกลางคืน?”
จางเจียิตอบด้วยรอยยิ้มจนปัญญา “เป็ปีศาจก็ไม่เป็ไร ฉันไม่กลัว”
ฮั่วเสี่ยวเหวินดึงแขนเขามากัดพร้อมกับส่งเสียงร้องออดอ้อน จางเจียิมองดูเงียบๆ แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“ฉันกัดพี่ไม่ลงหรอกจ้ะ” ฮั่วเสี่ยวเหวินพลิกกายขึ้นไปนอนบนร่างของจางเจียิ แล้ววาดนิ้วไปบนอกของเขาพร้อมเอ่ยว่า “ฉันไม่ใช่คนจากยุคสมัยนี้ ในยุคสมัยของฉัน มีตะเกียงที่แค่ได้ยินเสียงก็จะสว่างขึ้นมาเอง บนถนนมีรถยนต์ขนาดเล็ก บนท้องฟ้าก็มีเครื่องที่บินได้ แล้วยังมีของทันสมัยอีกหลายอย่าง”
“เช่นนั้นเธออยากกลับไปไหม?”
“ไม่อยาก” ฮั่วเสี่ยวเหวินตอบ เธอมีนิสัยเ้าคิดเ้าแค้น พวกคนบ้านฮั่วเกือบทำเธอตาย เธอต้องเอาคืนให้จงได้
“ฉันอยากให้เธอกลับไป ยุคสมัยของเธอคงจะน่าทึ่งและปลอดภัยมากสินะ ไม่มีใครรังแก และไม่ต้องหิวโหย” น้ำเสียงของจางเจียิมีความกังวล ฮั่วเสี่ยวเหวินจับหน้าเขาแล้วพูดด้วยความมั่นใจว่า “พี่เจียิวางใจเถิด พวกเราจะไม่หิวโหย มีสิ่งใดก็กินสิ่งนั้น พรุ่งนี้พวกเราเตรียมตัวไปขึ้นเขากันดีหรือไม่!”
“ตกลง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองดู!”
เดิมทีจางเจียิตั้งใจจะแอบขึ้นบนเขาไปดูว่ามีผักป่าสำหรับล่อกระต่ายหรือไม่เช่นกัน เขาไม่อยากให้ฮั่วเสี่ยวเหวินลำบาก เขาทนหิวสักสองสามวันไม่ใช่เื่ใหญ่ แต่จะให้ฮั่วเสี่ยวเหวินทนหิวเหมือนกันย่อมไม่ได้ เธออยู่ในวัยกำลังโต
“จริงสิ พี่เจียิ ทะเบียนบ้านพี่อยู่ไหนหรือ?”
“ทะเบียนบ้านอยู่กับหัวหน้าหมู่บ้าน ต้องรออายุครบสิบแปดปีจึงจะเป็เ้าบ้านในทะเบียนบ้านได้” จางเจียิตอบ เขานึกถึงทะเบียนบ้านของฮั่วเสี่ยวเหวิน ตราบใดที่สิ่งนั้นยังอยู่ในมือของบ้านฮั่ว สักวันเธอต้องถูกคนบ้านนั้นจับตัวกลับไปแน่ เขาควรจะทำอย่างไรดี
ฮั่วเสี่ยวเหวินตระหนักถึงเื่นี้เช่นกัน เธอแสยะยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “พี่เจียิ พรุ่งนี้พี่ไปเรียกเ้าอ้วนมา จากนั้นก็ไปบอกบ้านฮั่วว่าเก็บฉันได้จากูเาหนานซาน อ้อ!... บอกให้ป้าหลิวที่อยู่บ้านติดกันให้มาด้วย”
จางเจียิสงสัย แต่ไม่นานก็ฉีกยิ้มออกมา “ยัยเด็กเ้าเล่ห์!”
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮั่วเสี่ยวเหวินตื่นขึ้นมาเพราะอากาศร้อน
เธอลุกขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ มีลมเย็นพัดผ่านมาทางเตียงเป็ครั้งคราว เด็กสาวหาวพลางมองไปรอบๆ สภาพบ้านของจางเจียิย่ำแย่กว่าที่บ้านฮั่วมากนัก ห้องของที่นี่มีขนาดเล็ก และทั้งที่เป็ตอนกลางวันแต่แสงภายในบ้านกลับมืดสลัว ในบ้านมีตั่งไม้ยาวเพียงหนึ่งตัว นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก ว่างเปล่าจนน่าสงสาร
ทั้งหน้าต่างยังมีรูรั่ว ต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์แปะเอา
ฮั่วเสี่ยวเหวินลุกขึ้น ดึงผ้าห่มขาดๆ ออกจากตัวด้วยความรังเกียจ เธอถอนหายใจ คิดถึงผ้าห่มไฟฟ้าแสนรักมากเหลือเกิน ไหนจะผ้านวมอีก แต่ผ้าห่มผืนนี้น่าจะเป็สมบัติทั้งหมดของพี่เจียิแล้ว พับเก็บให้เรียบร้อยจะดีกว่า มิเช่นนั้นหากไม่มีผ้าห่มแล้ว พวกเธอทั้งคู่คงต้องทนหนาวตลอดคืนแน่
ฮั่วเสี่ยวเหวินสวมรองเท้าเดินไปที่ครัว บ้านในชนบทเป็บ้านชั้นเดียวที่สร้างจากดินทั้งหมด เมื่อผ่านประตูเข้ามาจะเจอกับกระทะใบใหญ่ ชั้นวางถ้วยชามและอุโมงค์เก็บอาหารใต้ดิน บ้านของคนส่วนใหญ่จะแบ่งเป็สองห้อง คือ ห้องชั้นนอกกับห้องชั้นใน ห้องชั้นนอกค่อนข้างใหญ่ มีไว้สำหรับใช้เป็ห้องของผู้าุโภายในบ้านและต้อนรับแขก ส่วนห้องชั้นในเป็ห้องของลูกชายลูกสาว ขนาดค่อนข้างเล็ก แต่เห็นชัดว่าห้องชั้นนอกอันว่างเปล่าของบ้านหลังนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ เพราะแม่ของพี่เจียิไม่เคยกลับมาอีกั้แ่หย่าร้าง
ฮั่วเสี่ยวเหวินสำรวจห้องชั้นนอก หน้าต่างมีกระดาษหนังสือพิมพ์แปะอยู่เช่นกัน ให้บรรยากาศมืดสลัวอึมครึม
เธอเดินดูรอบๆ ก่อนที่ท้องจะร้องดังโครกด้วยความหิว เมื่อลองเปิดกระทะดู ก็พบกับก้อนแป้งสีเหลืองผิดปกติครึ่งลูก
“นี่มันอะไรกัน?”
ฮั่วเสี่ยวเหวินหยิบขึ้นมาลองกัดหนึ่งคำ หลังจากกลืนแล้วก็ต้องรีบดื่มน้ำตามอึกใหญ่ ์ นี่มันดินผสมแป้งหรือว่าอะไร? ทำไมกินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกินปูนขาวนัก หรือคนชนบทจะกินสิ่งนี้กันเป็ประจำ?
ไม่ได้การ พวกเธอทั้งสองอยู่ในวัยกำลังโต สิ่งนี้ไม่เพียงแต่มีโภชนาการไม่เพียงพอ แต่ยังส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายอีก แต่จะให้ไปหาอาหารจากที่ไหน? เงินก็ไม่มี…
“ฮั่วเสี่ยวเหวิน ฮั่วเสี่ยวเหวิน อยู่บ้านหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกจากลานบ้าน ดวงตาของฮั่วเสี่ยวเหวินก็เปล่งประกายแวววาวทันที เ้าอ้วนมาได้ถูกจังหวะเหลือเกิน
เธอรีบวิ่งออกจากบ้าน เห็นเด็กชายผิวขาวตัวอ้วนจ้ำม่ำสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ยืนอยู่กลางลานบ้าน ในมือถือหมั่นโถวเนื้อนวลขาวอวบสองลูก ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่รีรอ แย่งมากินอย่างตะกละตะกลาม เ้าอ้วนรีบพูด “ปัดโธ่ ค่อยๆ กิน ฉันไม่แย่งสักหน่อย พี่เจียิให้ฉันเอามาให้เธอ”
เ้าอ้วนผู้นี้มีนามว่า หลี่กั๋วเฟิง เป็เด็กหัวโจกขึ้นชื่อประจำหมู่บ้าน เขาคือหลานชายสุดที่รักของหัวหน้าหมู่บ้าน ขณะที่ลูกบ้านอื่นไม่มีข้าวกิน มีเพียงเขาที่ได้กินเนื้อจนตัวมีแต่ไขมัน ทุกคนจึงชอบเรียกเขาว่า เ้าอ้วน
หืม?
“พี่เจียิไปหาหัวหน้าหมู่บ้านงั้นหรือ?” ฮั่วเสี่ยวเหวินแปลกใจ